เชื่อว่า การตัดสินใจระหว่างการ
“เช่าบ้าน” หรือ
“ซื้อบ้าน” นั้น คงทำให้หลายๆ คนปวดหัวกันไม่น้อยว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี ระหว่าง ซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สินของตนเอง หรือ เช่าเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
วันนี้ K-Expert ขอแนะนำให้รู้จักกับ
“เทคนิคการคิดแบบหมวก 6 ใบ (Six Thinking Hats)” ซึ่งวิธีคิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ และนักเขียนระดับโลก Edward De Bono ซึ่งวิธีการคิดแบบนี้ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ และตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้ดี และรอบคอบยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำมาปรับใช้กับการตัดสินใจในการ เช่า หรือ ซื้อบ้านได้อีกด้วย
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการคิดของคนเรานั้นคือ
“ความสับสน” (Confusion) ซึ่งสาเหตุของความสับสนนั้นมาจาก การที่เราคิดทุกเรื่องพร้อมๆ กัน และวิธีการที่จะกำจัดอุปสรรคนี้ได้ก็คือ เราต้องค่อยๆ คิดทีละเรื่อง และการคิดทีละเรื่องนั้นก็เปรียบได้กับหมวก 6 ใบ ที่หมวกแต่ละใบเป็นตัวแทนของแต่ละเรื่องที่เราต้องพิจารณา โดยให้เราจินตนาการว่าเมื่อเราคิดเรื่องใดก็สวมหมวกใบนั้น ซึ่งหมวกทั้ง 6 ใบ มีดังต่อไปนี้
1. หมวกสีขาว (ข้อมูล ข้อเท็จจริง และตัวเลข)
คำถามที่เราต้องถามตัวเองคือ ข้อมูลอะไรที่เราต้องการใช้เพื่อตัดสินใจ ?
ข้อมูลทางการเงิน: รายรับ และรายจ่ายของเราในแต่ละเดือน
ลองมาดูตัวอย่างสมมติดูนะครับ ถ้าบ้านราคา 2,200,000 บาท แล้วดาวน์ 10% คือเราต้องมีเงินดาวน์เตรียมไว้ 200,000 บาท แล้วต้องกู้อีก 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 7% ต่อปี หากกู้เงิน 30 ปี จะผ่อนชำระงวดละ 14,000 บาท กรณีที่เช่าบ้าน ค่าเช่าจะอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเดือน
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำงาน รายได้ยังไม่สูงนักอาจจะพิจารณาเลือกแบบเช่า เนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแบบซื้อ และควรมีเงินเก็บสำรองเผื่อฉุกเฉินในช่วงเริ่มต้นทำงาน ทั้งนี้ เงินในส่วนที่ประหยัดได้ ก็อาจจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม หรือหุ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และความเหมาะสมของแต่ละคน เพื่อเป็นเงินสำหรับการดาวน์บ้านในอนาคตได้อีกด้วย
ข้อมูลด้านระยะเวลา: ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะอยู่อาศัยในโซนนี้ไปอีกนานแค่ไหน หากเพิ่งเริ่มทำงาน แนะนำเป็นการเช่า แต่หากตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐาน สร้างครอบครัวก็อาจจะพิจารณาเลือกซื้อบ้าน เป็นต้น
ข้อมูลอื่นๆ: เพื่อนบ้าน แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และสภาวะแวดล้อม ควรพิจารณาว่าสอดคล้องกับวิถีชีวิตเราหรือไม่ การจราจรก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะหากเป็นโซนที่มีการจราจรติดขัดมากก็อาจทำให้เราสูญเสียเวลาในการเดินทางในแต่ละวันค่อนข้างเยอะ
2. หมวกสีเขียว (ความคิดสร้างสรรค์)
เราสามารถพัฒนา หรือต่อยอดอย่างไรได้บ้าง ?
หากเราเลือกซื้อบ้าน: เราสามารถต่อยอดการซื้อบ้านในมุมใดได้บ้าง เช่น การแบ่งห้องไว้ให้เช่าเพื่อหารายได้เพิ่ม หรือทำบ้านเป็นโฮมออฟฟิศ ในกรณีที่บ้านเป็นโซนที่มีคนอยู่เยอะๆ หรือเราอาจจะใช้เป็นสถานที่สำหรับค้าขายของเราได้ในอนาคต เป็นต้น
หากเราเลือกเช่าบ้าน: เราสามารถนำเงินในส่วนที่เราเสียน้อยลงจากการเช่าบ้านไปลงทุน หรือ ต่อยอดอย่างไรได้บ้าง หรือการเลือกเช่ามีประโยชน์จากการเช่าอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง เช่น เรื่องของสุขภาพ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ หรือหากเราต้องย้ายที่ทำงาน เราจะสามารถย้ายที่อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย มีค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางที่ถูกลง และสามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางของคอนโดฯ ในด้านอื่นๆ ได้ เช่น ห้องอ่านหนังสือ เป็นต้น
3. หมวกสีเหลือง (ประโยชน์ หรือข้อดี)
ข้อดีทั้งหมดของการตัดสินใจแต่ละทางเลือกคืออะไร ?
