สวัสดีครับ
วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การผ่าตัดหมอนรองกระดูกไปเมื่ออายุ 20 ปี แต่ตอนนี้ผมกลับมาเป็นมันอีกครั้ง!!
เรืองราวนี้ผมขอแชร์เป็นประสบการณ์นะครับ
ย้อนไปเมื่ออายุสัก 18 ปี ผมมีอาการปวดก้น ตอนแรกๆ ก็ปวดนิดๆ หน่อย เราก็ไม่ได้สนใจเพราะเรานั่งใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ทุกวัน รวมทั้งต้องทำงานยืนขายของ นั่งขายของ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ช่วยพ่อแม่
อาการปวดก็ไม่ได้มีอาการลดลงอย่างใด แต่เราก็ไม่ได้สนใจเพราะตอนนั้นก็คิดแค่ว่า อ๋อ ก็แค่อาการปวด เดี๋ยวถึงเวลาก็หายเอง
แต่เวลาผ่านไปมันไม่ได้เป็นแบบนั้น มันก็มีอาการปวด เรื่อยๆมา จำความได้คือ สัก 3 เดือน อาการปวดไม่ได้ดีขึ้น ก็ปวดๆ แบบพอทนได้เรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงคือ รู้สึกว่ามันเป็นอะไรทำไมไม่หาย เลยไปหาหมอที่ รพ คุณหมอก็บอกว่า อ่อ เอายาคลายกล้ามเนื้อกับยากแก้ปวดไปกิน แล้วก็อย่าไปยกของหนัก
ด้วยความที่เราเป็นเด็กวัยรุ่น เราก็เชื่อฟัง แต่ทำไงได้ เราต้องทำงานครับ เราก็ไม่ได้สนใจตรงเรื่องการยกของ แต่เราก็กินยาตามหมอสั่ง อาการก็ดีขึ้นนิดหน่อย เวลากินยาช่วงเวลานั้น ก็จะดีขึ้น ยาหมดฤทธิ์ ก็มีอาการกลับมา
ที่นี้ จุดพลิกผันคือ ต้องไปเข้าค่าย รด อาการกำเริบมาขึ้นจากจุดนี้
ตอนนั้นจำได้ดีเลยครับ ผมนั่งรถบัส ของ กรมทหารไป ผมไม่ได้ที่นั่งบนเบาะ เลยได้ไปนั่งกองๆ กันอยู่ข้างหลังรถนี่แหละ จาก สนามหลวงไป กาญจนบุรี เราก็หลับไปจนเกือบถึง กาญจนบุรี ตอนนั้น ตื่นมา ช่วงประมาณ 10 โมง 11 โมงได้
อาการปวดรุนแรงมากๆ คือ ปวดชนิดที่ว่าเดินลงจากรถไปเข้าห้องน้ำไม่ไหว แต่เพื่อนๆ หรือ คนอื่น ก็ไม่ได้สนใจอะไร เราก็อดทนไปทั้งแบบนั้น (เวลาปวดหลังหนักๆ เหงื่อจะออก หน้าซีด) แต่ก็อดทนเอา
ภายใน 5 วันที่ฝึก ผมใช้วิธีอดทนเอาทุกวัน ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ทรมานมาก ห้องน้ำในค่ายนั้นก็ เป็นแบบ ยองๆ กลางคืนนี่หนาวมาก แล้วเราต้องเดินเท้าเข้าป่า ระยะทางไกลๆ ก็ต้องอดทน คือ อาการเมื่อยมันยังพอทนได้ แต่อาการปวดหลังเนี่ยมันสุดๆ จริงๆ
ผมว่าการฝึกสำหรับผม ผมเฉยๆ มาก ไม่ได้หนักอะไรเลย แต่มันทรมานตรงที่ผมไม่ปกตินี่แหละ เวลาที่รู้สึกดีที่สุด คงจะเป็นเวลาที่ได้นอน ในเต๊นท์นี่แหละ ตอนนั้นคิดแบบว่า ทำไมชีวิตมันช่างโหดร้ายขนาดนี้ ก็อดทนเอา จนครบ 5 วัน และผ่านมันมาได้
จากนั้นกลัยมาถึงบ้าน ได้นอนพัก ไป 2 วันติด คือ เกิดมาพึ่งเคยนอนมากขนาดนี้ กลับมาถึงบ้าน 6 โมงเย็น แล้วตื่น 6 โมงเช้า ของอีก 2 วันถัดมา
