สวัสดีครับ สำหรับรีวิวทริปดูไบ ทริปนี้ เรามาถึงตอนที่3 กันแล้วนะครับ
ท่านสามารถติดตามอ่านย้อนหลังตอนที่ 1 กับ2 ได้ที่นี่
ตอนที่1 รีวิวดูไบ แนะนำการเดินทางทั่วไป และที่เที่ยวยามค่ำคืน
https://ppantip.com/topic/38648463
ตอนที่2 รีวิวอาบูดาบี นครหลงแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พาชมมัสยิดท่านชี้ค
https://ppantip.com/topic/38650864
Sharjah หรือชาร์จ้าห์ ไม่ได้มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเท่ากับดูไบ บรรดานักท่องเที่ยวมักจะมองข้ามรัฐนี้ไป ทั้งที่เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของUAE เสน่ห์ของเมืองนี้คือมีอาคารและตึกเก่าแก่สไตล์อาหรับให้เห็นอยู่ทั่วไป ด้วยความที่รัฐนี้เคร่งในศาสนาอิสลาม ดังนั้นจึงไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำหน่ายที่นี่ และห้ามใส่ชุดว่ายน้ำทุกชนิดที่ชายหาด หากใครฝ่าฝืนกฎหมายย่อมมีบทลงโทษที่รุนแรง
จากกระทู้ที่แล้วเราตัดสินใจไม่เข้าไปเที่ยวในเมืองอาบูดาบีต่อเพราะวันนี้ล้อเริ่มหมุนช้าไปนิด และใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างมาก เลยตัดสินใจนั่งรถกลับไปชาร์จ้าห์ในราคา 25 ดีแรม เพราะไม่ไกลจากที่พักเรานักแล้วอยากไปเดินชมตลาดตอนกลางคืนด้วย
แต่เชื่อหรือไม่ระยะเวลาเดินทางจากอาบูดาบีไปชาร์จ้าห์นั้นใช้เวลา 3 ชั่วโมงเต็ม เพราะเป็นเวลาเย็นแล้วคนเริ่มเลิกงาน โดยเฉพาะช่วงที่รถแล่นผ่านย่านธุรกิจในดูไบนี่ติดแบบคลานเลยล่ะ แต่ที่หายนะกว่านั้นคือพอรถแล่นเข้าเขตของชาร์จ้าห์แล้วคือแทบนิ่งสนิทก็เพราะว่าคนที่ทำงานอยู่มืองดูไบก็มักจะขับรถกลับมาเมืองซาร์จ้าห์ที่ถือว่าเป็นเมืองที่เป็นย่านพักอาศัยนั่นเอง
รถบัสมาจอดลงแถวหน้าตลาดทอง ย่านถนน King Faisal
ข้างในโดมจะเป็นตลาดทองทั้งหมด มีของอื่นๆ ขายบ้างแต่ก็น้อย
รถพาเรามาส่งที่ท่ารถอยู่ใกล้กับมัสยิดใหญ่ใจกลางเมือง ยามค่ำคืนเปิดไฟแสงสวยงาม เพิ่งมารู้ในภายหลังว่าเป็นมัสยิดคิงไฟซาล (King Faisal Mosque) มัสยิดใหญ่แห่งเมืองชาร์จ้าห์จุคนได้มากกว่า 3000 คน ด้านนอกเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ มีคนมาเล่นกีฬา เดินออกกำลังกาย รวมไปถึงห่อข้าวมานั่งปิกนิกกัน มีชื่อเรียกว่า Al Etihad Park
ตรงสวนสาธารณะมีอนุสรณ์สถานด้วย ส่วนด้านซ้ายคือ King Faisal Mosque
King Faisal Mosque มีขนาดใหญ่โต สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย เปิดไฟสว่างในยามค่ำคืน
ถ้าข้ามถนน King Faisal มาจะเจอกับตึกรูปโดมครึ่งวงกลมสถาปัตยกรรมแบบอาหรับ เปิดไฟสีเหลืองนวลสวย ตึกนั้นคือตลาดกลางค้าทองคำ ที่นี่มีชื่อเรียกว่า Souq Al Markasi (Central Souk) ตึกนี้แหละเป็นตลาดกลางค้าทองคำขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐชาร์จ้าห์ มีทั้งหมด 2 ชั้น ส่วนใหญ่สินค้าที่ขายจะเป็นเครื่องประดับและอัญมณีทองคำ ของที่ระลึกของพื้นเมืองจะเป็นพวกของเก่า และงานฝีมือมาจากตุรกี อิหร่านหรือแม้แต่ซาอุดิอาราเบีย ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างแพงแต่ต่อรองได้ ใครอยากใส่เสื้อผ้าชุดพื้นเมืองที่นี่ก็มีจำหน่ายนะ
