ขอแชร์ประสบการณ์นี้มาเพื่อเป็นกำลังใจล้วน ๆ นะคะ เชื่อเถอะว่าถ้าอิชั้นทำได้ คุณทำได้ค่ะ...(ไม่ถูกหลักซักกะสาขาศาสตร์ แต่กินขาดเรื่องใจค่ะ)
เพราะมีทริปจะไปเทรคเบาๆ ที่อินเดียในเดือนมิถุนายน เลยเริ่มลุกจากที่นอนไปเดินออกกำลังกายที่โรงเรียนลูกตอนกลางเดือนพฤษภาคม ไปมั่งไม่ไปมั่งตามประสาคุณแม่แพ้การออกกำลัง เดินแล้วอายผู้สูงอายุก็เลยลองวิ่งเบา ๆ ให้พอได้แซงคุณน้าคุณป้าซักหน่อย วันแรก ๆ 200 เมตรจะเป็นจะตาย (ไมมันเหนื่อยจังฟะ) และกลายเป็น 1 กิโลเมตรแบบต่อเนื่องอย่างทุลักทุเล สามีเห็นถึงความตั้งใจที่จะไม่ออกไปวิ่ง เลยบอกอิชั้นว่าลงวิ่งงานบางแสนฮาฟมาราธอนไว้ ไปเป็นคู่และลอตโต้ได้แล้ว เดือนธันวานะ... พี่คะ ๆ ฮาฟนี่มัน 21 กิโลเปล่าคะ นี่มันระยะจากบ้านไปที่ทำงานเลยนะ ตะโกนในใจดัง ๆ...มันไกลไปมั้ย??? ทำไมต้องวิ่ง??? ตรูจะไหวได้ไง??? มันใช่หน้าที่เหรอ???
เสียหน้าไม่ว่า แต่จะไม่ยอมเสียเงินค่าสมัครฟรี ๆ จ่ายเงินแล้วต้องไป ไม่ถึงเส้นชัยไม่ใช่ปัญหา ถือว่าไปหาประสบการณ์ เดินไกล 21 กิโล เป็นอะไรที่ท้าทายมาก (ไม่กล้าใช้คำว่าวิ่งเพราะรู้สมรรถภาพตัวเองนะวันนั้น) เริ่มซ้อมจากการวิ่งต่อเนื่อง 1 กิโล 2 กิโล 3 กิโล ไปจนถึง 16 กิโลก่อนลงสนามจริง... ข้อความสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งบรรทัดแต่ใช้เวลา กว่า 6 เดือนนะคะ และระหว่างทางเต็มไปด้วยร้อยแปดข้ออ้างที่จะไม่ซ้อม เช่น นอนน้อย เหนื่อย เพลีย ร้อน ไม่สบาย เจ็บขา หน้าพัง ฝนตก แดดออก บลา ๆ ๆ และบอกตัวเองว่าจะไม่ทรมานตัวเองเกินอาทิตย์ละ 4 วันเป็นอันขาด เอาเข้าจริง วิ่งอาทิตย์ละ 3 วันเต็มที่ค่ะคุณ ทุกวันอาทิตย์จะมีโอกาสได้ไปวิ่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่พุทธมณฑลบ้าง หนึ่งรอบวงกลมระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร ค่อย ๆ เก็บระยะกันไป อิชั้นไม่มีเทรนเนอร์ค่ะ มีแต่สามี...อุ้ย!!! อาศัยหาข้อมูลในเน็ตอ่านเอา ได้ความว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปและไม่ก้าวกระโดด เพิ่มระยะได้ไม่เกินอาทิตย์ละ 5% ก็ตามนั้นค่ะ
สามีจริงจังกับการวิ่งมากและอยากไปงาน World Major Marathon ซักครั้ง ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นงาน Tokyo Marathon ที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม แต่จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างแล้วโอกาสได้มียากมากกกกกกก...กอไก่แสนตัวก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน ตอนแรกอิชั้นกรอกใบสมัครให้สามีแต่ไม่ได้กรอกของตัวเองเพราะไม่มีแบบสมัครเป็นคู่ และคิดในใจว่าหลังจากฮาฟที่บางแสนก็ไม่อยากจะทรมานตัวเองอีกแล้ว แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่ถ้าลอตโต้ได้ มันจะได้มากกว่าการไปวิ่งนะ อิชั้นจะได้ไปเที่ยวด้วย ว่าแล้วก็ไม่รอช้า รีบกรอกใบสมัครตามหลังจากสามีสองสามวัน