https://www.matichon.co.th/politics/news_1427571
ผมสงสัยว่าทำไมสูตรคิด ปาร์ตี้ลิสต์มันเยอะจัง ส่วนตัวผมหลังจากอ่าน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา 128
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/068/40.PDF
สำหรับผมเห็นว่าการคำนวนจำนวน สส ของคุณ RuAmMiTr ที่ทำไว้ในกระทู้นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/38697734/comment8-2
น่าจะตีความได้ตรงตามมาตรา 128 ที่สุด
กล่าวคือ 1) คำนวณ สส พึงมี โดยเอาจำนวนคะแนนรวมทั้งหมดหารด้วย 500 ซึ่งก็จะได้ประมาณ 66,707 แล้วเอาตัวเลขนี้ไปหารคะแนนของแต่ละพรรค ก็จะได้จำนวน สส พึงมี
2) ม 128(5) หากมีพรรคใดได้ สส เขตมากกว่า สส พึงได้ (พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ) ให้ได้ สส ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 0 แล้วเอาปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด 150 ไปจัดสรรให้พรรคอื่นๆ โดยมีเงื่อนไข ว่าจำนวน สส รวม จะต้องไม่เกิน จำนวน สส พึงมีได้ ตีความได้ว่า พวกพรรคเล็กที่คำนวณ สส พึงมีได้ <1 นี่ปัดตกเป็นศูนย์หมด ไม่เอามาหาปาร์ตี้ลิสต์ **หมายความว่า พรรคเล็กๆ ของ ไพบูลย์ มงคงกิตต์ ที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ สส พึงได้ต่อหนึ่งคน ก็อดได้ สส ตั้งแต่มาตรานี้แล้ว**
3) ม 128(4) เวลาจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ก็ให้ใส่จำนวนเต็มก่อน แล้วรวมจำนวนปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด ถ้าไม่ถึง 150 ตาม มาตรา128(6) ก็ให้จัดสรรให้กับพรรคที่มีเลขทศนิยมสูงสุดก่อนไล่ลงมาจนกว่าจะครบ 150 คน
4) ม 128(7) สำหรับกรณีจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ใส่จำนวนเต็มไปแล้ว เกิดรวมได้เกิน 150 (ซี่งก็คือกรณีเลือกตั้งครั้งนี้นั่นเอง ซึ่งก็คือ 153) ก็ให้ทำการเทียบบัญญัติไตรยางค์ ง่ายๆคือ จำนวนปาร์ตี้ลิสต์ที่จัดสรรล่าสุด*(150/153) แล้วก็ทำการจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ตาม ม 128(4) นั่นเอง
ปล. รอดูครับว่า กกต จะคำนวณ ปาร์ตี้ลิสต์อย่างไร ถ้าผลออกมาว่า พรรคเล็กๆ ที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์คะแนนต่อ สสพึงมี 1 คน(ประมาณ 66,707) แต่กลับได้ สส 1 คนเป็นสิบๆ พรรค แสดงว่าการตีความมาตรานี้ เป็นข้อถกเถียง และมีปัญหายืดเยื้อแน่ๆ
มาแล้วสูตร พิสดารคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ อนาคตใหม่วูบเหลือ 79 ส่ง มงคลกิตต์ ไพบูลย์ เข้าสภา
ผมสงสัยว่าทำไมสูตรคิด ปาร์ตี้ลิสต์มันเยอะจัง ส่วนตัวผมหลังจากอ่าน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา 128 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/068/40.PDF
สำหรับผมเห็นว่าการคำนวนจำนวน สส ของคุณ RuAmMiTr ที่ทำไว้ในกระทู้นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
น่าจะตีความได้ตรงตามมาตรา 128 ที่สุด
กล่าวคือ 1) คำนวณ สส พึงมี โดยเอาจำนวนคะแนนรวมทั้งหมดหารด้วย 500 ซึ่งก็จะได้ประมาณ 66,707 แล้วเอาตัวเลขนี้ไปหารคะแนนของแต่ละพรรค ก็จะได้จำนวน สส พึงมี
2) ม 128(5) หากมีพรรคใดได้ สส เขตมากกว่า สส พึงได้ (พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ) ให้ได้ สส ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 0 แล้วเอาปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด 150 ไปจัดสรรให้พรรคอื่นๆ โดยมีเงื่อนไข ว่าจำนวน สส รวม จะต้องไม่เกิน จำนวน สส พึงมีได้ ตีความได้ว่า พวกพรรคเล็กที่คำนวณ สส พึงมีได้ <1 นี่ปัดตกเป็นศูนย์หมด ไม่เอามาหาปาร์ตี้ลิสต์ **หมายความว่า พรรคเล็กๆ ของ ไพบูลย์ มงคงกิตต์ ที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ สส พึงได้ต่อหนึ่งคน ก็อดได้ สส ตั้งแต่มาตรานี้แล้ว**
3) ม 128(4) เวลาจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ก็ให้ใส่จำนวนเต็มก่อน แล้วรวมจำนวนปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด ถ้าไม่ถึง 150 ตาม มาตรา128(6) ก็ให้จัดสรรให้กับพรรคที่มีเลขทศนิยมสูงสุดก่อนไล่ลงมาจนกว่าจะครบ 150 คน
4) ม 128(7) สำหรับกรณีจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ใส่จำนวนเต็มไปแล้ว เกิดรวมได้เกิน 150 (ซี่งก็คือกรณีเลือกตั้งครั้งนี้นั่นเอง ซึ่งก็คือ 153) ก็ให้ทำการเทียบบัญญัติไตรยางค์ ง่ายๆคือ จำนวนปาร์ตี้ลิสต์ที่จัดสรรล่าสุด*(150/153) แล้วก็ทำการจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ตาม ม 128(4) นั่นเอง
ปล. รอดูครับว่า กกต จะคำนวณ ปาร์ตี้ลิสต์อย่างไร ถ้าผลออกมาว่า พรรคเล็กๆ ที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์คะแนนต่อ สสพึงมี 1 คน(ประมาณ 66,707) แต่กลับได้ สส 1 คนเป็นสิบๆ พรรค แสดงว่าการตีความมาตรานี้ เป็นข้อถกเถียง และมีปัญหายืดเยื้อแน่ๆ