คนเมืองเรียกตลาดนี้ว่า Blue Souk เป็นอาคารคู่ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินตรงกลาง
อาคารรูปทรงโดมครึ่งวงกลมแบบสไตล์อาหรับ พร้อมปล่องลมระบายความร้อนด้านบน
ถ้าใครขับรถมาจอด ก็จอดได้ด้านข้างตลาดเลยครับ ตรงนี้จะเป็นทางเดินที่เชื่อมกันสองอาคาร
ด้านหน้าอาคารทั้งสองฝั่งจะมีน้ำพุเล็กๆ อยู่ด้านหน้า
เห็นศิลปะแบบอาหรับแล้วอดไม่ได้ที่จะถ่ายมาให้ดูกัน
ด้านบนนี่เป็นกระจกฉลุลายนะครับ
ชุดพื้นเมืองอาหรับสวยงาม
ดึกแล้วคนก็ยังเดินกันเยอะอยู่ เห็นราคาทองคำบนป้ายไฟนั่นไหม
สำหรับราคาทองคำในตลาดทองคำนั้น แต่ละวันจะมีราคาโชว์ขึ้นชัดเจนในตลาด แต่ละร้านจะขายในราคาเท่ากันหมด เว้นเสียแต่บางชิ้นงานจะบวกค่าแรงเข้าไปด้วย ทองคำที่นี่ขายชั่งกันเป็นกรัม และมีทองขายอยู่4 ประเภท คือ 18K, 21K, 22K, 24K จำนวนค่าเคแปรผันไปตามความบริสุทธ์ของทองคำ ซึ่งส่วนใหญ่ที่นี่จะขายทอง 18K กับ 22K มากที่สุด ใครจะเอาทองคำมาขายที่นี่ก็รับซื้อเช่นกัน นอกจากนี้บางร้านยังจำหน่ายนาฬิกาข้อมือมือสองอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่ตัวเรือนมักจะเป็นทองคำและฝังเพชรตามสไตล์ที่คนอาหรับเค้าใส่กัน
ทองแต่ละชิ้นที่โชว์ในตู้คืออลังการมาก เขาไม่กลัวที่จะถูกปล้นร้านทองกันเลย
ร้านขายนาฬิกามือสองก็มีนะ ราคาไม่ถูก เพราะตัวเรือนเป็นทองจ้า
สองฝั่งของห้างส่วนใหญ่จะเป็นร้านทองทั้งหมด
บางร้านก็มีเครื่องเพชรด้วย ดีไซน์อลังการไม่แพ้ทองเลย
ให้สังเกตดูชิ้นงานทองแต่ละชิ้นนะครับ ลองประเมินเอาว่าน้ำหนักเท่าไร
ถ้าใครไม่ชอบงานทองชิ้นใหญ่ๆ หลายร้านยังมีสร้อยทองเส้นเล็กๆ ให้ซื้อกลับบ้านไป
งานกำไลที่นี่เห็นแล้วต้องตะลึง ชิ้นงานค่อนข้างใหญ่มาก
เรามัวแต่เพลิดเพลินกับความเหลืองเรืองรองจนลืมเวลากลับบ้านอีกแล้ว ดูเวลาอีกทีเกือบสี่ทุ่มยังไม่ได้กินมื้อเย็นแถมรถเมล์ก็หมดแล้วด้วย ยังโชคดีที่รถแท็กซี่ในชาร์จ้าห์หาไม่ยากนัก และค่าโดยสารก็คิดตามมิเตอร์จริงๆ เราใช้เวลาเดินทางข้ามรัฐจากชาร์จ้าห์มาโรงแรมที่พักในดูไบ ใช้เวลาแค่15นาทีก็จริง แต่ค่าโดยสารก็ถูกชาร์จไปกับการเดินทางข้ามรัฐด้วย เราหมดไป50ดีแรม รวมค่าธรรมเนียมไปแล้ว 20ดีแรม ค่าโดยสารจริงๆแล้วอยู่ที่30 ดีแรม หุหุต่อไปจะไม่กลับดึกอีกแล้วจ้า
ออกจากตลาดทองมาคือตกใจ รถหมดแล้ว แล้วเราจะกลับที่พักของเรายังไง
รถโบราณสวยๆ ในห้างหรูระหว่างรอเรียกรถแท็กซี่
สุดท้ายก็ได้กลับมากินอาหารอินเดียแถวๆที่พักในห้าง Lulu Hypermarket เป็นสำรับแกงแพะ ในราคาชุดละ 29.5 ดีแรม เป็นเนื้อแพะมื้อแรกของที่นี่ ทานแล้วฟินมากๆจ้า
จบตอนก่อน ร้อนๆ แบบนี้เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปเที่ยวทะเลที่ดูไบ กับพาเดินห้างแล้วจ้ะ
