ตื่นเช้ามาวันที่ 3 ของการเดินทางในประเทศ Iceland อย่างสดใส ณ ปั๊ม N1...แม้ว่าเมื่อคืนเราจะนอนกันในรถ Camper
แต่แสงเหนือที่พวกเราเจอกันเมื่อคืน ได้ช่วยให้ความเหนื่อยล้าจากวันก่อนหน้า และความไม่สะดวกสบายในการนอนเป็นเรื่องเล็กไปเลย
เพราะมันทำให้พวกเราพูดได้อย่างเต็มปากว่า “กูมาถึง Iceland แล้วโว้ย!!! กูได้เห็นแสงเหนือแบบโคตรชัด ครั้งแรกในชีวิตแล้ว!!!”
ถ้าได้อ่านเรื่องราวของพวกเรามาตั้งแต่การเดินทางใน Iceland วันแรก และดูจากรูปที่ผมถ่ายมา จะสังเกตเห็นว่าช่วงก่อนหน้านี้
พวกเราเจอฝนและหิมะแทบจะตลอดทาง ฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ เรียกได้ว่าปิดเกือบ 70-80% ซึ่งลักษณะท้องฟ้าที่เมฆเยอะแบบนี้
ถึงแม้ค่า kp จะแรงขนาดไหน โอกาสเห็นแสงเหนือก็ต่ำอยู่ดีเพราะเมฆบังหมด...แต่ก่อนหน้านี้ มีประโยคนึงที่มิ้ว ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่เป็น Navigator
พูดกับผมที่บ่นเรื่องเมฆและฝนระหว่างขับรถอยู่ว่า “เราเชื่อว่าฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ” ประโยคที่สวยหรูนี้มันได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อคืน
ไม่อย่างงั้นเมื่อคืนเราคงไม่ได้เห็นแสงเหนือกัน ทั้งที่ตอนเช้าฝนยังตก เมฆยังเต็มท้องฟ้าอยู่เลย
อาหารเช้าของเรามื้อนี้กินกันอย่างราชาแห่งรถ Camper มีทั้งไข่ต้ม, คั่วกลิ้งหมู, กล้วย, นม, ขนมปัง ฯ ที่เราซื้อจาก Supermarket เมื่อคืน
เราออกตัวจากเมือง Hofn กันสายหน่อย เนื่องจากแผนของวันนี้ไม่ได้มีแวะที่ไหน เป็นแค่การขับรถไปเรื่อยๆ แล้วไปจบที่เมือง Egilsstadir
โดยจะใช้เวลาขับรถประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง (แบบไม่แวะไหน) ซึ่งระหว่างทางจาก Hofn ไปถึง Egilsstadir
นั้นเป็นการขับรถขึ้นเขาและเส้นทางขดเคี้ยวพอสมควร
สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจในการขับรถผ่านเส้นทางนี้ และมีผมคนเดียวที่เห็น เนื่องจากตอนนั้นเพื่อนๆ อีก 5 คน หลับกันหมด (T^T)
คือจะมีช่วงนึงที่ต้องขับรถเข้าไปในอุโมงค์ที่เจาะผ่านภูเขา ระยะทางไกลประมาณหนึ่งเลย แล้วพอตอนขับรถออกมาจากอุโมงค์เท่านั้นแหละ
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือ พื้นที่ราบเรียบสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ขาวแบบขาวโคตรๆ โล่งๆ แทบไม่มีสีอื่นเลย....มันสวยมากๆ
สวยเหมือนภาพวาด สวยเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ในตอนนั้นนึกเสียดายมากที่ไม่มีใครเห็นเหมือนผม จึงไม่มีใครได้ถ่ายภาพไว้
แล้วผมก็เสียดายอีกอย่างคือ ทำไมผมถึงไม่เอากล้องติดหน้ารถมาติดไว้นะ มันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้ามีวิดีโอตลอดทริปของเราเก็บไว้
ระหว่างทาง พวกเราได้ไปแวะกินข้าวเที่ยงกันใน N1 ที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Djupivogur และในจังหวะนั้นเอง
ต้อมก็ได้มี request มาว่าอยากดื่มกาแฟสดดีๆ ซักหน่อย ในวันที่พวกเราไม่ได้เร่งรีบอะไรแถมฝนก็ตกปรอยๆ ลมก็แรง อากาศหนาวเข้ากระดูกสุดๆ...
