[CR] รีวิวดูไบ Dubai Abudhabi Sharjah ไปเองได้ไม่น่ากลัว

สวัสดีครับ ขออนุญาตแนะนำตัวชาว Blue Planet ครับ
ได้อ่านรีวิวของพวกท่านมานานมาก ตั้งแต่ปี 2005
ได้มีโอกาสท่องเที่ยวตามรอยพวกท่านมานาน
วันนี้เลยได้โอกาสสมัครสมาชิก ขอพาพวกท่านนำเที่ยวบ้าง
ทริปนี้ ไม่มีอะไรมากครับ คิดถึงเพื่อนที่ทำงานอยู่ตะวันออกกลาง
เลยจะแวะมาหาเพื่อนในช่วงสงกรานต์พอดี ครับ
ทริปนี้ ไปมาตั้งแต่ปี2560 แต่ข้อมูลน่าจะยังมีปรโยชน์แล้วนำไปใช้ได้นะครับ
https://ppantip.com/topic/38650864 อย่าลืมแวะชมรีวิว อาบูดาบี ตอนที่2 นะครับ
https://ppantip.com/topic/38651783 ตอนที่ 3 พาเที่ยวเมือง Sharjah ชมตลาดทองคำ ดูตลาดสด และชมเมืองกันครับ

เตรียมตัวไปเที่ยวตะวันออกกลางกันเถอะ
                แล้วเราก็กลับมาทำการบ้านอีกมากมายตั้งแต่การหาช่วงวันที่ว่างซึ่งก็ไม่พ้นช่วงวันสงกรานต์ การหาตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกแต่บริการครบ (Full Service) หาราคาที่พักระดับมาตรฐานในดูไบ รวมไปถึงวิธีการขอวีซ่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ค่อยๆทยอยหาจนกระทั่งจังหวะและโอกาสมาถึงนั่นคือ ได้ตั๋วเครื่องบินในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป สำหรับทริป 6วัน นั่นคือได้ของสายการบินโอมานแอร์ (Oman Air) ในราคาไปกลับอยู่ที่ 13500 บาท จากเว็บไซต์ www.traveloka.com โดยแวะพักเปลียนเครื่องไปดูไบที่กรุงมัสกัต (Muscat) ประเทศโอมาน (Oman) ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วบินต่อไปดูไบอีก 50 นาที
ขอบคุณสายการบิน Oman Air ที่เราไว้วางใจเลือกเดินทางในครั้งนี้
ถ้าไม่ได้ขอวีซ่ามาก่อน ที่เคาน์เตอร์จะไม่ออกตั๋วให้เลยนะ เดี๋ยวเราจะบอกให้ว่าขอวีซ่ายังไง

ลำดับต่อไปคือการหาที่พักซึ่งมีให้เลือกมากมาย เราเชื่อว่าทุกท่านจองออนไลน์กันเป็นหมดแล้ว การจองโรงแรมที่พักมีความสำคัญต่อการขอวีซ่ามากๆ เพราะนั่นคือหลักประกันได้ว่าคุณจะไม่แอบหนีไปทำงานโดยอาศัยนอนอยู่กับเพื่อนหรือญาติๆ ให้ทำการจองให้เรียบร้อยแล้วสั่ง Print ใบจองที่พักมาด้วยเพื่อใช้ประกอบในการยื่นขอวีซ่าดูไบ สำหรับราคาที่พักในตะวันออกกลางนั้นถือว่าราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ เพราะค่าครองชีพที่นั่นก็สูงใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยค่าห้องพักจะเริ่มต้นที่คืนละ 1000 บาทขึ้นไป และติดแอร์ทุกห้อง สำหรับเตียงคู่ราคาจะพุ่งขึ้นเป็น 3000 บาทขึ้นไปต่อคืน ในทริปนี้เราเลือกที่จะจองที่พักในเครือ YHA Dubai International Youth Hostel เพื่อประหยัดงบในการเที่ยว จำนวน 4 คืน ค่าใช้จ่ายจึงอยู่ที่ 4000 กว่าบาท
โรงแรมที่เราเลือกพักสำหรับทริปดูไบทั้งทริปครับ
เราเลือกโรงแรมนี้เพราะว่ามีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานให้แหวกว่ายนี่แหละ
บริเวณล้อบบี้ตกแต่งสไตล์อาหรับเลยครับ