[CR] Review Dubai-Sharjah รีวิวดูไบ ไปชมตลาดทองรัฐชาร์จ้าห์ (Sharjah Gold Souk at night)
ท่านสามารถติดตามอ่านย้อนหลังตอนที่ 1 กับ2 ได้ที่นี่
ตอนที่1 รีวิวดูไบ แนะนำการเดินทางทั่วไป และที่เที่ยวยามค่ำคืน
https://ppantip.com/topic/38648463
ตอนที่2 รีวิวอาบูดาบี นครหลงแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พาชมมัสยิดท่านชี้ค
https://ppantip.com/topic/38650864
Sharjah หรือชาร์จ้าห์ ไม่ได้มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเท่ากับดูไบ บรรดานักท่องเที่ยวมักจะมองข้ามรัฐนี้ไป ทั้งที่เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของUAE เสน่ห์ของเมืองนี้คือมีอาคารและตึกเก่าแก่สไตล์อาหรับให้เห็นอยู่ทั่วไป ด้วยความที่รัฐนี้เคร่งในศาสนาอิสลาม ดังนั้นจึงไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำหน่ายที่นี่ และห้ามใส่ชุดว่ายน้ำทุกชนิดที่ชายหาด หากใครฝ่าฝืนกฎหมายย่อมมีบทลงโทษที่รุนแรง
จากกระทู้ที่แล้วเราตัดสินใจไม่เข้าไปเที่ยวในเมืองอาบูดาบีต่อเพราะวันนี้ล้อเริ่มหมุนช้าไปนิด และใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างมาก เลยตัดสินใจนั่งรถกลับไปชาร์จ้าห์ในราคา 25 ดีแรม เพราะไม่ไกลจากที่พักเรานักแล้วอยากไปเดินชมตลาดตอนกลางคืนด้วย
แต่เชื่อหรือไม่ระยะเวลาเดินทางจากอาบูดาบีไปชาร์จ้าห์นั้นใช้เวลา 3 ชั่วโมงเต็ม เพราะเป็นเวลาเย็นแล้วคนเริ่มเลิกงาน โดยเฉพาะช่วงที่รถแล่นผ่านย่านธุรกิจในดูไบนี่ติดแบบคลานเลยล่ะ แต่ที่หายนะกว่านั้นคือพอรถแล่นเข้าเขตของชาร์จ้าห์แล้วคือแทบนิ่งสนิทก็เพราะว่าคนที่ทำงานอยู่มืองดูไบก็มักจะขับรถกลับมาเมืองซาร์จ้าห์ที่ถือว่าเป็นเมืองที่เป็นย่านพักอาศัยนั่นเอง
รถบัสมาจอดลงแถวหน้าตลาดทอง ย่านถนน King Faisal
ข้างในโดมจะเป็นตลาดทองทั้งหมด มีของอื่นๆ ขายบ้างแต่ก็น้อย
รถพาเรามาส่งที่ท่ารถอยู่ใกล้กับมัสยิดใหญ่ใจกลางเมือง ยามค่ำคืนเปิดไฟแสงสวยงาม เพิ่งมารู้ในภายหลังว่าเป็นมัสยิดคิงไฟซาล (King Faisal Mosque) มัสยิดใหญ่แห่งเมืองชาร์จ้าห์จุคนได้มากกว่า 3000 คน ด้านนอกเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ มีคนมาเล่นกีฬา เดินออกกำลังกาย รวมไปถึงห่อข้าวมานั่งปิกนิกกัน มีชื่อเรียกว่า Al Etihad Park
ตรงสวนสาธารณะมีอนุสรณ์สถานด้วย ส่วนด้านซ้ายคือ King Faisal Mosque
King Faisal Mosque มีขนาดใหญ่โต สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย เปิดไฟสว่างในยามค่ำคืน
ถ้าข้ามถนน King Faisal มาจะเจอกับตึกรูปโดมครึ่งวงกลมสถาปัตยกรรมแบบอาหรับ เปิดไฟสีเหลืองนวลสวย ตึกนั้นคือตลาดกลางค้าทองคำ ที่นี่มีชื่อเรียกว่า Souq Al Markasi (Central Souk) ตึกนี้แหละเป็นตลาดกลางค้าทองคำขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐชาร์จ้าห์ มีทั้งหมด 2 ชั้น ส่วนใหญ่สินค้าที่ขายจะเป็นเครื่องประดับและอัญมณีทองคำ ของที่ระลึกของพื้นเมืองจะเป็นพวกของเก่า และงานฝีมือมาจากตุรกี อิหร่านหรือแม้แต่ซาอุดิอาราเบีย ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างแพงแต่ต่อรองได้ ใครอยากใส่เสื้อผ้าชุดพื้นเมืองที่นี่ก็มีจำหน่ายนะ