ผลปรากฏว่าหลังประกาศผลในเดือนตุลาคม อิชั้นได้เมล์ตอบกลับมาว่า "Accepted" ในขณะที่ของสามี "Not accepted" ณ ขณะที่อิชั้นยังรู้สึกสับสนงงงวยกับผลลอตโต้อยู่นั้นก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าสามีเสียดายและเสียใจมาก เพราะถ้าการจับฉลากวัดจากความตั้งใจ อิชั้นคงจะไม่มีวันได้สิทธิ์นั้นแน่ ๆ และใจจริงก็อยากให้สิทธิ์นั้นเป็นของสามีมากกว่า อิชั้นพยายามเมล์ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ขอร้องให้สามีได้วิ่งด้วยกันหรือโอนสิทธิ์ของอิชั้นให้สามีก็ได้ สารพัดจะพรรณนา แต่ผลที่ตอบกลับมาก็คือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วตามข้อกำหนดของการสมัครแต่แค่อยากขอลองดูซักตั้ง
หลังจากสามีทำใจได้ก็ถามอิชั้นว่าจะไปเหรอ อิชั้นก็ตอบว่าอยากไป สามีก็โอเคแต่บอกว่าถ้าจะไปโตเกียว ก็ต้องตั้งใจซ้อมจริงจังกว่านี้เพราะไม่ใช่แค่ฮาฟแล้ว อันนี้คือฟูลซึ่งมันแตกต่างกันมาก ตอนนั้นด้วยอารมณ์อยากไปเที่ยวแล้วรู้สึกถึงความโชคดีที่ได้รับมา ก็เลยยอมจำนนต่อข้อตกลงทุกอย่าง ได้สามีเป็นเพื่อนซ้อมและบอกเทคนิคซึ่งทำอย่างเค้าไม่ค่อยจะได้เพราะเราอึดไม่พอ ซ้อมมากขึ้นก็เจ็บซะอีก เดือนธันวาคมวันงานวิ่งฮาฟที่บางแสนต้องกินยาระงับปวดกันเลยทีเดียว ลงสนามครั้งแรกก็อยากสนุกไปกับมันแต่ร่างกายมันไม่เอาด้วย สามีไม่ยอมวิ่งนำไปก่อน เพราะเค้ากลัวอิชั้นจะไม่ไหว ไหนจะเจ็บไหนจะซ้อมไม่ถึง เดิน ๆ วิ่ง ๆ ตั้งแต่กิโลที่ 16 แล้วก็เดินยาว ๆ ตอนขึ้นเนินเขาสามมุข และสุดท้ายก็ทั้งดันทั้งลากกันไปจนเข้าเส้นชัย ใช้เวลาไปสองชั่วโมงห้าสิบห้านาที ไม่มีสถิติสวย ๆ มาโชว์ใครแต่ก็ภูมิใจที่ไปถึง
จบงานบางแสนก็ต้องไปหาหมอรักษาอาการเจ็บ ไปนอนให้คุณหมอเอาไฟฟ้าจี้อยู่ 2 - 3 ครั้ง พอดีขึ้นก็เริ่มซ้อมต่อ เพราะรู้แล้วว่าถ้าซ้อมไม่มากพอจะยิ่งทรมานร่างกายในวันจริง
ประทับใจงานวิ่งที่บางแสนมาก ผู้จัดทำดี ทั้งการจัดการ เส้นทาง อาหารการกิน มางานแรกเจอแบบนี้ก็รักเลย สามีเองก็อยากลงงานวิ่งมาราธอนอีก อิชั้นช่วยหาบิ๊บให้ ได้ที่งานจอมบึงเดือนมกราคม ก็เลยลงมาราธอนทั้งสองคน แต่คราวนี้บอกสามีว่าให้วิ่งไปทำเวลาทดสอบตัวเองเลย ไม่ต้องรอเพราะไม่เจ็บ และอิชั้นกะแค่มาซ้อมวิ่งไกลตามตาราง 12 สัปดาห์เท่านั้น (หามาจากในเน็ต) ตั้งใจว่าวิ่งได้ซัก 30 กิโลก็จะเดินยาว กลัวเจ็บแล้วจะซ้อมต่อก่อนไปโตเกียวไม่ไหว ถ้าเจ็บอีกนี่หมดอนาคตเลย ถึงเวลาเอาเข้าจริง ๆ เดินกึ่งวิ่งตั้งแต่กิโลที่ 25 และหลังจากกิโลที่ 30 อิชั้นก็เดินชมแดดไปตลอดทาง ระบมไปหมด ก้าวไม่ออก พยายามจะวิ่งแต่ไหงช้ากว่าคนเดินซะงั้น กัดฟันเดินจนถึงเส้นชัยด้วยเวลาหกชั่วโมงห้าสิบเก้านาที ซ้อมแค่ไหนได้แค่นั้นจริง ๆ คนตั้งใจอย่างสามีทำเวลาดีมาก แค่สี่ชั่วโมงครึ่งเอง อิชั้นไม่ห่วงเรื่องความเร็วแต่ห่วงเรื่อง cut off ถ้าไปโตเกียวแล้วอาการอย่างวันนี้คงไม่ได้วิ่งจนสุดเส้นทางแน่ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่ายังมีเวลา และแค่ต้องใช้เวลาน้อยกว่านี้ครึ่งชั่วโมงก็จะทันเข้าเส้นชัยที่โตเกียวได้