สิ่งที่ดูเหมือนจะยุ่งยากที่สุดในการเที่ยวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วยตัวเองนั้น เห็นจะเป็นเรื่องการขอวีซ่านี่แหละ หลายคนกลัวว่าซื้อตั๋วแล้วจะไม่ได้ไปเพราะขอวีซ่าดูไบไม่ผ่าน ประเด็นนี้ขอให้คลายความกังวลใจไปได้เลย เพราะสมัยนี้มีบริษัทรับจ้างทำวีซ่าเกิดขึ้นมากมายสำหรับคนขี้เกียจอย่างเรา แถมยังรับประกันว่าขอวีซ่าผ่านแน่นอนอีกต่างหาก แต่ทั้งนี้ขอให้เลือกใช้บริการกับบริษัทที่เปิดมานานนิดนึง เพราะค่าวีซ่าดูไบไม่ได้ถูกเลย มันจะรวมไปกับค่าจ้างทำอีก สนนราคาเสร็จสรรพตั้งแต่ 5500-6000 บาท ราคาไม่เกินนี้ โดยเอกสารที่จะต้องเตรียมไว้ให้บริษัททัวร์ได้แก่
สำเนาหนังสือเดินทางแบบพิมพ์สี่สี
สำเนาบัตรประชาชนแบบสี
หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท หากมีกิจการส่วนตัวให้ใช้หนังสือทะเบียนการค้า
สำเนาเอกสารใบจองตั๋วเครื่องบิน
สำเนาเอกสารใบจองโรงแรม
รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว 2ใบ พื้นหลังสีขาวเท่านั้น
เตรียมเอกสารเพียงเท่านี้แล้วบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่มารับเอกสารทั้งหมด หรือบางบริษัทอาจให้สแกนเอกสารแล้วส่งไฟล์ไปทั้งหมดเช่นกัน ในครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของ บริษัทอัลอิศราทราเวล จำกัด (Al Isra Travel) https://www.facebook.com/AlIsraTravelColtd สามารถทำวีซ่าให้เราแล้วเสร็จภายใน 1 วันทำการเท่านั้น เงื่อนไขการชำระเงินโดยการโอนผ่านบัญชีธนาคาร โดยหน้าตาของเอกสารขอวีซ่าที่ได้รับกลับมาทางไปรษณีย์หรืออีเมล์ หน้าตาจะเป็นแบบนี้
ปล.เราไม่ได้บินไปกับเอมิเรตส์ ดังนั้นค่าทำวีซ่าก็จะแพงกว่าบินกับเอมิเรตส์ แต่ถ้ามาบวกลบคูณหารกับค่าตั๋วของเอมิเรตส์รวมกับค่าทำวีซ่าแล้ว
วิธีของเราถูกกว่าจ้า

ทางบริษัททัวร์ก็จะส่ง เอกสารวีซ่ากลับมาเป็นไฟล์ ให้เราเอาไป Print สี เตรียมยื่นที่สนามบินสุวรรณภูมิขาออก และที่ตม.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เลย

คราวนี้ก็เหลือแต่การเตรียมใจพร้อมที่จะออกไปผจญโลกกว้างกันแล้วใช่มั้ยล่ะ โลกอาหรับรอคุณอยู่ โลกใบใหม่ ไม่ได้น่ากลัวไปกว่าที่คิดไว้เลย ขอแค่เรามีใจพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับมันเท่านั้นเอง ขอแถมอีกนิดถ้าอยากเดินทางช่วงอากาศเย็นคือช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม อากาศเย็นก็จริงแต่ต้องแลกมากับฝนตก ส่วนถ้าใครเดินทางช่วงเดือนเมษายน- ตุลาคม บอกได้สามคำเลย คือร้อนกับร้อนมาก แต่ไม่มีฝนมาคอยกวนใจ ขอให้ทุกท่านเลือกช่วงเวลาในการเดินทางที่เหมาะสมก็แล้วกันครับ
แล้วเราก็ได้เวลากางปีกไปเที่ยวกันแล้ว โดยสายการบินโอมานแอร์ (Oman Air) ที่เราได้จองไว้ออกเดินทางเวลา 9.30 น. นับเป็นเวลาที่ดีไม่เช้าจนเกินไป ใช้เครื่องลำขนาดกลางนั่งได้ประมาณ 270 คน ใครที่ยังไม่เคยขึ้นสายการบินของประเทศตะวันออกกลางในช่วงแรกต้องปรับตัวนิดนึง เพราะทั้งอาหารที่เสริ์ฟบนเครื่องและกลิ่นน้ำหอมที่ใส่จนฉุนตีกันของผู้โดยสารชาวอาหรับอาจทำให้บางคนเวียนหัวได้ แต่เที่ยวนี้ทางสายการบินเสริ์ฟเป็นอาหารตะวันตกเราก็สบายไป
ได้เวลาออกเดินทางกับเจ้านกเหล็กแห่งโอมานแอร์กันแล้ว
รู้สึกตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปเจออะไรก็ไม่รู้ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน แน่นอนล่ะ โลกกว้างมันรอเราอยู่
ขึ้นเครื่องมาปุ๊บ แอร์สาวใจดี นางเสริฟ์ของกินเล่นก่อนเลย
Oman Air เค้ารับแอร์สาวจากนานาชาติมากฮะ มีครบทุกเชื้อชาติ
การเดินทางตลอด 6 ชั่วโมงนี้ เราจะดูหนังเรื่องอะไรดีน้า
อาหารที่เสริ์ฟแบบสไตล์ตะวันตก เรากินได้สบาย พร้อมไวน์แดงอีก1ขวด ไม่เข้ากับปลาเลยนะ