คนเมืองเรียกตลาดนี้ว่า Blue Souk เป็นอาคารคู่ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินตรงกลาง
อาคารรูปทรงโดมครึ่งวงกลมแบบสไตล์อาหรับ พร้อมปล่องลมระบายความร้อนด้านบน
ถ้าใครขับรถมาจอด ก็จอดได้ด้านข้างตลาดเลยครับ ตรงนี้จะเป็นทางเดินที่เชื่อมกันสองอาคาร
ด้านหน้าอาคารทั้งสองฝั่งจะมีน้ำพุเล็กๆ อยู่ด้านหน้า
เห็นศิลปะแบบอาหรับแล้วอดไม่ได้ที่จะถ่ายมาให้ดูกัน
ด้านบนนี่เป็นกระจกฉลุลายนะครับ
ชุดพื้นเมืองอาหรับสวยงาม
ดึกแล้วคนก็ยังเดินกันเยอะอยู่ เห็นราคาทองคำบนป้ายไฟนั่นไหม
สำหรับราคาทองคำในตลาดทองคำนั้น แต่ละวันจะมีราคาโชว์ขึ้นชัดเจนในตลาด แต่ละร้านจะขายในราคาเท่ากันหมด เว้นเสียแต่บางชิ้นงานจะบวกค่าแรงเข้าไปด้วย ทองคำที่นี่ขายชั่งกันเป็นกรัม และมีทองขายอยู่4 ประเภท คือ 18K, 21K, 22K, 24K จำนวนค่าเคแปรผันไปตามความบริสุทธ์ของทองคำ ซึ่งส่วนใหญ่ที่นี่จะขายทอง 18K กับ 22K มากที่สุด ใครจะเอาทองคำมาขายที่นี่ก็รับซื้อเช่นกัน นอกจากนี้บางร้านยังจำหน่ายนาฬิกาข้อมือมือสองอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่ตัวเรือนมักจะเป็นทองคำและฝังเพชรตามสไตล์ที่คนอาหรับเค้าใส่กัน
ทองแต่ละชิ้นที่โชว์ในตู้คืออลังการมาก เขาไม่กลัวที่จะถูกปล้นร้านทองกันเลย
ร้านขายนาฬิกามือสองก็มีนะ ราคาไม่ถูก เพราะตัวเรือนเป็นทองจ้า
สองฝั่งของห้างส่วนใหญ่จะเป็นร้านทองทั้งหมด
บางร้านก็มีเครื่องเพชรด้วย ดีไซน์อลังการไม่แพ้ทองเลย
ให้สังเกตดูชิ้นงานทองแต่ละชิ้นนะครับ ลองประเมินเอาว่าน้ำหนักเท่าไร
ถ้าใครไม่ชอบงานทองชิ้นใหญ่ๆ หลายร้านยังมีสร้อยทองเส้นเล็กๆ ให้ซื้อกลับบ้านไป
งานกำไลที่นี่เห็นแล้วต้องตะลึง ชิ้นงานค่อนข้างใหญ่มาก
เรามัวแต่เพลิดเพลินกับความเหลืองเรืองรองจนลืมเวลากลับบ้านอีกแล้ว ดูเวลาอีกทีเกือบสี่ทุ่มยังไม่ได้กินมื้อเย็นแถมรถเมล์ก็หมดแล้วด้วย ยังโชคดีที่รถแท็กซี่ในชาร์จ้าห์หาไม่ยากนัก และค่าโดยสารก็คิดตามมิเตอร์จริงๆ เราใช้เวลาเดินทางข้ามรัฐจากชาร์จ้าห์มาโรงแรมที่พักในดูไบ ใช้เวลาแค่15นาทีก็จริง แต่ค่าโดยสารก็ถูกชาร์จไปกับการเดินทางข้ามรัฐด้วย เราหมดไป50ดีแรม รวมค่าธรรมเนียมไปแล้ว 20ดีแรม ค่าโดยสารจริงๆแล้วอยู่ที่30 ดีแรม หุหุต่อไปจะไม่กลับดึกอีกแล้วจ้า
ออกจากตลาดทองมาคือตกใจ รถหมดแล้ว แล้วเราจะกลับที่พักของเรายังไง
รถโบราณสวยๆ ในห้างหรูระหว่างรอเรียกรถแท็กซี่
สุดท้ายก็ได้กลับมากินอาหารอินเดียแถวๆที่พักในห้าง Lulu Hypermarket เป็นสำรับแกงแพะ ในราคาชุดละ 29.5 ดีแรม เป็นเนื้อแพะมื้อแรกของที่นี่ ทานแล้วฟินมากๆจ้า
จบตอนก่อน ร้อนๆ แบบนี้เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปเที่ยวทะเลที่ดูไบ กับพาเดินห้างแล้วจ้ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้