แต่อาการปวดหลังมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ทุกๆ เช้าตื่นมาเราจะดีใจว่าเฮ้ยนี่เราหายแล้วหรอ แต่เปล่าเลย พอเราเดินลงบันไดบ้านมาเท่านั้นแหละ อาการปวดก็จะค่อยๆ เพิ่มๆ จนปวดรู้สึกได้ ตอนนั้นเราก็เข้าออก โรงพยาบาลเรื่อยๆ เป็นปีได้ โดยการ กายภาพ วันเว้นวัน (กายภาพโดยการดึงหลัง ทำอัลคร้าซาว บางทีก็มีนอนที่แผ่นร้อน) ไปจน พี่ๆ ที่ห้องกายภาพจำได้ว่ามาอีกแล้วหรอ ทุกครั้ง พี่ๆ ก็จะถามว่าดีขึ้นบ้างไหม เราก็ได้แต่บอกเค้าว่าดีขึ้นครับ แต่ไม่หาย ซึ่ง มันก็ดีขึ้นบ้าง แต่พอเราต้องทำงานมันก็กลับมาเป็น ซ้ำๆ เหมือนวนลูป แต่แล้วก็มีโชคดีของผมอยู่บ้าง ก็คือเจอคุณหมอใจดี ท่านเห็นว่ารักษามานานแล้วไม่ดีขึ้นเลย อาการกลับทรุดลง ท่านเลยเซ็นใบให้ผมไปทำ MRI ที่ อุรุพงษ์ ผลการ MRI ก็ตามที่คุณหมอบอก หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท L4 L5 S1 ส่วนของ L5 นี่ ดำจนเกือบไม่เหลือหมอนรองกระดูกเลย ส่วน S1 ก็เหมือนกัน ,แต่ L4 พึ่งเริ่มมีอาการ
แล้วเวลาก็ผ่านไปจนผมเรียนจบ ปวช และเข้าเรียนต่อมหาลัย (โชคดีอีกอย่างคือ ผมเข้ามหาลัย โดยการยื่นโควต้า แล้วได้เรียนเลยครับ ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางสอบ) ทีนี้ผมก็ต้องเปลี่ยนการทำงาน ปกติเราขายของอยู่กับที่บ้าน ทีนี้ต้องเปลี่ยนเป็นมาทำงานร้านสะดวกซื้อแทน เป็นพนักงาน Part-time ด้วยความเป็นผู้ชาย ผมก็ต้องทำงานทุกอย่างในร้านครับ ผมทำได้ทุกหน้าที่ในร้านเลย พี่ๆ ที่ร้านเค้าก็รักมาก ก็ถามไถ่อาการตลอดไม่ไหวก็ให้ไปนั่งพักได้ แต่อาการที่ผมเป็นมันก็ยังคงเป็นอยู่ บางทีตื่นตอนเช้า นี่แทบไม่อยากลุก คือไม่ใช่ขี้เกียจนะครับ แต่พอลุกแล้ว สักพักมันจะปวดมากๆ แต่ก็อดทนเอา แล้วตอนนี้ ก็เปลี่ยน รพ มารักษา ใน กทม แทน เพราะมีสิทธิประกันสังคม ก็เข้าๆ ออกๆ รพ ได้ มาประมาณ อีกเกือบปีได้ จนหมอที่ รพ ท่านถามว่า จะผ่าตัดไหม ตอนนั้นทุกๆ อย่างในชีวิต คือแบบ ผมจะรอดมั้ยเนี่ย เพราะ เวลาเราไปปรึกษาใครนี่ก็มีแบบ “เนี่ย ป้าคนนั้นผ่าแล้ว เดินไม่ได้เลย” “ลุงคนนั้นผ่าแล้ว ตอนนี้นอนอย่างเดียว ลุกไม่ขึ้น” ชีวิตนี่แบบ โหว แล้วผมจะกล้าผ่าไหมเนี่ย แต่ตอนนั้นคือ อาการมันแย่สุดๆ มาก แล้วครับ คือ เดินไปไม่เกิน 7 ก้าว ต้องนั่ง เพราะถ้าไม่นั่งอาการมันจะปวดมาก แล้วก็เดินต่อไม่ได้ คือใจเราเนี่ยมันไปจะ แต่ยกขาไม่ขึ้นแล้ว (คุณหมอบอกว่านี่คืออาการขั้นสุดท้ายแล้วล่ะ คือเส้นประสาทมันโดนกดทับจนทำให้ขาไม่มีแรงไปแล้ว)
วันที่ตัดสินใจผ่า
ผมก็ปรึกษากับทางพ่อและแม่ ว่าจะผ่าครับ ผมคงไม่ทนแล้ว เพราะว่าทนไม่ไหวจริงๆ คือเราอดทนมา 2 ปีกว่าๆ ได้ครับ ก็เลยตัดสินใจ จากนั้นก็คุยกับคุณหมอ คุณหมอท่านก็ดีนะครับ นัดวันผ่าได้แบบทันทีเลย บวกกับเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของมหาลัยครับ ก็เลยสะดวก ผ่าเสร็จก็นอนพักได้เลยตัดสินใจ วันนั้นจำได้เลยครับเป็นช่วงเดือนเมษา ผมนั่งรถแท็กซี่จากที่บ้านไป รพ ไปกับพ่อ (อยากจะบอกนะครับว่าคนที่ห่วงเรามากที่สุดในชีวิตก็พ่อกับแม่) ไปถึงยังไม่ได้ผ่าหรอกครับก็นอนรอที่ รพ ประมาณ 1 วัน กว่าๆ เพราะต้อง อดน้ำ อดอาหาร พ่อก็กลับบ้านผมก็ใช้ชีวิตอยู่ รพ
บรรยากาศตอนนี้คือ เตียงข้างๆ ก็มีสายโยงยางเลย อีกข้างก็นอนนิ่งๆ ขยับอะไรไม่ได้ เตียง ที่อยู่ทะแยงไปไกลๆ ก็เหมือนกัน นอนทั้งวันไม่ขยับตัวเลย ผมปกติที่สุด ในห้องนั้นแหละครับ