ข้อดีของการซื้อบ้าน: ได้เป็นเจ้าของบ้าน เป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รายจ่ายค่าผ่อนบ้านคงที่ และได้ประโยชน์ทางภาษี สำหรับบางคนที่กำลังวางแผนจะมีบุตร และต้องการให้ลูกได้มีบริเวณพื้นที่ในการเล่น และสัมผัสกับธรรมชาติ ก็อาจจะพิจารณาเลือกซื้อบ้าน เป็นต้น
ข้อดีของการเช่าบ้าน: สามารถย้ายได้โดยไม่มีภาระผูกพัน และสามารถเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยได้เมื่อไม่ชอบทำเลนั้นๆ แถมยังประหยัดรายจ่ายเนื่องจากไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์จำนวนมาก ประหยัดค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาบ้าน ประหยัดค่าตกแต่งบ้าน และเลือกสถานที่ในการอยู่อาศัยได้ เป็นต้น
4. หมวกสีดำ (สิ่งที่ควรระวัง หรือข้อเสีย)
ข้อเสีย หรือข้อควรระวังของแต่ละทางเลือกคืออะไร ?
ข้อเสียของการซื้อบ้าน: มีค่าใช้จ่ายดาวน์ก้อนใหญ่ ต้องมีภาระหนี้สินระยะยาว 20-30 ปี ค่าบำรุงรักษา ดูแลบ้าน ค่าตกแต่ง ค่าประกันภัย ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาต่างๆ ที่ค่อนข้างสูง และต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง
ข้อเสียของการเช่าบ้าน: ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน หากราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เช่าก็ไม่ได้ประโยชน์ ค่าเช่าบ้านอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่าเช่าไม่ได้รับสิทธิการลดหย่อนภาษี และหากเราต้องการซื้อบ้านในอนาคต ราคาบ้านที่ต้องการอาจสูงขึ้น
5. หมวกสีแดง (อารมณ์ และความรู้สึก)
เรารู้สึกยังไงกับทางเลือกนี้ ?
นอกจากจะมีเหตุผลแล้ว บางทีคนเราก็อาจต้องใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน เพราะแม้ข้อมูลทุกอย่างจะชี้ให้เราตัดสินใจซื้อ แต่เมื่อไปอยู่ในสถานที่จริง เราอาจมีความรู้สึกไม่ชอบ หรืออยู่แล้วรู้สึกไม่สบาย สิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลต่อเราได้ในระยะยาวนั่นเอง เพราะฉะนั้นแม้ว่าเราจะมีข้อมูลเพียงพอ ก็อย่าลืมกลับมาถามใจตนเองกันด้วยว่า เราชอบในแต่ละทางมากน้อยแค่ไหน
6. หมวกสีน้ำเงิน (การบริหารกระบวนการคิด)
เราจะตัดสินใจโดยให้น้ำหนักกับสิ่งใดมากที่สุด ? และเราต้องทำอะไรต่อไป ? หรือก็คือกระบวนการต่อไปหลังจากที่เราตัดสินใจจากหมวกทั้งหมดแล้วนั่นเอง เช่น หากเราเลือกซื้อบ้าน ขั้นตอนต่อไปเราต้องเริ่มจากมองหาทำเลบ้าน ดูเรื่องการกู้ธนาคาร เอกสารต่างๆ ที่ต้องเตรียม ซึ่งจะตัดสินใจได้ก็มาจากการได้ข้อมูลมาจากหมวกแต่ละใบนั่นเอง
การใช้เทคนิคการคิดแบบนี้ไม่ได้จำกัดแค่การใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นที่ต้องการตัดสินใจอื่นๆ ได้อีกด้วย สำหรับคำตอบของการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับเราว่าเราเลือกแบบไหน ? แต่การตัดสินใจที่คิดอย่างรอบคอบแล้วย่อมดีกว่า การที่เราไม่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบนะครับ
เทคนิคการคิดแบบหมวก 6 ใบ เพื่อตัดสินใจเช่า หรือ ซื้อบ้าน !!!