พูดถึงตารางซ้อม 12 สัปดาห์ก่อนมาราธอนก็มีให้เลือกมากมายตามความถนัด แต่อิชั้นเลือกแบบที่ได้พักวันเว้นวัน และแน่นอนทำได้แค่ประมาณ 70% เท่านั้น เค้าให้วิ่ง 10 โล ก็วิ่ง 8 โล เค้าให้วิ่ง 8 โล ก็วิ่ง 5 โล วันที่ไม่ใช่วันพักก็ขอพักเพราะเมื่อวันก่อนซ้อมเหนื่อย มีข้ออ้างตลอด มีวินัยมากถึงมากที่สุด ตอนนี้ไม่ค่อยกลัวคำขู่สามีเท่าไหร่เพราะจองตั๋วแล้ว ไม่ขยันเหมือนตอนแรก ๆ แต่ก็บอกตัวเองนะ ว่าตังก็เสีย เหนื่อยก็เหนื่อย ขอเอาเหรียญกลับบ้านหน่อยเถอะ สามีเคยบอกว่าซ้อมอย่างอิชั้น ถ้าเข้าเส้นชัยทันเวลาคงต้องมาพิจารณากันใหม่ในเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้บอกไว้เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน (อิชั้นคิดเอาเองว่าสงสัยสามีอยากให้ตั้งใจซ้อมกว่านี้มั้ง เลยดูถูกไว้หน่อย ๆ จะได้เป็นแรงผลักให้เราขยัน..แต่อิชั้นว่าช่วยผลักให้ไปนอนมากกว่า) ถ้าถามอิชั้นว่ายากที่สุดสำหรับการรวิ่งมาราธอนคืออะไร ก็จะตอบว่าการลุกจากที่นอนเพื่อไปซ้อมวิ่งในตอนเช้านี่แหละ ยากที่สุด (ซ้อมเย็นไม่ได้เพราะทำงาน ถึงบ้านก็สี่ห้าทุ่มแล้ว หมดกำลัง)
และแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ วันงานวิ่ง Tokyo Marathon ก็มาถึง ไปถึงโตเกียวก่อน 4 วัน พายุเข้า อากาศหนาว เย็นจัดประมาณ 1องศา แถมมีฝนโปรยปรายตลอด แต่ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ก็ไม่มีวันไหนได้ซ้อมวิ่งเลย รายการท่องเที่ยวแน่นเอียดตลอดทุกวัน ไม่กดดันตัวเองแล้วเพราะต้องยอมรับความจริงว่าสำหรับการวิ่งมาราธอน อิชั้นอ่อนซ้อมมาก ๆ จะเดินขึ้นรถก็ขอเดินสวย ๆ ตอนนี้พูดอะไรก็ได้แต่วันนั้นโคครกังวล อิชั้นวิ่งตามทริคที่อิชั้นอ่านมาเพราะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถวิ่งได้ตลอด 42.195 กิโลแน่ ๆ อิชั้นก็เลยจะหยุดวิ่งและเปลี่ยนเป็นเดินทุกจุดให้น้ำ อ่านในเน็ต(อีกแล้ว) เค้าบอกว่าต้องเริ่มตั้งแต่ 2 กิโลแรก วิ่ง 2 โลเดิน 2 นาที ประมาณนี้แล้วแต่ถนัด แต่วันนั้นจุดให้น้ำจุดแรกอยู่ที่ 5 กิโล ไม่เป็นไรทุกอย่างยืดหยุ่นได้ และเราต้องจัดการในแบบของเราเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองมีความตั้งใจที่จะเดินสุด ๆ เห็นจุดให้น้ำไกล ๆ นี้ยิ้มแล้ว อิชั้นจะได้พักเดินตั้ง 2 นาที ในใจขอแค่อย่าโดนคัทนะ ขอร้องงงงงงง เหลียวมองรถเก็บนักวิ่งไปตลอดทาง ก็ผ่านจุดคัทออฟทันเวลามาเรื่อย ๆ จนกิโลที่ 34 เกิดอาการผะอืดผะอมอยากจะอาเจียนวิ่งต่อไม่ไหวทั้งที่เหลืออีกไม่ถึงสิบโลและแน่นอนว่าห้าชั่วโมงกว่าเข้าไปล้าววว แต่ก็ต้องเข้าหาหน่วยแพทย์ข้างทางเผื่อเค้าจะมียาอะไรพอช่วยได้ ณ จุดนั้นแค่ 1 กิโลมันก็แสนยาวไกล หน่วยแพทย์น่ารักและกุลีกุจอช่วยเหลือ แต่อิชั้นขำ อิชั้นบอกว่าอิชั้นอยากอาเจียน