ก่อนจะผ่า จะมีแพทย์วิสัญญี (เกิดมาพึ่งเคยได้ยิน) รู้ว่าหน้าที่ของพี่ๆ เค้าคือ ดูแลเรื่องยาสลบ และ อาการข้างเคียง พร้อมให้คำแนะนำว่าเราควรทำยังไง มีคำพูดนึงเค้าบอกว่า
พี่วิสัญญี : “หลังจากผ่าตัดแล้วอ่ะ ถ้าได้ยินใครเรียกชื่อ ให้ขาลรับด้วยนะ”
ผม : “ครับพี่” แต่ในใจผมนี่ก็อึ้งๆ คืออะไร มันจะหนักขนาดนั้นเลยหรอ โอเค ก็ฟังพี่ๆ เค้า
พี่วิสัญญี : “หลังผ่าแล้วฝื้นมาให้ทานน้ำเยอะๆ นะคะ แล้วก็ไม่ต้องตกใจถ้าตื่นมาแล้วรู้สึกปวด ปัสสาวะ ให้นอนปัสสาวะไปเลย“
ผม : “… โอเคครับ“ แต่ในหัวของผม คิดแต่ว่า นี่ก็คืออะไร งงไปหมด ทำไมขนาดนั้นเลยรึ ผมก็รับคำไปแล้วจำ
เวลาผ่านไปก็อดข้าว อดน้ำ จนผ่านเวลาไปถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด
จำเวลาได้ดีเลย 14.00น. (เกิดมาครั้งแรกในชีวิต) พยาบาลผู้ชายมาเอาเตียงมาเข็นเราไป ที่ห้องผ่าตัด ภาพที่วิ่งนี่เหมือนในหนังเลยครับ นอนมองเพดาน มองไฟ ผ่าน วับ วับ ไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ห้องนึง ในใจนี่ก็แบบ เอาแล้ว ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ ในห้องที่รอมีพระพุทธรูปอยู่องค์นึง เราก็ได้แต่ยกมือไหว้ขอพรท่าน ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี หายใจลึกๆ เข้าออกยาาวๆ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก คือ ตื่นเต้น ดีใจที่จะหาย แต่กังวลว่าจะแย่ รู้สึกกลัวไม่ฝื้น คิดถึงพ่อแม่ เวลาช่วงนี้มันยาวนานมาก ก็จำไม่ได้ว่านอนรอนานเท่าไหร่ แล้วก็มีพยาบาลมาเข็นเตียงเราเข้าไปสู่ห้องอีกห้องนึง เหมือนในหนังเลย หมอใส่ชุดสีเขียว ยืนรอเต็ม ถ้าผมจำไม่ผิด 5 คน ขึ้น พยาบาลข้างๆ อีก 2 คน (งานใหญ่แล้ว คิดในใจ) พยาบาลที่เป็นคนจัดการเรื่องยาสลบก็มาถาม จำได้ใช่ไหมว่าตื่นมาขึ้นมาแล้วต้องทำยังไง คุยไปสารพัด แล้วเราก็วูบไป
ตอนนี้จำได้เพียงว่าเหมือนฝันว่าลอยอยู่ในท้องฟ้า เหมือนหลับแล้วบินอยู่บนฟ้า ความรู้สึกคือแปบเดียว แปบเดียวจริงๆ เหมือนหลับไปประมาณ 1 นาที แล้วก็สะดุ้งตื่นมา คุณ ... ค่ะๆ มีเสียงเรียก ใครเรียกผม ในหัวก็สะลึม สะลือ แต่นึกได้เล็กๆ ว่าใครเรียกให้รีบตอบ เอ่อ.. ปากพูดไม่ได้ ได้แต่ยกมือขึ้นนิดหน่อย ก็มีเสียงผู้หญิงพูดว่า โอเคๆ
วินาทีนี้แหละครับ สุดๆ เลย
ที่ปากครอบด้วยสายออกซิเจน
แขนมีสายน้ำเกลือ
อีกข้างเหมือนสายให้เลือด
ส่วนหลังปวด แต่ไม่มาก ออกแนวเจ็บๆ
ที่อวัยวะเพศเหมือนมีอะไรตุ่ยๆ
จากนั้นก็เหมือนโดนเข็นเตียงกลับมาที่ห้องเดิม
พยาบาลก็นับ 1,2,3 ยกผมไปไว้ที่เตียงเดิม เราก็ได้แต่ นอนมึนๆ กึ่งกลับ กึ่งตื่น ช่วงเวลานี้ ก็นอน แล้วก็จะมีพยาบาลเข้ามาถามตลอดครับ แต่จำเวลาไม่ได้ ก็จะมาถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง จนเวลาผ่านไป น่าจะเช้านะครับ ก็เอา ออกซิเจนออก
อาการเจ็บที่แผลก็มีบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าตอนที่ปวดหลังก่อนผ่าครับ ผมก็นอนให้น้ำเกลือ และสายปัสสาวะอยู่ ได้แต่นอนนิ่งๆ ครับ แล้วพยาบาลก็มาบอกว่า ขยับพลิกตัวได้นะคะ ถ้าพอทนได้ แผลจะได้ไม่กดทับ แล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆ ผมจำได้เลย ผมดื่มเป็น กา เลย ตอนที่ดื่มได้ครั้งแรก