ที่ผ่านมาพวกเราได้แต่ดื่มกาแฟของปั๊ม N1 ซึ่งจะเป็นกาแฟดำที่ต้มไว้ให้เราเลือกขนาดแก้วไปกดได้เอง
แล้วค่อยไปจ่ายเงินที่ Counter ตามขนาดแก้ว ไม่ใช่ Espresso
เราจึงเปิด Google Map หาร้านกาแฟกัน แล้วเราก็เจอร้านชื่อ Vid Voginn...เมื่อถึงร้าน พวกเราก็ได้ดื่มกาแฟ Cappuccino/Latte อุ่นๆ กันสมใจ แถมร้านตั้งอยู่ตรงท่าเรือเล็กๆ ของเมือง ทำให้การแวะร้านนี้ ได้ทั้งกาแฟดีๆ ในที่อุ่นๆ พร้อมวิวสบายตาอีกด้วย (แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย)
หลังจากออกเดินทางอีกรอบ พวกเราก็ไปถึงเมือง Egilsstadir ประมาณ 15.00 ซึ่งตอนนั้นฟ้ายังสว่างอยู่
เลยคุยกันว่าหาที่เที่ยวใกล้ๆ ไปกันเล่นๆ ฆ่าเวลา...เราจึงตัดสินใจไปน้ำตกที่ชื่อ Fardagafoss ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปแค่ 10 นาที
และเมื่อไปถึงที่ มีรถจอดอยู่ก่อนหน้าพวกเรา 1 คันถ้วน (- -“)
น้ำตก Fardagafoss เป็นน้ำตกที่อยู่ในหุบเข้า ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกไกลพอสมควรถึงจะเจอ และเป็นการเดินบนพื้นดินพื้นหญ้า
ไม่ได้มีบันไดหรือทางดีๆ ให้พวกเราเดินขึ้น แต่เมื่อเราไปถึงแล้วแถมมีเวลาเหลือ เหล่าชายฉกรรจ์ 6 คน ยังไงก็ต้องตัดสินใจขึ้น
แต่ระหว่างทางเดินขึ้น ปัญหาที่พวกเราเจอกันคือ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มาเดินขึ้นเขาเพื่อไปดู Fardagafoss เท่าไหร่นัก
ทำให้ทางเดินสวนใหญ่เป็นน้ำแข็งที่เกิดจากหิมะที่ละลายและไม่เคยถูกเดินผ่านมาก่อน ทำให้ลื่นมากๆ...นั่นทำให้พวกเราเคลื่อนตัวขึ้นไปได้ช้ามาก
เพราะต้องระวังทุกก้าวที่เดินขึ้นไป และในระหว่างเดินขึ้น ผมก็ลื่นเข่ากระแทกพื้นไป 1 ครั้ง (T^T)
Panorama View ระหว่างทางขึ้นไป Fardagafoss
เมื่อเดินขึ้นไปถึงจุดแรกเพื่อดูน้ำตก พวกเราก็ถึงบางอ้อว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยขึ้นมาดู Fardagafoss…
น้ำตกมันแข็งเกือบทั้งอันจนเกือบจะมองไม่ออกแล้วว่าเป็นน้ำตก แม้ว่ามันจะสวยไปอีกแบบ
แต่การที่ต้องเดินขึ้นเขามาขนาดนี้เพื่อมาดูน้ำตกที่แข็งเกือบทั้งหมด อาจจะเปลืองแคลอรี่ไปหน่อย...แต่พวกเราตัดสินใจขึ้นมาแล้ว
เราจึงจะลุยกันต่อไปที่จุดดูน้ำตกจุดที่ 2
Fardagafoss ที่กลายเป็นน้ำแข็งไปเกือบหมด
ระหว่างที่เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ นั้น เป็นเวลาประมาณ 17.00 และพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ เช่นกัน