เค้าตอบกลับมาว่าเค้าไม่มีถังขยะ ให้เค้าช่วยอย่างอื่นได้มั้ย นี่คืออิชั้นอ่อนภาษาหรือว่าเราไม่เข้าใจกัน อิชั้นบอกอีกว่าขอยาอะไรก็ได้ที่ทำให้อาการไม่สบายตัวมันดีขึ้น เค้าก็ตอบกลับมาว่าเค้าไม่มียาแบบนั้นนะ แต่เดี๋ยวจะหาอะไรร้อน ๆ มาให้ทาน แล้วก็ได้ชาร้อนมาหนึ่งแก้ว จิบเข้าไป อย่างไม่น่าเชื่อ แป๊ปเดียวดีขึ้นเลย สงสัยจะมาถูกทาง พอเริ่มดีขึ้นก็ขอออกไปวิ่งต่อเลย เวลาไม่ได้เหลือเยอะแยะ แต่ก็ยังมีกะใจเซลฟี่กับสถานที่ข้างทางบ้าง เดิน ๆ วิ่ง ๆ จนเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 6 ชั่วโมงกว่าๆ ใช้เวลาที่เค้าให้เต็มที่มาก ๆ เพซเฉลี่ยอยู่ที่ 8 กว่าโน่นแหละค่ะ ในที่สุดก็ได้เหรียญกับคนอื่นเค้า...ดีใจๆๆๆๆ
สิ่งที่อยากบอก :
1. การวิ่งมาราธอนไม่ใช่เรื่องของผู้วิเศษ แต่เป็นเรื่องของผู้ที่สามารถอดทนทำอะไรเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้อย่างที่ตั้งใจ แค่นั้นจริง ๆ แล้วคุณจะพิเศษ
2. ตัวกำหนดว่าคุณจะจบมาราธอนได้หรือไม่ คือความตั้งใจและการซ้อมที่มากพอ
3. ถ้าคิดจะไปมาราธอน คุณควรมีวินัย แต่ถ้ามีน้อยอย่างอิชั้น คุณต้องมีศรัทธามากหน่อย เชื่อมั่นว่ามันจะผ่านไปได้ แม้ว่าจะแบบไหนก็ตาม อย่ากดดันตัวเองจนเกินไป เราจะยังได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ เสมอไม่ว่าจะวิ่งจบหรือไม่จบ
4. ซ้อมมากแกร่งมาก ซ้อมน้อยแกร่งน้อย (ไม่รวมเจ็บนะคะ) อันนี้ความจริงที่ต้องบอกตัวเองไว้เสมอ ทำเท่าไหร่ ได้เท่านั้นล้านเปอร์เซ็นต์ การซ้อมวิ่งคือการสะสมแต้มวิ่งเพื่อไปรับรางวัลเป็นเหรียญมาราธอน เกมนี้คุณไม่สามารถแลกเหรียญรางวัลมาโดยไม่ผ่านการสะสมแต้มค่ะ
5. ถ้าคุณแข็งแกร่ง มาราธอนคือการวัดระดับความสามารถของคุณยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าไม่ มาราธอนคือการได้ชื่นชมทุกสิ่งอย่างบนเส้นทาง ความสวยงาม ผู้คน ทิวทัศน์ กำลังใจและน้ำใจ ใช้เวลาให้เต็มที่เลย
6. อากาศเย็น ๆ ช่วยให้การวิ่งมาราธอนดีขึ้นมากกว่าอากาศร้อน ๆ และเมื่อต้องการจะเข้าห้องน้ำ ควรหามินิมาร์ทข้างทาง เพราะจุดที่ทางงานวิ่งเตรียมไว้จะให้จะใช้เวลานานมาก
7. ถ้าตอนซ้อมยาวกินแค่น้ำกับเจล วันวิ่งจริงก็ควรกินแค่น้ำกับเจล แม้อาหารตรงหน้าและข้างทางจะยั่วยวนซักปานใดก็ต้องข่มใจ เพราะถ้าหลังกินเข้าไปแล้วมีอาการผิดปกติ คุณอาจวิ่งไม่จบได้เลยนะ
8. อ่านจากคำแนะนำของท่านผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแล้วขอน้อมรับว่าอิชั้นเสี่ยงเกินไป ที่ซ้อมวิ่งไม่ถึงปีก็ไปมาราธอนซะแล้ว แต่บางทีโอกาสก็ไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่พร้อมเสมอ ยอมแลกโดยที่ไม่รู้อนาคตว่าจะมีอันตรายอะไรตามมาหรือเปล่า ถ้าคุณๆ พอจะมีเวลาก็สะสมแต้มวิ่งให้เยอะ ๆ ก่อนจะตัดสินใจลงมาราธอนนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากมนุษย์แม่ค่ะ
ทักเข้ามาสอบถามหรือพูดคุยกันได้นะคะ ยินดีแชร์ประสบการณ์ถ้าเป็นประโยชน์ค่ะ
เส้นทางก่อนจะจบ โตเกียวมาราธอน 2018 ฉบับมนุษย์แม่....แก่ราว ๆ 40
เพราะมีทริปจะไปเทรคเบาๆ ที่อินเดียในเดือนมิถุนายน เลยเริ่มลุกจากที่นอนไปเดินออกกำลังกายที่โรงเรียนลูกตอนกลางเดือนพฤษภาคม ไปมั่งไม่ไปมั่งตามประสาคุณแม่แพ้การออกกำลัง เดินแล้วอายผู้สูงอายุก็เลยลองวิ่งเบา ๆ ให้พอได้แซงคุณน้าคุณป้าซักหน่อย วันแรก ๆ 200 เมตรจะเป็นจะตาย (ไมมันเหนื่อยจังฟะ) และกลายเป็น 1 กิโลเมตรแบบต่อเนื่องอย่างทุลักทุเล สามีเห็นถึงความตั้งใจที่จะไม่ออกไปวิ่ง เลยบอกอิชั้นว่าลงวิ่งงานบางแสนฮาฟมาราธอนไว้ ไปเป็นคู่และลอตโต้ได้แล้ว เดือนธันวานะ... พี่คะ ๆ ฮาฟนี่มัน 21 กิโลเปล่าคะ นี่มันระยะจากบ้านไปที่ทำงานเลยนะ ตะโกนในใจดัง ๆ...มันไกลไปมั้ย??? ทำไมต้องวิ่ง??? ตรูจะไหวได้ไง??? มันใช่หน้าที่เหรอ???
เสียหน้าไม่ว่า แต่จะไม่ยอมเสียเงินค่าสมัครฟรี ๆ จ่ายเงินแล้วต้องไป ไม่ถึงเส้นชัยไม่ใช่ปัญหา ถือว่าไปหาประสบการณ์ เดินไกล 21 กิโล เป็นอะไรที่ท้าทายมาก (ไม่กล้าใช้คำว่าวิ่งเพราะรู้สมรรถภาพตัวเองนะวันนั้น) เริ่มซ้อมจากการวิ่งต่อเนื่อง 1 กิโล 2 กิโล 3 กิโล ไปจนถึง 16 กิโลก่อนลงสนามจริง... ข้อความสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งบรรทัดแต่ใช้เวลา กว่า 6 เดือนนะคะ และระหว่างทางเต็มไปด้วยร้อยแปดข้ออ้างที่จะไม่ซ้อม เช่น นอนน้อย เหนื่อย เพลีย ร้อน ไม่สบาย เจ็บขา หน้าพัง ฝนตก แดดออก บลา ๆ ๆ และบอกตัวเองว่าจะไม่ทรมานตัวเองเกินอาทิตย์ละ 4 วันเป็นอันขาด เอาเข้าจริง วิ่งอาทิตย์ละ 3 วันเต็มที่ค่ะคุณ ทุกวันอาทิตย์จะมีโอกาสได้ไปวิ่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่พุทธมณฑลบ้าง หนึ่งรอบวงกลมระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร ค่อย ๆ เก็บระยะกันไป อิชั้นไม่มีเทรนเนอร์ค่ะ มีแต่สามี...อุ้ย!!! อาศัยหาข้อมูลในเน็ตอ่านเอา ได้ความว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปและไม่ก้าวกระโดด เพิ่มระยะได้ไม่เกินอาทิตย์ละ 5% ก็ตามนั้นค่ะ
สามีจริงจังกับการวิ่งมากและอยากไปงาน World Major Marathon ซักครั้ง ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นงาน Tokyo Marathon ที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม แต่จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างแล้วโอกาสได้มียากมากกกกกกก...กอไก่แสนตัวก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน ตอนแรกอิชั้นกรอกใบสมัครให้สามีแต่ไม่ได้กรอกของตัวเองเพราะไม่มีแบบสมัครเป็นคู่ และคิดในใจว่าหลังจากฮาฟที่บางแสนก็ไม่อยากจะทรมานตัวเองอีกแล้ว แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่ถ้าลอตโต้ได้ มันจะได้มากกว่าการไปวิ่งนะ อิชั้นจะได้ไปเที่ยวด้วย ว่าแล้วก็ไม่รอช้า รีบกรอกใบสมัครตามหลังจากสามีสองสามวัน ผลปรากฏว่าหลังประกาศผลในเดือนตุลาคม อิชั้นได้เมล์ตอบกลับมาว่า "Accepted" ในขณะที่ของสามี "Not accepted" ณ ขณะที่อิชั้นยังรู้สึกสับสนงงงวยกับผลลอตโต้อยู่นั้นก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าสามีเสียดายและเสียใจมาก เพราะถ้าการจับฉลากวัดจากความตั้งใจ อิชั้นคงจะไม่มีวันได้สิทธิ์นั้นแน่ ๆ และใจจริงก็อยากให้สิทธิ์นั้นเป็นของสามีมากกว่า อิชั้นพยายามเมล์ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ขอร้องให้สามีได้วิ่งด้วยกันหรือโอนสิทธิ์ของอิชั้นให้สามีก็ได้ สารพัดจะพรรณนา แต่ผลที่ตอบกลับมาก็คือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วตามข้อกำหนดของการสมัครแต่แค่อยากขอลองดูซักตั้ง
หลังจากสามีทำใจได้ก็ถามอิชั้นว่าจะไปเหรอ อิชั้นก็ตอบว่าอยากไป สามีก็โอเคแต่บอกว่าถ้าจะไปโตเกียว ก็ต้องตั้งใจซ้อมจริงจังกว่านี้เพราะไม่ใช่แค่ฮาฟแล้ว อันนี้คือฟูลซึ่งมันแตกต่างกันมาก ตอนนั้นด้วยอารมณ์อยากไปเที่ยวแล้วรู้สึกถึงความโชคดีที่ได้รับมา ก็เลยยอมจำนนต่อข้อตกลงทุกอย่าง ได้สามีเป็นเพื่อนซ้อมและบอกเทคนิคซึ่งทำอย่างเค้าไม่ค่อยจะได้เพราะเราอึดไม่พอ ซ้อมมากขึ้นก็เจ็บซะอีก เดือนธันวาคมวันงานวิ่งฮาฟที่บางแสนต้องกินยาระงับปวดกันเลยทีเดียว ลงสนามครั้งแรกก็อยากสนุกไปกับมันแต่ร่างกายมันไม่เอาด้วย สามีไม่ยอมวิ่งนำไปก่อน เพราะเค้ากลัวอิชั้นจะไม่ไหว ไหนจะเจ็บไหนจะซ้อมไม่ถึง เดิน ๆ วิ่ง ๆ ตั้งแต่กิโลที่ 16 แล้วก็เดินยาว ๆ ตอนขึ้นเนินเขาสามมุข และสุดท้ายก็ทั้งดันทั้งลากกันไปจนเข้าเส้นชัย ใช้เวลาไปสองชั่วโมงห้าสิบห้านาที ไม่มีสถิติสวย ๆ มาโชว์ใครแต่ก็ภูมิใจที่ไปถึง
จบงานบางแสนก็ต้องไปหาหมอรักษาอาการเจ็บ ไปนอนให้คุณหมอเอาไฟฟ้าจี้อยู่ 2 - 3 ครั้ง พอดีขึ้นก็เริ่มซ้อมต่อ เพราะรู้แล้วว่าถ้าซ้อมไม่มากพอจะยิ่งทรมานร่างกายในวันจริง
ประทับใจงานวิ่งที่บางแสนมาก ผู้จัดทำดี ทั้งการจัดการ เส้นทาง อาหารการกิน มางานแรกเจอแบบนี้ก็รักเลย สามีเองก็อยากลงงานวิ่งมาราธอนอีก อิชั้นช่วยหาบิ๊บให้ ได้ที่งานจอมบึงเดือนมกราคม ก็เลยลงมาราธอนทั้งสองคน แต่คราวนี้บอกสามีว่าให้วิ่งไปทำเวลาทดสอบตัวเองเลย ไม่ต้องรอเพราะไม่เจ็บ และอิชั้นกะแค่มาซ้อมวิ่งไกลตามตาราง 12 สัปดาห์เท่านั้น (หามาจากในเน็ต) ตั้งใจว่าวิ่งได้ซัก 30 กิโลก็จะเดินยาว กลัวเจ็บแล้วจะซ้อมต่อก่อนไปโตเกียวไม่ไหว ถ้าเจ็บอีกนี่หมดอนาคตเลย ถึงเวลาเอาเข้าจริง ๆ เดินกึ่งวิ่งตั้งแต่กิโลที่ 25 และหลังจากกิโลที่ 30 อิชั้นก็เดินชมแดดไปตลอดทาง ระบมไปหมด ก้าวไม่ออก พยายามจะวิ่งแต่ไหงช้ากว่าคนเดินซะงั้น กัดฟันเดินจนถึงเส้นชัยด้วยเวลาหกชั่วโมงห้าสิบเก้านาที ซ้อมแค่ไหนได้แค่นั้นจริง ๆ คนตั้งใจอย่างสามีทำเวลาดีมาก แค่สี่ชั่วโมงครึ่งเอง อิชั้นไม่ห่วงเรื่องความเร็วแต่ห่วงเรื่อง cut off ถ้าไปโตเกียวแล้วอาการอย่างวันนี้คงไม่ได้วิ่งจนสุดเส้นทางแน่ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่ายังมีเวลา และแค่ต้องใช้เวลาน้อยกว่านี้ครึ่งชั่วโมงก็จะทันเข้าเส้นชัยที่โตเกียวได้
พูดถึงตารางซ้อม 12 สัปดาห์ก่อนมาราธอนก็มีให้เลือกมากมายตามความถนัด แต่อิชั้นเลือกแบบที่ได้พักวันเว้นวัน และแน่นอนทำได้แค่ประมาณ 70% เท่านั้น เค้าให้วิ่ง 10 โล ก็วิ่ง 8 โล เค้าให้วิ่ง 8 โล ก็วิ่ง 5 โล วันที่ไม่ใช่วันพักก็ขอพักเพราะเมื่อวันก่อนซ้อมเหนื่อย มีข้ออ้างตลอด มีวินัยมากถึงมากที่สุด ตอนนี้ไม่ค่อยกลัวคำขู่สามีเท่าไหร่เพราะจองตั๋วแล้ว ไม่ขยันเหมือนตอนแรก ๆ แต่ก็บอกตัวเองนะ ว่าตังก็เสีย เหนื่อยก็เหนื่อย ขอเอาเหรียญกลับบ้านหน่อยเถอะ สามีเคยบอกว่าซ้อมอย่างอิชั้น ถ้าเข้าเส้นชัยทันเวลาคงต้องมาพิจารณากันใหม่ในเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้บอกไว้เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน (อิชั้นคิดเอาเองว่าสงสัยสามีอยากให้ตั้งใจซ้อมกว่านี้มั้ง เลยดูถูกไว้หน่อย ๆ จะได้เป็นแรงผลักให้เราขยัน..แต่อิชั้นว่าช่วยผลักให้ไปนอนมากกว่า) ถ้าถามอิชั้นว่ายากที่สุดสำหรับการรวิ่งมาราธอนคืออะไร ก็จะตอบว่าการลุกจากที่นอนเพื่อไปซ้อมวิ่งในตอนเช้านี่แหละ ยากที่สุด (ซ้อมเย็นไม่ได้เพราะทำงาน ถึงบ้านก็สี่ห้าทุ่มแล้ว หมดกำลัง)
และแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ วันงานวิ่ง Tokyo Marathon ก็มาถึง ไปถึงโตเกียวก่อน 4 วัน พายุเข้า อากาศหนาว เย็นจัดประมาณ 1องศา แถมมีฝนโปรยปรายตลอด แต่ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ก็ไม่มีวันไหนได้ซ้อมวิ่งเลย รายการท่องเที่ยวแน่นเอียดตลอดทุกวัน ไม่กดดันตัวเองแล้วเพราะต้องยอมรับความจริงว่าสำหรับการวิ่งมาราธอน อิชั้นอ่อนซ้อมมาก ๆ จะเดินขึ้นรถก็ขอเดินสวย ๆ ตอนนี้พูดอะไรก็ได้แต่วันนั้นโคครกังวล อิชั้นวิ่งตามทริคที่อิชั้นอ่านมาเพราะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถวิ่งได้ตลอด 42.195 กิโลแน่ ๆ อิชั้นก็เลยจะหยุดวิ่งและเปลี่ยนเป็นเดินทุกจุดให้น้ำ อ่านในเน็ต(อีกแล้ว) เค้าบอกว่าต้องเริ่มตั้งแต่ 2 กิโลแรก วิ่ง 2 โลเดิน 2 นาที ประมาณนี้แล้วแต่ถนัด แต่วันนั้นจุดให้น้ำจุดแรกอยู่ที่ 5 กิโล ไม่เป็นไรทุกอย่างยืดหยุ่นได้ และเราต้องจัดการในแบบของเราเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองมีความตั้งใจที่จะเดินสุด ๆ เห็นจุดให้น้ำไกล ๆ นี้ยิ้มแล้ว อิชั้นจะได้พักเดินตั้ง 2 นาที ในใจขอแค่อย่าโดนคัทนะ ขอร้องงงงงงง เหลียวมองรถเก็บนักวิ่งไปตลอดทาง ก็ผ่านจุดคัทออฟทันเวลามาเรื่อย ๆ จนกิโลที่ 34 เกิดอาการผะอืดผะอมอยากจะอาเจียนวิ่งต่อไม่ไหวทั้งที่เหลืออีกไม่ถึงสิบโลและแน่นอนว่าห้าชั่วโมงกว่าเข้าไปล้าววว แต่ก็ต้องเข้าหาหน่วยแพทย์ข้างทางเผื่อเค้าจะมียาอะไรพอช่วยได้ ณ จุดนั้นแค่ 1 กิโลมันก็แสนยาวไกล หน่วยแพทย์น่ารักและกุลีกุจอช่วยเหลือ แต่อิชั้นขำ อิชั้นบอกว่าอิชั้นอยากอาเจียน เค้าตอบกลับมาว่าเค้าไม่มีถังขยะ ให้เค้าช่วยอย่างอื่นได้มั้ย นี่คืออิชั้นอ่อนภาษาหรือว่าเราไม่เข้าใจกัน อิชั้นบอกอีกว่าขอยาอะไรก็ได้ที่ทำให้อาการไม่สบายตัวมันดีขึ้น เค้าก็ตอบกลับมาว่าเค้าไม่มียาแบบนั้นนะ แต่เดี๋ยวจะหาอะไรร้อน ๆ มาให้ทาน แล้วก็ได้ชาร้อนมาหนึ่งแก้ว จิบเข้าไป อย่างไม่น่าเชื่อ แป๊ปเดียวดีขึ้นเลย สงสัยจะมาถูกทาง พอเริ่มดีขึ้นก็ขอออกไปวิ่งต่อเลย เวลาไม่ได้เหลือเยอะแยะ แต่ก็ยังมีกะใจเซลฟี่กับสถานที่ข้างทางบ้าง เดิน ๆ วิ่ง ๆ จนเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 6 ชั่วโมงกว่าๆ ใช้เวลาที่เค้าให้เต็มที่มาก ๆ เพซเฉลี่ยอยู่ที่ 8 กว่าโน่นแหละค่ะ ในที่สุดก็ได้เหรียญกับคนอื่นเค้า...ดีใจๆๆๆๆ
สิ่งที่อยากบอก :
1. การวิ่งมาราธอนไม่ใช่เรื่องของผู้วิเศษ แต่เป็นเรื่องของผู้ที่สามารถอดทนทำอะไรเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้อย่างที่ตั้งใจ แค่นั้นจริง ๆ แล้วคุณจะพิเศษ
2. ตัวกำหนดว่าคุณจะจบมาราธอนได้หรือไม่ คือความตั้งใจและการซ้อมที่มากพอ
3. ถ้าคิดจะไปมาราธอน คุณควรมีวินัย แต่ถ้ามีน้อยอย่างอิชั้น คุณต้องมีศรัทธามากหน่อย เชื่อมั่นว่ามันจะผ่านไปได้ แม้ว่าจะแบบไหนก็ตาม อย่ากดดันตัวเองจนเกินไป เราจะยังได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ เสมอไม่ว่าจะวิ่งจบหรือไม่จบ
4. ซ้อมมากแกร่งมาก ซ้อมน้อยแกร่งน้อย (ไม่รวมเจ็บนะคะ) อันนี้ความจริงที่ต้องบอกตัวเองไว้เสมอ ทำเท่าไหร่ ได้เท่านั้นล้านเปอร์เซ็นต์ การซ้อมวิ่งคือการสะสมแต้มวิ่งเพื่อไปรับรางวัลเป็นเหรียญมาราธอน เกมนี้คุณไม่สามารถแลกเหรียญรางวัลมาโดยไม่ผ่านการสะสมแต้มค่ะ
5. ถ้าคุณแข็งแกร่ง มาราธอนคือการวัดระดับความสามารถของคุณยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าไม่ มาราธอนคือการได้ชื่นชมทุกสิ่งอย่างบนเส้นทาง ความสวยงาม ผู้คน ทิวทัศน์ กำลังใจและน้ำใจ ใช้เวลาให้เต็มที่เลย
6. อากาศเย็น ๆ ช่วยให้การวิ่งมาราธอนดีขึ้นมากกว่าอากาศร้อน ๆ และเมื่อต้องการจะเข้าห้องน้ำ ควรหามินิมาร์ทข้างทาง เพราะจุดที่ทางงานวิ่งเตรียมไว้จะให้จะใช้เวลานานมาก
7. ถ้าตอนซ้อมยาวกินแค่น้ำกับเจล วันวิ่งจริงก็ควรกินแค่น้ำกับเจล แม้อาหารตรงหน้าและข้างทางจะยั่วยวนซักปานใดก็ต้องข่มใจ เพราะถ้าหลังกินเข้าไปแล้วมีอาการผิดปกติ คุณอาจวิ่งไม่จบได้เลยนะ
8. อ่านจากคำแนะนำของท่านผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแล้วขอน้อมรับว่าอิชั้นเสี่ยงเกินไป ที่ซ้อมวิ่งไม่ถึงปีก็ไปมาราธอนซะแล้ว แต่บางทีโอกาสก็ไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่พร้อมเสมอ ยอมแลกโดยที่ไม่รู้อนาคตว่าจะมีอันตรายอะไรตามมาหรือเปล่า ถ้าคุณๆ พอจะมีเวลาก็สะสมแต้มวิ่งให้เยอะ ๆ ก่อนจะตัดสินใจลงมาราธอนนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากมนุษย์แม่ค่ะ
ทักเข้ามาสอบถามหรือพูดคุยกันได้นะคะ ยินดีแชร์ประสบการณ์ถ้าเป็นประโยชน์ค่ะ