หลังจากนนั้นก็พักอยู่วันนึง หมอที่ผ่าตัดให้ผมท่านก็มา (ผมพยายามหาชื่ท่านอยู่ครับ ตอนผมรักษา ผมจำชื่อท่านได้ลางๆ) ท่านมาพร้อมกับนักเรียนแพทย์ 10 กว่าคนได้เลย ผมก็อึ้งๆ เค้าเรียกอาจารย์ๆ คือ นักเรียนก็แบบมีสมุดคนละเล่ม จดๆ ก็มาถามอาการ ตอนนั้นก็จำไม่ได้หรอกครับว่าคุยอะไรบ้างมันผ่านมานานแล้วครับ แต่หลักๆ ก็ถามเรื่องอาการ อะไรทำนองนี้ พร้อมเอาถุงนึงมาให้ เป็นถุงร้อน แล้วคุณหมอก็ยื่นให้ แล้วบอกผมว่า นี่นะครับ ที่ผมเอามันออกมาก เป็น สีชมพูด วุ้นๆ เยอะระดับนึงเลย แล้วท่านก็บอกว่านี่แค่ส่วนนึงนะครับ ผมผ่าเอาเจ้านี่ออกมา ผมก็รับมา แล้วก็ขอบคุณ คุณหมอ ซึ่งผมยังลุกไม่ได้นะครับ
เวลาก็ผ่านไปสัก 3 วัน พยาบาลก็ มาพะยุงให้ลุก แล้วก็ใช้วอล์คเกอร์ เป็นเครื่องช่วยเดิน สี่ขา เหมือนของคนแก่อ่ะครับ ตัวนี้ดีนะครับ มันทำให้เราใช้แรงแขนในการเดิน แทนการลงน้ำหนักที่เท้า ผมนี่ก็เหมือนเด็กหัดเดินเลยครับ ลองคิดสภาพคนที่นอนมาเกือบสัปดาห์แล้ว ผ่าตัดมานะครับ คือ “มันมีอาการลืมไปว่าเดินยังไง” อาการคือ ต้องก้าวขายังไง ต้องทำยังไง แต่พอพยายามแปบนึงสัก สองสามนาทีได้ ก็ขยับขา ออกแรงได้ แล้วก็เดินได้ดีขึ้น มีแรงมาขึ้น โดยใช้เครื่องช่วยเดิน ก็เดินไป รอบๆ ห้องที่พักนั่นแหละครับ (เป็นห้องรวม) แต่ก็อยู่ภายในการดูแลของนักกายภาพครับ เค้าบอกค่อยๆ นะ ก็โอเคครับ ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่ง ฉี่เองได้แล้วก็เลยเอาสายฉี่ออกครับ แล้วอีกวันก็ได้กลับบ้าน รวมเวลาอยู่ รพ ทั้งหมด 5 - 7 วันได้ ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ แต่ประมาณนี้
ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นที่ผ่านมา ผมไม่ได้ใช้เงินสักบาทนะครับ ทั้งหมดที่เล่ามาคือ ฟรี!! ผมใช้สิทธิบัตรทอง กับ ผ่าตัดใช้ประกันสังคมครับ แต่ที่ผมถามกับคุณหมอ และพยาบาล เค้าบอกประมาณ 50,000 บาทครับ ถ้าจ่ายเอง
โอเคครับ หลังจากนั้นผมก็กลับมานอนพักที่บ้าน ก็ใช้ชีวิตแบบ ลุกลำบาก เดินลำบาก ประมาณ 1 เดือน ก็เสียวๆ แผลครับ แต่ก็ใช้ชีวิตช่วยตัวเองได้ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำเอง ทานข้าวเองได้ แล้วก็ถึงเวลานัดไป ดูหลังผ่าตัดครับ ก็พบพยาบาล ตัดไหมออก ครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีนัดแล้วครับ หมอก็สั่งว่าอย่าไปยกของหนัก แล้วก็ให้ทานวิตามินบี 2 ตลอด ชีวิต ผมก็โอเคครับรับปากคุณหมอไป จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ผมใช้ชีวิตมาปกติ... กินเที่ยวเล่น ทำงาน ทุกอย่างได้ปกติ เหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว ออกกำลังกาย ไปวิ่ง มีแค่อาการเดียวที่เป็นอยู่ คือ ตึงหลัง และ เสียวที่แผล ห้ามใครมาแตะ
เมื่อผมเคยผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การผ่าตัดหมอนรองกระดูกไปเมื่ออายุ 20 ปี แต่ตอนนี้ผมกลับมาเป็นมันอีกครั้ง!!
เรืองราวนี้ผมขอแชร์เป็นประสบการณ์นะครับ
ย้อนไปเมื่ออายุสัก 18 ปี ผมมีอาการปวดก้น ตอนแรกๆ ก็ปวดนิดๆ หน่อย เราก็ไม่ได้สนใจเพราะเรานั่งใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ทุกวัน รวมทั้งต้องทำงานยืนขายของ นั่งขายของ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ช่วยพ่อแม่
อาการปวดก็ไม่ได้มีอาการลดลงอย่างใด แต่เราก็ไม่ได้สนใจเพราะตอนนั้นก็คิดแค่ว่า อ๋อ ก็แค่อาการปวด เดี๋ยวถึงเวลาก็หายเอง
แต่เวลาผ่านไปมันไม่ได้เป็นแบบนั้น มันก็มีอาการปวด เรื่อยๆมา จำความได้คือ สัก 3 เดือน อาการปวดไม่ได้ดีขึ้น ก็ปวดๆ แบบพอทนได้เรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงคือ รู้สึกว่ามันเป็นอะไรทำไมไม่หาย เลยไปหาหมอที่ รพ คุณหมอก็บอกว่า อ่อ เอายาคลายกล้ามเนื้อกับยากแก้ปวดไปกิน แล้วก็อย่าไปยกของหนัก
ด้วยความที่เราเป็นเด็กวัยรุ่น เราก็เชื่อฟัง แต่ทำไงได้ เราต้องทำงานครับ เราก็ไม่ได้สนใจตรงเรื่องการยกของ แต่เราก็กินยาตามหมอสั่ง อาการก็ดีขึ้นนิดหน่อย เวลากินยาช่วงเวลานั้น ก็จะดีขึ้น ยาหมดฤทธิ์ ก็มีอาการกลับมา
ที่นี้ จุดพลิกผันคือ ต้องไปเข้าค่าย รด อาการกำเริบมาขึ้นจากจุดนี้
ตอนนั้นจำได้ดีเลยครับ ผมนั่งรถบัส ของ กรมทหารไป ผมไม่ได้ที่นั่งบนเบาะ เลยได้ไปนั่งกองๆ กันอยู่ข้างหลังรถนี่แหละ จาก สนามหลวงไป กาญจนบุรี เราก็หลับไปจนเกือบถึง กาญจนบุรี ตอนนั้น ตื่นมา ช่วงประมาณ 10 โมง 11 โมงได้
อาการปวดรุนแรงมากๆ คือ ปวดชนิดที่ว่าเดินลงจากรถไปเข้าห้องน้ำไม่ไหว แต่เพื่อนๆ หรือ คนอื่น ก็ไม่ได้สนใจอะไร เราก็อดทนไปทั้งแบบนั้น (เวลาปวดหลังหนักๆ เหงื่อจะออก หน้าซีด) แต่ก็อดทนเอา
ภายใน 5 วันที่ฝึก ผมใช้วิธีอดทนเอาทุกวัน ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ทรมานมาก ห้องน้ำในค่ายนั้นก็ เป็นแบบ ยองๆ กลางคืนนี่หนาวมาก แล้วเราต้องเดินเท้าเข้าป่า ระยะทางไกลๆ ก็ต้องอดทน คือ อาการเมื่อยมันยังพอทนได้ แต่อาการปวดหลังเนี่ยมันสุดๆ จริงๆ
ผมว่าการฝึกสำหรับผม ผมเฉยๆ มาก ไม่ได้หนักอะไรเลย แต่มันทรมานตรงที่ผมไม่ปกตินี่แหละ เวลาที่รู้สึกดีที่สุด คงจะเป็นเวลาที่ได้นอน ในเต๊นท์นี่แหละ ตอนนั้นคิดแบบว่า ทำไมชีวิตมันช่างโหดร้ายขนาดนี้ ก็อดทนเอา จนครบ 5 วัน และผ่านมันมาได้
จากนั้นกลัยมาถึงบ้าน ได้นอนพัก ไป 2 วันติด คือ เกิดมาพึ่งเคยนอนมากขนาดนี้ กลับมาถึงบ้าน 6 โมงเย็น แล้วตื่น 6 โมงเช้า ของอีก 2 วันถัดมา
แต่อาการปวดหลังมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ทุกๆ เช้าตื่นมาเราจะดีใจว่าเฮ้ยนี่เราหายแล้วหรอ แต่เปล่าเลย พอเราเดินลงบันไดบ้านมาเท่านั้นแหละ อาการปวดก็จะค่อยๆ เพิ่มๆ จนปวดรู้สึกได้ ตอนนั้นเราก็เข้าออก โรงพยาบาลเรื่อยๆ เป็นปีได้ โดยการ กายภาพ วันเว้นวัน (กายภาพโดยการดึงหลัง ทำอัลคร้าซาว บางทีก็มีนอนที่แผ่นร้อน) ไปจน พี่ๆ ที่ห้องกายภาพจำได้ว่ามาอีกแล้วหรอ ทุกครั้ง พี่ๆ ก็จะถามว่าดีขึ้นบ้างไหม เราก็ได้แต่บอกเค้าว่าดีขึ้นครับ แต่ไม่หาย ซึ่ง มันก็ดีขึ้นบ้าง แต่พอเราต้องทำงานมันก็กลับมาเป็น ซ้ำๆ เหมือนวนลูป แต่แล้วก็มีโชคดีของผมอยู่บ้าง ก็คือเจอคุณหมอใจดี ท่านเห็นว่ารักษามานานแล้วไม่ดีขึ้นเลย อาการกลับทรุดลง ท่านเลยเซ็นใบให้ผมไปทำ MRI ที่ อุรุพงษ์ ผลการ MRI ก็ตามที่คุณหมอบอก หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท L4 L5 S1 ส่วนของ L5 นี่ ดำจนเกือบไม่เหลือหมอนรองกระดูกเลย ส่วน S1 ก็เหมือนกัน ,แต่ L4 พึ่งเริ่มมีอาการ
แล้วเวลาก็ผ่านไปจนผมเรียนจบ ปวช และเข้าเรียนต่อมหาลัย (โชคดีอีกอย่างคือ ผมเข้ามหาลัย โดยการยื่นโควต้า แล้วได้เรียนเลยครับ ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางสอบ) ทีนี้ผมก็ต้องเปลี่ยนการทำงาน ปกติเราขายของอยู่กับที่บ้าน ทีนี้ต้องเปลี่ยนเป็นมาทำงานร้านสะดวกซื้อแทน เป็นพนักงาน Part-time ด้วยความเป็นผู้ชาย ผมก็ต้องทำงานทุกอย่างในร้านครับ ผมทำได้ทุกหน้าที่ในร้านเลย พี่ๆ ที่ร้านเค้าก็รักมาก ก็ถามไถ่อาการตลอดไม่ไหวก็ให้ไปนั่งพักได้ แต่อาการที่ผมเป็นมันก็ยังคงเป็นอยู่ บางทีตื่นตอนเช้า นี่แทบไม่อยากลุก คือไม่ใช่ขี้เกียจนะครับ แต่พอลุกแล้ว สักพักมันจะปวดมากๆ แต่ก็อดทนเอา แล้วตอนนี้ ก็เปลี่ยน รพ มารักษา ใน กทม แทน เพราะมีสิทธิประกันสังคม ก็เข้าๆ ออกๆ รพ ได้ มาประมาณ อีกเกือบปีได้ จนหมอที่ รพ ท่านถามว่า จะผ่าตัดไหม ตอนนั้นทุกๆ อย่างในชีวิต คือแบบ ผมจะรอดมั้ยเนี่ย เพราะ เวลาเราไปปรึกษาใครนี่ก็มีแบบ “เนี่ย ป้าคนนั้นผ่าแล้ว เดินไม่ได้เลย” “ลุงคนนั้นผ่าแล้ว ตอนนี้นอนอย่างเดียว ลุกไม่ขึ้น” ชีวิตนี่แบบ โหว แล้วผมจะกล้าผ่าไหมเนี่ย แต่ตอนนั้นคือ อาการมันแย่สุดๆ มาก แล้วครับ คือ เดินไปไม่เกิน 7 ก้าว ต้องนั่ง เพราะถ้าไม่นั่งอาการมันจะปวดมาก แล้วก็เดินต่อไม่ได้ คือใจเราเนี่ยมันไปจะ แต่ยกขาไม่ขึ้นแล้ว (คุณหมอบอกว่านี่คืออาการขั้นสุดท้ายแล้วล่ะ คือเส้นประสาทมันโดนกดทับจนทำให้ขาไม่มีแรงไปแล้ว)
วันที่ตัดสินใจผ่า
ผมก็ปรึกษากับทางพ่อและแม่ ว่าจะผ่าครับ ผมคงไม่ทนแล้ว เพราะว่าทนไม่ไหวจริงๆ คือเราอดทนมา 2 ปีกว่าๆ ได้ครับ ก็เลยตัดสินใจ จากนั้นก็คุยกับคุณหมอ คุณหมอท่านก็ดีนะครับ นัดวันผ่าได้แบบทันทีเลย บวกกับเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของมหาลัยครับ ก็เลยสะดวก ผ่าเสร็จก็นอนพักได้เลยตัดสินใจ วันนั้นจำได้เลยครับเป็นช่วงเดือนเมษา ผมนั่งรถแท็กซี่จากที่บ้านไป รพ ไปกับพ่อ (อยากจะบอกนะครับว่าคนที่ห่วงเรามากที่สุดในชีวิตก็พ่อกับแม่) ไปถึงยังไม่ได้ผ่าหรอกครับก็นอนรอที่ รพ ประมาณ 1 วัน กว่าๆ เพราะต้อง อดน้ำ อดอาหาร พ่อก็กลับบ้านผมก็ใช้ชีวิตอยู่ รพ
บรรยากาศตอนนี้คือ เตียงข้างๆ ก็มีสายโยงยางเลย อีกข้างก็นอนนิ่งๆ ขยับอะไรไม่ได้ เตียง ที่อยู่ทะแยงไปไกลๆ ก็เหมือนกัน นอนทั้งวันไม่ขยับตัวเลย ผมปกติที่สุด ในห้องนั้นแหละครับ
ก่อนจะผ่า จะมีแพทย์วิสัญญี (เกิดมาพึ่งเคยได้ยิน) รู้ว่าหน้าที่ของพี่ๆ เค้าคือ ดูแลเรื่องยาสลบ และ อาการข้างเคียง พร้อมให้คำแนะนำว่าเราควรทำยังไง มีคำพูดนึงเค้าบอกว่า
พี่วิสัญญี : “หลังจากผ่าตัดแล้วอ่ะ ถ้าได้ยินใครเรียกชื่อ ให้ขาลรับด้วยนะ”
ผม : “ครับพี่” แต่ในใจผมนี่ก็อึ้งๆ คืออะไร มันจะหนักขนาดนั้นเลยหรอ โอเค ก็ฟังพี่ๆ เค้า
พี่วิสัญญี : “หลังผ่าแล้วฝื้นมาให้ทานน้ำเยอะๆ นะคะ แล้วก็ไม่ต้องตกใจถ้าตื่นมาแล้วรู้สึกปวด ปัสสาวะ ให้นอนปัสสาวะไปเลย“
ผม : “… โอเคครับ“ แต่ในหัวของผม คิดแต่ว่า นี่ก็คืออะไร งงไปหมด ทำไมขนาดนั้นเลยรึ ผมก็รับคำไปแล้วจำ
เวลาผ่านไปก็อดข้าว อดน้ำ จนผ่านเวลาไปถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด
จำเวลาได้ดีเลย 14.00น. (เกิดมาครั้งแรกในชีวิต) พยาบาลผู้ชายมาเอาเตียงมาเข็นเราไป ที่ห้องผ่าตัด ภาพที่วิ่งนี่เหมือนในหนังเลยครับ นอนมองเพดาน มองไฟ ผ่าน วับ วับ ไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ห้องนึง ในใจนี่ก็แบบ เอาแล้ว ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ ในห้องที่รอมีพระพุทธรูปอยู่องค์นึง เราก็ได้แต่ยกมือไหว้ขอพรท่าน ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี หายใจลึกๆ เข้าออกยาาวๆ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก คือ ตื่นเต้น ดีใจที่จะหาย แต่กังวลว่าจะแย่ รู้สึกกลัวไม่ฝื้น คิดถึงพ่อแม่ เวลาช่วงนี้มันยาวนานมาก ก็จำไม่ได้ว่านอนรอนานเท่าไหร่ แล้วก็มีพยาบาลมาเข็นเตียงเราเข้าไปสู่ห้องอีกห้องนึง เหมือนในหนังเลย หมอใส่ชุดสีเขียว ยืนรอเต็ม ถ้าผมจำไม่ผิด 5 คน ขึ้น พยาบาลข้างๆ อีก 2 คน (งานใหญ่แล้ว คิดในใจ) พยาบาลที่เป็นคนจัดการเรื่องยาสลบก็มาถาม จำได้ใช่ไหมว่าตื่นมาขึ้นมาแล้วต้องทำยังไง คุยไปสารพัด แล้วเราก็วูบไป
ตอนนี้จำได้เพียงว่าเหมือนฝันว่าลอยอยู่ในท้องฟ้า เหมือนหลับแล้วบินอยู่บนฟ้า ความรู้สึกคือแปบเดียว แปบเดียวจริงๆ เหมือนหลับไปประมาณ 1 นาที แล้วก็สะดุ้งตื่นมา คุณ ... ค่ะๆ มีเสียงเรียก ใครเรียกผม ในหัวก็สะลึม สะลือ แต่นึกได้เล็กๆ ว่าใครเรียกให้รีบตอบ เอ่อ.. ปากพูดไม่ได้ ได้แต่ยกมือขึ้นนิดหน่อย ก็มีเสียงผู้หญิงพูดว่า โอเคๆ
วินาทีนี้แหละครับ สุดๆ เลย
ที่ปากครอบด้วยสายออกซิเจน
แขนมีสายน้ำเกลือ
อีกข้างเหมือนสายให้เลือด
ส่วนหลังปวด แต่ไม่มาก ออกแนวเจ็บๆ
ที่อวัยวะเพศเหมือนมีอะไรตุ่ยๆ
จากนั้นก็เหมือนโดนเข็นเตียงกลับมาที่ห้องเดิม
พยาบาลก็นับ 1,2,3 ยกผมไปไว้ที่เตียงเดิม เราก็ได้แต่ นอนมึนๆ กึ่งกลับ กึ่งตื่น ช่วงเวลานี้ ก็นอน แล้วก็จะมีพยาบาลเข้ามาถามตลอดครับ แต่จำเวลาไม่ได้ ก็จะมาถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง จนเวลาผ่านไป น่าจะเช้านะครับ ก็เอา ออกซิเจนออก
อาการเจ็บที่แผลก็มีบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าตอนที่ปวดหลังก่อนผ่าครับ ผมก็นอนให้น้ำเกลือ และสายปัสสาวะอยู่ ได้แต่นอนนิ่งๆ ครับ แล้วพยาบาลก็มาบอกว่า ขยับพลิกตัวได้นะคะ ถ้าพอทนได้ แผลจะได้ไม่กดทับ แล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆ ผมจำได้เลย ผมดื่มเป็น กา เลย ตอนที่ดื่มได้ครั้งแรก
หลังจากนนั้นก็พักอยู่วันนึง หมอที่ผ่าตัดให้ผมท่านก็มา (ผมพยายามหาชื่ท่านอยู่ครับ ตอนผมรักษา ผมจำชื่อท่านได้ลางๆ) ท่านมาพร้อมกับนักเรียนแพทย์ 10 กว่าคนได้เลย ผมก็อึ้งๆ เค้าเรียกอาจารย์ๆ คือ นักเรียนก็แบบมีสมุดคนละเล่ม จดๆ ก็มาถามอาการ ตอนนั้นก็จำไม่ได้หรอกครับว่าคุยอะไรบ้างมันผ่านมานานแล้วครับ แต่หลักๆ ก็ถามเรื่องอาการ อะไรทำนองนี้ พร้อมเอาถุงนึงมาให้ เป็นถุงร้อน แล้วคุณหมอก็ยื่นให้ แล้วบอกผมว่า นี่นะครับ ที่ผมเอามันออกมาก เป็น สีชมพูด วุ้นๆ เยอะระดับนึงเลย แล้วท่านก็บอกว่านี่แค่ส่วนนึงนะครับ ผมผ่าเอาเจ้านี่ออกมา ผมก็รับมา แล้วก็ขอบคุณ คุณหมอ ซึ่งผมยังลุกไม่ได้นะครับ
เวลาก็ผ่านไปสัก 3 วัน พยาบาลก็ มาพะยุงให้ลุก แล้วก็ใช้วอล์คเกอร์ เป็นเครื่องช่วยเดิน สี่ขา เหมือนของคนแก่อ่ะครับ ตัวนี้ดีนะครับ มันทำให้เราใช้แรงแขนในการเดิน แทนการลงน้ำหนักที่เท้า ผมนี่ก็เหมือนเด็กหัดเดินเลยครับ ลองคิดสภาพคนที่นอนมาเกือบสัปดาห์แล้ว ผ่าตัดมานะครับ คือ “มันมีอาการลืมไปว่าเดินยังไง” อาการคือ ต้องก้าวขายังไง ต้องทำยังไง แต่พอพยายามแปบนึงสัก สองสามนาทีได้ ก็ขยับขา ออกแรงได้ แล้วก็เดินได้ดีขึ้น มีแรงมาขึ้น โดยใช้เครื่องช่วยเดิน ก็เดินไป รอบๆ ห้องที่พักนั่นแหละครับ (เป็นห้องรวม) แต่ก็อยู่ภายในการดูแลของนักกายภาพครับ เค้าบอกค่อยๆ นะ ก็โอเคครับ ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่ง ฉี่เองได้แล้วก็เลยเอาสายฉี่ออกครับ แล้วอีกวันก็ได้กลับบ้าน รวมเวลาอยู่ รพ ทั้งหมด 5 - 7 วันได้ ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ แต่ประมาณนี้
ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นที่ผ่านมา ผมไม่ได้ใช้เงินสักบาทนะครับ ทั้งหมดที่เล่ามาคือ ฟรี!! ผมใช้สิทธิบัตรทอง กับ ผ่าตัดใช้ประกันสังคมครับ แต่ที่ผมถามกับคุณหมอ และพยาบาล เค้าบอกประมาณ 50,000 บาทครับ ถ้าจ่ายเอง
โอเคครับ หลังจากนั้นผมก็กลับมานอนพักที่บ้าน ก็ใช้ชีวิตแบบ ลุกลำบาก เดินลำบาก ประมาณ 1 เดือน ก็เสียวๆ แผลครับ แต่ก็ใช้ชีวิตช่วยตัวเองได้ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำเอง ทานข้าวเองได้ แล้วก็ถึงเวลานัดไป ดูหลังผ่าตัดครับ ก็พบพยาบาล ตัดไหมออก ครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีนัดแล้วครับ หมอก็สั่งว่าอย่าไปยกของหนัก แล้วก็ให้ทานวิตามินบี 2 ตลอด ชีวิต ผมก็โอเคครับรับปากคุณหมอไป จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ผมใช้ชีวิตมาปกติ... กินเที่ยวเล่น ทำงาน ทุกอย่างได้ปกติ เหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว ออกกำลังกาย ไปวิ่ง มีแค่อาการเดียวที่เป็นอยู่ คือ ตึงหลัง และ เสียวที่แผล ห้ามใครมาแตะ