และแล้วเราก็เจอนักท่องเที่ยวเจ้าของรถคันที่จอดอยู่ด้านล่าง เป็นคู่สามี-ภรรยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งพอเค้าเดินลงมาเจอเรา เค้าก็บอกพวกเราว่า
อย่าขึ้นไปเลย เพราะต้องเดินต่อไปอีกไกลพอสมควร แถมทางที่ไปลื่นมากๆ ขนาดพวกเค้าใส่ Crampons ยังเกือบลื่นไปหลายรอบ
ถ้าพวกเราตัดสินใจไปต่อ พระอาทิตย์ต้องตกดินก่อนพวกเราจะถึงข้างล่างแน่ๆ...ซึ่งที่นี่คือประเทศ Iceland ประเทศแห่งธรรมชาติ
ไม่ได้มีไฟแสงสว่างให้เราแน่นอน...เรียกได้ว่า โคตรเสี่ยงลื่นตกเขามากๆ
พวกเราจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อ ตามคำแนะนำของเค้า แล้วเปลี่ยนกลับมาเดินลงเขากัน...ณ จุดๆ นี้ ผมโคตรอยากมี Crampons
ไม่น่าประหยัดอะไรไม่เข้าท่าเลย และเนื่องจากพื้นที่ลื่นเป็นทุนเดิม บวกกับพวกเรากำลังเดินลงเขา ทำให้ต้องเดินแบบระวังสุดๆ
ถึงกระนั้นผมยังลื่นล้มไป 2 รอบ แถมรอบนึงไถลลงไกลมากจนเกือบกลิ้งตกเขา โชคดีที่ไถลไปเจอพื้นหญ้าใหญ่ๆ อันนึง
ทำให้ล้มตัวลงเพื่อชะลอความเร็วได้ทัน...ถ้าไม่มีหญ้าให้ชะลอความเร็ว คิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง ตอนนั้นโคตรตกใจ ใจเต้นแรงมาก
Panorama ระหว่างเดินลง
สุดท้ายพวกเราก็ลงไปถึงข้างล่าง แล้วมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองเพื่อซื้อของใน Supermarket เพิ่ม และกินอาหารเย็นกัน
โดยพวกเราตัดสินใจที่จะกินพิซซ่ากันที่ N1 แล้วระหว่างที่พวกเรานั่งกินพิซซ่ากันอยู่นั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!!!
ก่อนหน้านี้ ช่วงเช้ามีฝนตกปรอยๆ เมฆเยอะประมาณหนึ่ง พอตอนบ่ายจนเย็นเมฆเริ่มหาย
แต่หลังจากเช็คค่า kp ของคืนนี้ (ตอนที่เช็ค น่าจะเวลาประมาณ 15.00) พบว่าอยู่ที่ประมาณ 2.5-3 แถมพวกเรากะไปตั้งหลักในเมืองกัน
จึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นเท่าไหร่นัก อีกอย่างคือเมื่อวานก็เห็นกันอย่างชัดแล้ว
อยู่ๆ ก็มีชาวต่างชาติคนนึง ซึ่งคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคน Iceland เพราะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เดินดุ่มๆ มาหาพวกเราแล้วบอกว่า
“Hey guys, aurora appearing outside.”……
ฮ่ะ!!!! แสงหนือ!!! ตอนนี้เนี่ยนะ!!! ทุกคนเลยวิ่งออกไปนอกร้านไม่สนพิซซ่าบนโต๊ะที่ยังกินไม่หมดชิ้นกันซักคน
เชรดดดดดเขร้!!!! แสงเหนือที่อยู่บนท้องฟ้าตอนนี้แรงกว่าเมื่อวานซะอีก แถมวิ่งเต็มท้องฟ้าแบบน่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ ไปเลย
จังหวะนั้น ผม ต้อม มิ้ว 3 คน รีบซอยขาวิ่งกลับไปเอากล้องที่รถอย่างรวดเร็ว
เรียกได้ว่า เป็นการถ่ายรูปแสงเหนือกันอย่าง “โคตร” จุใจ และพอเปิดเช็คค่า kp ของคืนนี้ดู ค่า kp แมร่ง 4+ ตลอดทั้งคืน
ขนาดในตอนที่พวกเราอยู่ข้างนอกจนทนความหนาวไม่ไหว ต้องกลับเข้ามานั่งกินพิซซ่าที่เย็นแล้วต่อ แสงเหนือก็ยังคงวิ่งอยู่เต็มท้องฟ้า
จริงๆ ตามแผนที่วางไว้ คืนนี้เราจะต้องนอน รร. กัน เพื่อที่จะได้รีเฟรชร่างกาย แต่ว่าระหว่างทางพยายามหา รร. ใน Egilsstadir แล้ว
เหลือแต่ รร. ราคาแพงทั้งนั้นเลย เลยคุยกันว่าคืนนี้เราจะนอนในรถ Camper กันอีกคืน...แต่เนื่องจากโปรแกรมวันพรุ่งนี้
ต้องขับรถระยะทางไกลพอสมควร และต้องแวะหลายที่ กว่าจะไปถึงเมืองที่ก็คงจะค่ำ
ในตอนนั้นเอง ผมจึงเสนอความคิดว่า ถ้าอย่างงั้นคืนนี้ลากยาวไปจนถึงเมืองที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ที่เราจะเที่ยวพรุ่งนี้กันดีมั้ย
เพราะสามารถลดเวลาการเดินทางที่ต้องใช้พรุ่งนี้ไปได้เยอะ แล้วน่าจะทำให้เราไปเช็คอิน รร. ได้เร็วขึ้น...ซึ่งทุกคนเห็นด้วย
แต่มันขึ้นอยู่กับผมว่าขับไหวมั้ย เพราะหลังจากเปลี่ยนมือกับพี่ซิ้น ผมก็คือพลขับหนึ่งเดียวไปแล้ว ผมจึงบอกว่าไหวสิ ผมเป็นคนเสนอเองนี่นา
คืนนั้นพวกเราจึงออกเดินทางกันต่อเพื่อไปให้ถึงเมื่องที่ชื่อ Reykjahlid โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม.
แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นการขับรถที่โคตรมีความสุขเลย เนื่องจากคืนนี้ค่า kp ถือว่าสูงพอสมควร ทำให้แสงเหนือที่ปกติถ้าค่า kp ประมาณ 3
แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่จะเห็นเป็นสีเทาๆ อยู่บนฟ้า วันนี้สามารถเห็นเป็นสีเขีนว สีม่วงได้ด้วยตาเปล่า
แถมยังวิ่งไปทั่วท้องฟ้า ตลอดทางที่ขับไปเมือง Reykjahlid อีกด้วย
ผมนี่อยากจะจอดรถลงไปถ่ายรูปหลายจุดมาก แต่ด้วยถนนตอนกลางคืนที่มืดมากๆ ทำให้ไม่ค่อยกล้าจอดลงไป
เพราะกลัวรถสวนมาแล้วไม่เห็น จะเกิดอุบัติเหตุเอาได้
แล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน พวกเราก็ถึงเมือง Reykjahlid ในตอนนั้นหิมะตกหนัก ลมแรงพอสมควร
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต้องจอดนอนกันที่ N1 เหมือนเดิม
[CR] Time-Shift --> ย้อนเวลากลับไปล่าแสงเหนือที่ Iceland 2016 (EP.03)
แต่แสงเหนือที่พวกเราเจอกันเมื่อคืน ได้ช่วยให้ความเหนื่อยล้าจากวันก่อนหน้า และความไม่สะดวกสบายในการนอนเป็นเรื่องเล็กไปเลย
เพราะมันทำให้พวกเราพูดได้อย่างเต็มปากว่า “กูมาถึง Iceland แล้วโว้ย!!! กูได้เห็นแสงเหนือแบบโคตรชัด ครั้งแรกในชีวิตแล้ว!!!”
พวกเราเจอฝนและหิมะแทบจะตลอดทาง ฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ เรียกได้ว่าปิดเกือบ 70-80% ซึ่งลักษณะท้องฟ้าที่เมฆเยอะแบบนี้
ถึงแม้ค่า kp จะแรงขนาดไหน โอกาสเห็นแสงเหนือก็ต่ำอยู่ดีเพราะเมฆบังหมด...แต่ก่อนหน้านี้ มีประโยคนึงที่มิ้ว ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่เป็น Navigator
พูดกับผมที่บ่นเรื่องเมฆและฝนระหว่างขับรถอยู่ว่า “เราเชื่อว่าฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ” ประโยคที่สวยหรูนี้มันได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อคืน
ไม่อย่างงั้นเมื่อคืนเราคงไม่ได้เห็นแสงเหนือกัน ทั้งที่ตอนเช้าฝนยังตก เมฆยังเต็มท้องฟ้าอยู่เลย
อาหารเช้าของเรามื้อนี้กินกันอย่างราชาแห่งรถ Camper มีทั้งไข่ต้ม, คั่วกลิ้งหมู, กล้วย, นม, ขนมปัง ฯ ที่เราซื้อจาก Supermarket เมื่อคืน
โดยจะใช้เวลาขับรถประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง (แบบไม่แวะไหน) ซึ่งระหว่างทางจาก Hofn ไปถึง Egilsstadir
นั้นเป็นการขับรถขึ้นเขาและเส้นทางขดเคี้ยวพอสมควร
สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจในการขับรถผ่านเส้นทางนี้ และมีผมคนเดียวที่เห็น เนื่องจากตอนนั้นเพื่อนๆ อีก 5 คน หลับกันหมด (T^T)
คือจะมีช่วงนึงที่ต้องขับรถเข้าไปในอุโมงค์ที่เจาะผ่านภูเขา ระยะทางไกลประมาณหนึ่งเลย แล้วพอตอนขับรถออกมาจากอุโมงค์เท่านั้นแหละ
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือ พื้นที่ราบเรียบสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ขาวแบบขาวโคตรๆ โล่งๆ แทบไม่มีสีอื่นเลย....มันสวยมากๆ
สวยเหมือนภาพวาด สวยเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ในตอนนั้นนึกเสียดายมากที่ไม่มีใครเห็นเหมือนผม จึงไม่มีใครได้ถ่ายภาพไว้
แล้วผมก็เสียดายอีกอย่างคือ ทำไมผมถึงไม่เอากล้องติดหน้ารถมาติดไว้นะ มันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้ามีวิดีโอตลอดทริปของเราเก็บไว้
ต้อมก็ได้มี request มาว่าอยากดื่มกาแฟสดดีๆ ซักหน่อย ในวันที่พวกเราไม่ได้เร่งรีบอะไรแถมฝนก็ตกปรอยๆ ลมก็แรง อากาศหนาวเข้ากระดูกสุดๆ...
ที่ผ่านมาพวกเราได้แต่ดื่มกาแฟของปั๊ม N1 ซึ่งจะเป็นกาแฟดำที่ต้มไว้ให้เราเลือกขนาดแก้วไปกดได้เอง
แล้วค่อยไปจ่ายเงินที่ Counter ตามขนาดแก้ว ไม่ใช่ Espresso
เราจึงเปิด Google Map หาร้านกาแฟกัน แล้วเราก็เจอร้านชื่อ Vid Voginn...เมื่อถึงร้าน พวกเราก็ได้ดื่มกาแฟ Cappuccino/Latte อุ่นๆ กันสมใจ แถมร้านตั้งอยู่ตรงท่าเรือเล็กๆ ของเมือง ทำให้การแวะร้านนี้ ได้ทั้งกาแฟดีๆ ในที่อุ่นๆ พร้อมวิวสบายตาอีกด้วย (แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย)
หลังจากออกเดินทางอีกรอบ พวกเราก็ไปถึงเมือง Egilsstadir ประมาณ 15.00 ซึ่งตอนนั้นฟ้ายังสว่างอยู่
เลยคุยกันว่าหาที่เที่ยวใกล้ๆ ไปกันเล่นๆ ฆ่าเวลา...เราจึงตัดสินใจไปน้ำตกที่ชื่อ Fardagafoss ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปแค่ 10 นาที
และเมื่อไปถึงที่ มีรถจอดอยู่ก่อนหน้าพวกเรา 1 คันถ้วน (- -“)
น้ำตก Fardagafoss เป็นน้ำตกที่อยู่ในหุบเข้า ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกไกลพอสมควรถึงจะเจอ และเป็นการเดินบนพื้นดินพื้นหญ้า
ไม่ได้มีบันไดหรือทางดีๆ ให้พวกเราเดินขึ้น แต่เมื่อเราไปถึงแล้วแถมมีเวลาเหลือ เหล่าชายฉกรรจ์ 6 คน ยังไงก็ต้องตัดสินใจขึ้น
แต่ระหว่างทางเดินขึ้น ปัญหาที่พวกเราเจอกันคือ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มาเดินขึ้นเขาเพื่อไปดู Fardagafoss เท่าไหร่นัก
ทำให้ทางเดินสวนใหญ่เป็นน้ำแข็งที่เกิดจากหิมะที่ละลายและไม่เคยถูกเดินผ่านมาก่อน ทำให้ลื่นมากๆ...นั่นทำให้พวกเราเคลื่อนตัวขึ้นไปได้ช้ามาก
เพราะต้องระวังทุกก้าวที่เดินขึ้นไป และในระหว่างเดินขึ้น ผมก็ลื่นเข่ากระแทกพื้นไป 1 ครั้ง (T^T)
Panorama View ระหว่างทางขึ้นไป Fardagafoss
เมื่อเดินขึ้นไปถึงจุดแรกเพื่อดูน้ำตก พวกเราก็ถึงบางอ้อว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยขึ้นมาดู Fardagafoss…
น้ำตกมันแข็งเกือบทั้งอันจนเกือบจะมองไม่ออกแล้วว่าเป็นน้ำตก แม้ว่ามันจะสวยไปอีกแบบ
แต่การที่ต้องเดินขึ้นเขามาขนาดนี้เพื่อมาดูน้ำตกที่แข็งเกือบทั้งหมด อาจจะเปลืองแคลอรี่ไปหน่อย...แต่พวกเราตัดสินใจขึ้นมาแล้ว
เราจึงจะลุยกันต่อไปที่จุดดูน้ำตกจุดที่ 2
Fardagafoss ที่กลายเป็นน้ำแข็งไปเกือบหมด
ระหว่างที่เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ นั้น เป็นเวลาประมาณ 17.00 และพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ เช่นกัน
และแล้วเราก็เจอนักท่องเที่ยวเจ้าของรถคันที่จอดอยู่ด้านล่าง เป็นคู่สามี-ภรรยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งพอเค้าเดินลงมาเจอเรา เค้าก็บอกพวกเราว่า
อย่าขึ้นไปเลย เพราะต้องเดินต่อไปอีกไกลพอสมควร แถมทางที่ไปลื่นมากๆ ขนาดพวกเค้าใส่ Crampons ยังเกือบลื่นไปหลายรอบ
ถ้าพวกเราตัดสินใจไปต่อ พระอาทิตย์ต้องตกดินก่อนพวกเราจะถึงข้างล่างแน่ๆ...ซึ่งที่นี่คือประเทศ Iceland ประเทศแห่งธรรมชาติ
ไม่ได้มีไฟแสงสว่างให้เราแน่นอน...เรียกได้ว่า โคตรเสี่ยงลื่นตกเขามากๆ
พวกเราจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อ ตามคำแนะนำของเค้า แล้วเปลี่ยนกลับมาเดินลงเขากัน...ณ จุดๆ นี้ ผมโคตรอยากมี Crampons
ไม่น่าประหยัดอะไรไม่เข้าท่าเลย และเนื่องจากพื้นที่ลื่นเป็นทุนเดิม บวกกับพวกเรากำลังเดินลงเขา ทำให้ต้องเดินแบบระวังสุดๆ
ถึงกระนั้นผมยังลื่นล้มไป 2 รอบ แถมรอบนึงไถลลงไกลมากจนเกือบกลิ้งตกเขา โชคดีที่ไถลไปเจอพื้นหญ้าใหญ่ๆ อันนึง
ทำให้ล้มตัวลงเพื่อชะลอความเร็วได้ทัน...ถ้าไม่มีหญ้าให้ชะลอความเร็ว คิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง ตอนนั้นโคตรตกใจ ใจเต้นแรงมาก
Panorama ระหว่างเดินลง
สุดท้ายพวกเราก็ลงไปถึงข้างล่าง แล้วมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองเพื่อซื้อของใน Supermarket เพิ่ม และกินอาหารเย็นกัน
โดยพวกเราตัดสินใจที่จะกินพิซซ่ากันที่ N1 แล้วระหว่างที่พวกเรานั่งกินพิซซ่ากันอยู่นั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!!!
ก่อนหน้านี้ ช่วงเช้ามีฝนตกปรอยๆ เมฆเยอะประมาณหนึ่ง พอตอนบ่ายจนเย็นเมฆเริ่มหาย
แต่หลังจากเช็คค่า kp ของคืนนี้ (ตอนที่เช็ค น่าจะเวลาประมาณ 15.00) พบว่าอยู่ที่ประมาณ 2.5-3 แถมพวกเรากะไปตั้งหลักในเมืองกัน
จึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นเท่าไหร่นัก อีกอย่างคือเมื่อวานก็เห็นกันอย่างชัดแล้ว
อยู่ๆ ก็มีชาวต่างชาติคนนึง ซึ่งคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคน Iceland เพราะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เดินดุ่มๆ มาหาพวกเราแล้วบอกว่า
“Hey guys, aurora appearing outside.”……
ฮ่ะ!!!! แสงหนือ!!! ตอนนี้เนี่ยนะ!!! ทุกคนเลยวิ่งออกไปนอกร้านไม่สนพิซซ่าบนโต๊ะที่ยังกินไม่หมดชิ้นกันซักคน
เชรดดดดดเขร้!!!! แสงเหนือที่อยู่บนท้องฟ้าตอนนี้แรงกว่าเมื่อวานซะอีก แถมวิ่งเต็มท้องฟ้าแบบน่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ ไปเลย
จังหวะนั้น ผม ต้อม มิ้ว 3 คน รีบซอยขาวิ่งกลับไปเอากล้องที่รถอย่างรวดเร็ว
เรียกได้ว่า เป็นการถ่ายรูปแสงเหนือกันอย่าง “โคตร” จุใจ และพอเปิดเช็คค่า kp ของคืนนี้ดู ค่า kp แมร่ง 4+ ตลอดทั้งคืน
ขนาดในตอนที่พวกเราอยู่ข้างนอกจนทนความหนาวไม่ไหว ต้องกลับเข้ามานั่งกินพิซซ่าที่เย็นแล้วต่อ แสงเหนือก็ยังคงวิ่งอยู่เต็มท้องฟ้า
จริงๆ ตามแผนที่วางไว้ คืนนี้เราจะต้องนอน รร. กัน เพื่อที่จะได้รีเฟรชร่างกาย แต่ว่าระหว่างทางพยายามหา รร. ใน Egilsstadir แล้ว
เหลือแต่ รร. ราคาแพงทั้งนั้นเลย เลยคุยกันว่าคืนนี้เราจะนอนในรถ Camper กันอีกคืน...แต่เนื่องจากโปรแกรมวันพรุ่งนี้
ต้องขับรถระยะทางไกลพอสมควร และต้องแวะหลายที่ กว่าจะไปถึงเมืองที่ก็คงจะค่ำ
ในตอนนั้นเอง ผมจึงเสนอความคิดว่า ถ้าอย่างงั้นคืนนี้ลากยาวไปจนถึงเมืองที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ที่เราจะเที่ยวพรุ่งนี้กันดีมั้ย
เพราะสามารถลดเวลาการเดินทางที่ต้องใช้พรุ่งนี้ไปได้เยอะ แล้วน่าจะทำให้เราไปเช็คอิน รร. ได้เร็วขึ้น...ซึ่งทุกคนเห็นด้วย
แต่มันขึ้นอยู่กับผมว่าขับไหวมั้ย เพราะหลังจากเปลี่ยนมือกับพี่ซิ้น ผมก็คือพลขับหนึ่งเดียวไปแล้ว ผมจึงบอกว่าไหวสิ ผมเป็นคนเสนอเองนี่นา
คืนนั้นพวกเราจึงออกเดินทางกันต่อเพื่อไปให้ถึงเมื่องที่ชื่อ Reykjahlid โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม.
แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นการขับรถที่โคตรมีความสุขเลย เนื่องจากคืนนี้ค่า kp ถือว่าสูงพอสมควร ทำให้แสงเหนือที่ปกติถ้าค่า kp ประมาณ 3
แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่จะเห็นเป็นสีเทาๆ อยู่บนฟ้า วันนี้สามารถเห็นเป็นสีเขีนว สีม่วงได้ด้วยตาเปล่า
แถมยังวิ่งไปทั่วท้องฟ้า ตลอดทางที่ขับไปเมือง Reykjahlid อีกด้วย
ผมนี่อยากจะจอดรถลงไปถ่ายรูปหลายจุดมาก แต่ด้วยถนนตอนกลางคืนที่มืดมากๆ ทำให้ไม่ค่อยกล้าจอดลงไป
เพราะกลัวรถสวนมาแล้วไม่เห็น จะเกิดอุบัติเหตุเอาได้
แล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน พวกเราก็ถึงเมือง Reykjahlid ในตอนนั้นหิมะตกหนัก ลมแรงพอสมควร
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต้องจอดนอนกันที่ N1 เหมือนเดิม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้