เชื่อว่า การตัดสินใจระหว่างการ “เช่าบ้าน” หรือ “ซื้อบ้าน” นั้น คงทำให้หลายๆ คนปวดหัวกันไม่น้อยว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี ระหว่าง ซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สินของตนเอง หรือ เช่าเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
วันนี้ K-Expert ขอแนะนำให้รู้จักกับ “เทคนิคการคิดแบบหมวก 6 ใบ (Six Thinking Hats)” ซึ่งวิธีคิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ และนักเขียนระดับโลก Edward De Bono ซึ่งวิธีการคิดแบบนี้ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ และตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้ดี และรอบคอบยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำมาปรับใช้กับการตัดสินใจในการ เช่า หรือ ซื้อบ้านได้อีกด้วย
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการคิดของคนเรานั้นคือ “ความสับสน” (Confusion) ซึ่งสาเหตุของความสับสนนั้นมาจาก การที่เราคิดทุกเรื่องพร้อมๆ กัน และวิธีการที่จะกำจัดอุปสรรคนี้ได้ก็คือ เราต้องค่อยๆ คิดทีละเรื่อง และการคิดทีละเรื่องนั้นก็เปรียบได้กับหมวก 6 ใบ ที่หมวกแต่ละใบเป็นตัวแทนของแต่ละเรื่องที่เราต้องพิจารณา โดยให้เราจินตนาการว่าเมื่อเราคิดเรื่องใดก็สวมหมวกใบนั้น ซึ่งหมวกทั้ง 6 ใบ มีดังต่อไปนี้
1. หมวกสีขาว (ข้อมูล ข้อเท็จจริง และตัวเลข)
คำถามที่เราต้องถามตัวเองคือ ข้อมูลอะไรที่เราต้องการใช้เพื่อตัดสินใจ ?
ข้อมูลทางการเงิน: รายรับ และรายจ่ายของเราในแต่ละเดือน
ลองมาดูตัวอย่างสมมติดูนะครับ ถ้าบ้านราคา 2,200,000 บาท แล้วดาวน์ 10% คือเราต้องมีเงินดาวน์เตรียมไว้ 200,000 บาท แล้วต้องกู้อีก 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 7% ต่อปี หากกู้เงิน 30 ปี จะผ่อนชำระงวดละ 14,000 บาท กรณีที่เช่าบ้าน ค่าเช่าจะอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเดือน
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำงาน รายได้ยังไม่สูงนักอาจจะพิจารณาเลือกแบบเช่า เนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแบบซื้อ และควรมีเงินเก็บสำรองเผื่อฉุกเฉินในช่วงเริ่มต้นทำงาน ทั้งนี้ เงินในส่วนที่ประหยัดได้ ก็อาจจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม หรือหุ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และความเหมาะสมของแต่ละคน เพื่อเป็นเงินสำหรับการดาวน์บ้านในอนาคตได้อีกด้วย
ข้อมูลด้านระยะเวลา: ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะอยู่อาศัยในโซนนี้ไปอีกนานแค่ไหน หากเพิ่งเริ่มทำงาน แนะนำเป็นการเช่า แต่หากตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐาน สร้างครอบครัวก็อาจจะพิจารณาเลือกซื้อบ้าน เป็นต้น
ข้อมูลอื่นๆ: เพื่อนบ้าน แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และสภาวะแวดล้อม ควรพิจารณาว่าสอดคล้องกับวิถีชีวิตเราหรือไม่ การจราจรก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะหากเป็นโซนที่มีการจราจรติดขัดมากก็อาจทำให้เราสูญเสียเวลาในการเดินทางในแต่ละวันค่อนข้างเยอะ
2. หมวกสีเขียว (ความคิดสร้างสรรค์)
เราสามารถพัฒนา หรือต่อยอดอย่างไรได้บ้าง ?