เครื่องบินใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติมัสกัต ประเทศโอมาน (Muscat International Airport) MCT เวลา 12.30 น.พอดี เราต้องปรับเวลาให้ช้าลงจากไทย 3 ชั่วโมง ตอนนี้ที่ไทยก็ราวบ่ายสามครึ่ง สนามบินนี้ตั้งอยู่ในเมือง “ซีบ” (Seeb) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากนครมัสกัตราว 30กิโลเมตร เราจอดแวะพักที่สนามบินแห่งนี้ราวสองชั่วโมงเพื่อต่อเครื่องบินลำเล็กไปลงนครดูไบ
ที่ช็อคครั้งแรกคือ เครื่องบินลำออกใหญ่มาก ทำไมถึงไม่มีงวงเทียบให้ฉันล่ะนี่
ข้างนอกไม่ต้องพูดถึงเลยนะว่าร้อนแค่ไหน

ระหว่างนั่งรอเครื่องไปดูไบ เราก็ได้เดินไปชมสินค้าที่ระลึกของประเทศโอมาน ส่วนใหญ่มีราคาแพงมากโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มตะเกียงจุดกำยานและเครื่องหอม
เรามาดูกันดีกว่าว่าที่ Duty Free มีอะไรให้ช็อปบ้าง
เราชอบดูพวกหนังสือนำเที่ยวมากนะ มันกระตุ้นต่อมในการเดินทางได้มากเลย
มาดูของที่ระลึกของโอมานกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ตะเกียงอาละดินสวยๆ น่าซื้อทั้งนั้นเลย
ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอสวยๆ ก็มีนะ
เจ้าอูฐนี่คือเห็นเยอะที่สุดแล้ว ทั้งมาเป็นตัวและมาเป็นแก้วน้ำ
แก้วมัคอูฐ พอลองคูณราคาดู เป็นลมแพร้พ
สบู่ Oudh อูด เป็นเครื่องหอมขึ้นชื่อของที่นี่ ชนิดที่ว่ากลิ่นติดทนนานทั้งวันเลย

และแล้ว ก็ได้เวลาที่เครื่องบินลำเล็กทะยานออกจากรันเวย์ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงมัสกัตไปนครดูไบราวชั่วโมงเศษระหว่างทางจะบินผ่านทะเลสีฟ้าครามตัดกับภูเขาหินสีแดงและผ่านทะเลทรายในเบื้องล่าง เที่ยวบินนี้เขาได้เสริ์ฟสแน็คเล็กๆไว้รองท้องและแก้ง่วงกับน้ำมะม่วงที่หวานมากๆ
บินแค่ชั่วโมงเดียวก็จะเป็นของกินเล่นแบบนี้ล่ะ

สนามบินดูไบมีขนาดใหญ่โตหรูหราสมกับที่เป็นนครแห่งการช้อปปิ้ง ไม่ต้องเดินลงจากเครื่องจอดเทียบงวงทุกลำ เครื่องเราจอดลงที่ Terminal2 ทุกคนจะต้องนั่งรถโมโนเรลที่เปิดให้บริการฟรีเพื่อไปรับกระเป๋าและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ Terminal1 ซึ่งไม่ต้องกรอกใบเข้าเมืองใดๆให้ยุ่งยากแค่เตรียมใบวีซ่าที่เราพิมพ์ออกมายื่นเท่านั้นเองก็สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมาได้อย่างง่ายดาย
สนามบินดูไบสวยงามทันสมัย พร้อมมีของให้ช้อปปิ้งมากมายเลย

        การเดินทางจากสนามบินดูไบเข้าเมืองทำได้หลายวิธีตั้งแต่การนั่งรถแท็กซี่ ใช้บริการรถของโรงแรม นั่งรถเมล์ หรือนั่งรถไฟฟ้าก็ได้ แต่ในครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของเมโทร (Metro) ไม่ยากเลยให้เดินตามป้ายบอกทางหลังรับกระเป๋าแล้ว จากนั้นค่อยหยิบแผนที่จากจุดให้บริการในสนามบิน เพื่อดูว่าเราจะไปที่พักยังไงลงรถที่สถานีไหน จากนั้นค่อยไปทำความรู้จักกับรถไฟฟ้ากัน
Dubai Metro เดินทางสะดวกสบาย ปัจจุบันมีสองสาย และมี monorail เล็กๆ อีก1สาย วิ่งไปเกาะปาล์มจูไมร่าห์

เรากำลังจะเดินออกจากสนามบินไปขึ้น Metro แบบประหยัดๆ เข้าเมืองกันแล้ว
เชื่อไหม เรามาตะวันออกกลางแค่ 6 วัน กลับมีสัมภาระตั้งสองใบ
เอาละ ได้เวลามาจิ้มเลือกซื้อตั๋วแต่ละประเภทกันแล้ว ที่นี่ยังไม่ไฮเทคแบบญี่ปุ่นนะ ยังต้องซื้อผ่านเคาน์เตอร์อยู่
ชื่อสินค้า:   DUBAI – ABU DHABI
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่