หากเราเลือกซื้อบ้าน: เราสามารถต่อยอดการซื้อบ้านในมุมใดได้บ้าง เช่น การแบ่งห้องไว้ให้เช่าเพื่อหารายได้เพิ่ม หรือทำบ้านเป็นโฮมออฟฟิศ ในกรณีที่บ้านเป็นโซนที่มีคนอยู่เยอะๆ หรือเราอาจจะใช้เป็นสถานที่สำหรับค้าขายของเราได้ในอนาคต เป็นต้น
หากเราเลือกเช่าบ้าน: เราสามารถนำเงินในส่วนที่เราเสียน้อยลงจากการเช่าบ้านไปลงทุน หรือ ต่อยอดอย่างไรได้บ้าง หรือการเลือกเช่ามีประโยชน์จากการเช่าอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง เช่น เรื่องของสุขภาพ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ หรือหากเราต้องย้ายที่ทำงาน เราจะสามารถย้ายที่อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย มีค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางที่ถูกลง และสามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางของคอนโดฯ ในด้านอื่นๆ ได้ เช่น ห้องอ่านหนังสือ เป็นต้น
3. หมวกสีเหลือง (ประโยชน์ หรือข้อดี)
ข้อดีทั้งหมดของการตัดสินใจแต่ละทางเลือกคืออะไร ?
ข้อดีของการซื้อบ้าน: ได้เป็นเจ้าของบ้าน เป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รายจ่ายค่าผ่อนบ้านคงที่ และได้ประโยชน์ทางภาษี สำหรับบางคนที่กำลังวางแผนจะมีบุตร และต้องการให้ลูกได้มีบริเวณพื้นที่ในการเล่น และสัมผัสกับธรรมชาติ ก็อาจจะพิจารณาเลือกซื้อบ้าน เป็นต้น
ข้อดีของการเช่าบ้าน: สามารถย้ายได้โดยไม่มีภาระผูกพัน และสามารถเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยได้เมื่อไม่ชอบทำเลนั้นๆ แถมยังประหยัดรายจ่ายเนื่องจากไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์จำนวนมาก ประหยัดค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาบ้าน ประหยัดค่าตกแต่งบ้าน และเลือกสถานที่ในการอยู่อาศัยได้ เป็นต้น
4. หมวกสีดำ (สิ่งที่ควรระวัง หรือข้อเสีย)
ข้อเสีย หรือข้อควรระวังของแต่ละทางเลือกคืออะไร ?
ข้อเสียของการซื้อบ้าน: มีค่าใช้จ่ายดาวน์ก้อนใหญ่ ต้องมีภาระหนี้สินระยะยาว 20-30 ปี ค่าบำรุงรักษา ดูแลบ้าน ค่าตกแต่ง ค่าประกันภัย ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาต่างๆ ที่ค่อนข้างสูง และต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง
ข้อเสียของการเช่าบ้าน: ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน หากราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เช่าก็ไม่ได้ประโยชน์ ค่าเช่าบ้านอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่าเช่าไม่ได้รับสิทธิการลดหย่อนภาษี และหากเราต้องการซื้อบ้านในอนาคต ราคาบ้านที่ต้องการอาจสูงขึ้น
5. หมวกสีแดง (อารมณ์ และความรู้สึก)
เรารู้สึกยังไงกับทางเลือกนี้ ?
นอกจากจะมีเหตุผลแล้ว บางทีคนเราก็อาจต้องใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน เพราะแม้ข้อมูลทุกอย่างจะชี้ให้เราตัดสินใจซื้อ แต่เมื่อไปอยู่ในสถานที่จริง เราอาจมีความรู้สึกไม่ชอบ หรืออยู่แล้วรู้สึกไม่สบาย สิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลต่อเราได้ในระยะยาวนั่นเอง เพราะฉะนั้นแม้ว่าเราจะมีข้อมูลเพียงพอ ก็อย่าลืมกลับมาถามใจตนเองกันด้วยว่า เราชอบในแต่ละทางมากน้อยแค่ไหน
6. หมวกสีน้ำเงิน (การบริหารกระบวนการคิด)
เราจะตัดสินใจโดยให้น้ำหนักกับสิ่งใดมากที่สุด ? และเราต้องทำอะไรต่อไป ? หรือก็คือกระบวนการต่อไปหลังจากที่เราตัดสินใจจากหมวกทั้งหมดแล้วนั่นเอง เช่น หากเราเลือกซื้อบ้าน ขั้นตอนต่อไปเราต้องเริ่มจากมองหาทำเลบ้าน ดูเรื่องการกู้ธนาคาร เอกสารต่างๆ ที่ต้องเตรียม ซึ่งจะตัดสินใจได้ก็มาจากการได้ข้อมูลมาจากหมวกแต่ละใบนั่นเอง
การใช้เทคนิคการคิดแบบนี้ไม่ได้จำกัดแค่การใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นที่ต้องการตัดสินใจอื่นๆ ได้อีกด้วย สำหรับคำตอบของการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับเราว่าเราเลือกแบบไหน ? แต่การตัดสินใจที่คิดอย่างรอบคอบแล้วย่อมดีกว่า การที่เราไม่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบนะครับ