เช้าที่ 2 ของเรา ณ ประเทศ Iceland เช้านี้ของเราตื่นกันสายนิดหน่อย หลังจากเมื่อวานกว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนกว่า
แถมยังไม่ชินกับการนอนในรถ Camper ต่างคนเลยต่างนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเช้าออกมานอกรถประมาณเกือบ 9.00
ซึ่งตอนนั้นเราก็เห็นรถบัสนักท่องเที่ยวมาจอดอยู่ใกล้ๆ แล้วคันนึง น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน
อาหารเย็นเมื่อวานเรากินขนมกับพวกทูน่าสเปรดทาขนมปังกัน เนื่องจากทุกอย่างมันช้ากว่าแผนและทุกคนเหนื่อยกันหมด
แต่เช้านี้พวกเรามีแรงกลับคืนมาแล้ว เราจึงพร้อมจะทำอาหารกินกัน โดยรถ Camper ที่เราเช่ามีนั้น มีของจำพวก Cuttery มาให้ครับ
ทั้งจาน ชาม ช้อน ส้อม หม้อ เตาแก๊สปิคนิค พร้อมแก๊สกระป๋องทรงกระบอก 1 กระป๋อง ซึ่งจริงๆ ไม่พอสำหรับการเดินทางตลอด 7-8 วันแน่นอน
แต่ตามปั๊มอย่าง N1 ที่มีตลอดเส้นทาง Golden Circle นั้น มีกระป๋องแก๊สและอุปกรณ์ Camping ขายทุกปั๊ม ไม่ต้องกลัวจะหาไม่ได้
เวลาที่เราตื่นกันนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร้านสะดวกซื้อของปั๊มเปิดพอดี ซึ่งในร้านก็มีของพวก นม ชีส ไข่ ให้ซื้อ
ทำให้อาหารเช้าบนรถ Camper มื้อแรกของเรามีความหลากหลายมาก และที่ขาดไม่ได้คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่!!!
การได้กินอะไรร้อนๆ ในอากาศหนาวแบบนี้ มันช่างฟิน...แม้ในรถจะมีฮีทเตอร์ แต่มันก็ไม่อุ่นเพียงพอสำหรับคน 6 คนหรอกครับ
แถมผมรับหน้าที่นอนชั้น 2 อีกต่างหาก อากาศหนาวจากข้างนอกมัน transfer มาจากหลังคารถได้อะ
ในช่วงที่ทำการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พวกเราก็ผลัดกันไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว แต่ไม่ได้อาบน้ำนะครับ ^^
ตัวผมเองใช้การพกกระดาษเปียกไปด้วยเพื่อใช้เช็ดพวกจุดที่มีโอกาสอับมากกว่าส่วนอื่น
ส่วนผมที่ไม่ได้สระ ก็ใช้การใส่หมวกตลอดเวลาแทน อย่าให้ถอดออกเชียวล่ะ หัวมันและแบนมากมาย...
อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องห้ามลืมทุกครั้งที่แวะปั๊มคือการเติมน้ำเปล่าติดรถไว้ เพื่อใช้สำหรับทั้งดื่ม ทำอาหาร ล้างจาน
พอทุกคนทำธุระส่วนตัวและกินข้าวเช้ากันเสร็จ เรายังไม่ออกจาก Vik เพราะ Vik ถือว่าเป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งของ South Iceland
เรียกได้ว่าเป็นจุดพักรถยอดนิยมก็ว่าได้ (ถ้าใครที่เพิ่งไปเที่ยว Iceland เมื่อปี 2018 ผมจะบอกว่า Vik ปี 2016 นั้นต่างจากปี 2018 โคตรๆ
แต่คงจะไปพูดถึงในอีกกระทู้ที่จะรีวิว Iceland หน้าร้อนแทน)
เพราะจากจุดจอดรถตรงปั๊ม N1 คุณสามารถเดินลงไปที่ Reynisdrangar หาดทรายสีดำชื่อดังของ Iceland
และสามารถมองเห็นเจ้าแท่งหิน 4 แง่ง อีกด้วย (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) ส่วนอีกฝากของถนนก็สามารถเห็น Vik Church ด้วย
Vik Church
หายทรายสีดำและแง่งทั้ง 4
สีดำของหาดทรายตัดกับสีขาวของหิมะหน้าหนาว
อีกหนึ่งอย่างที่ต้องทราบไว้ หากจะมา Road Trip ที่ประเทศ Iceland คือ การเติมน้ำมัน โดยผมจะขอพูดถึงแค่การเติมปั๊ม N1 เท่านั้น เนื่องจากตลอดทางเราก็เติมแต่ N1 และเค้าก็เป็นแบรนด์ที่มีสถานีมากที่สุดใน Iceland...
ทั้งที่จอดนอน ที่เข้าห้องน้ำล้างหน้า แปรงฟัน ทั้งซื้อของกิน เราก็พึ่ง N1 ตลอด (กราบบบ)...จริงๆ แล้ววิธีการเติมน้ำมันของที่นี้
สำหรับนักท่องเที่ยวจะมีอยู่หลักๆ 2 วิธี คือ 1. รูดบัตรเครดิต โดยที่คุณจะต้องใส่รหัสตัวเลข 4 ตัว เพื่อให้การรูดผ่าน
2. การซื้อ Prepaid Card จากในร้านสะดวกซื้อ ทำให้เราสามารถเติมน้ำมันได้เองตลอด 24 ชั่วโมง
แม้ปั๊มจะปิดแล้ว แต่หัวจ่ายเค้าเปิดตลอด...แต่วิธีรูดบัตรเครดิต ผมไม่สามารถทำได้
เพราะตัวเลข 4 ตัวที่ใส่ไปมันบอกไม่ถูกต้อง (ใช้ Security Code ของบัตรเครดิต) หรือแม้แต่เมื่อปีก่อนที่ผมไป Iceland อีกรอบ
โทรไป Call Center ของบัตรเครดิตหลายเจ้ามาก เค้าก็บอกว่ายังไม่มีบริการในส่วนนี้
ฉะนั้นใครสามารถรูดบัตรเครดิตจ่ายค่าน้ำมันที่ Iceland ได้ รบกวนช่วยบอกผมหน่อยนะครับว่าของธนาคารไหน จะได้ทราบไว้...
กลับมาที่วิธีที่ 2 และเป็นสิ่งที่ไม่ควรลืม คือการซื้อ Prepaid Card ไว้ โดยหน้าตาของมันจะประมาณนี้
Credit: www.n1.is
มี 3 มูลค่า 3,000/ 5,000/ 10,000 kr. ซึ่งถ้าคิดว่าจะขับ Golden Circle อยู่แล้ว ซื้อ 10,000 kr เตรียมไว้ตั้งแต่แรกเลยก็ได้ ส่วนวิธีเติมก็ง่ายๆ ไม่ศึกษาเอาที่หน้าตู้จ่ายเลยก็ได้
กว่าเราจะได้ออกตัวจากเมือง Vik ก็เกือบๆ เที่ยง และตอนนั้นอากาศก็เริ่มมีฝนตกและลมแรงขึ้น ตามที่เมื่อวาน บ. Tour ได้แจ้งยกเลิก Glacier Trekking ของพวกเราเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ดีนัก ทำให้พี่ซิ้นต้องค่อยๆ ขับเพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้ไปถึงจุดหมายถัดไปของพวกเรา...Skaftafell
Skaftafell เป็นพื้นที่อนุรักษ์ (เรียกงี้ป่าววะ?) ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็น National Park หรืออุทยานแห่งชาติ
แต่ทำไม่ถึงเปลี่ยนไม่ทราบ ลองไป Google หากันเอาเองนะครับ
โดยที่ Skaftafell ในหน้าร้อนเนี่ย เป็นที่ที่คน Icelandic และนักท่องเที่ยวขา Trek นิยมมา Trekking กันมาก
เพราะสามารถ Trek ไปไกลจนเห็น Glacier ได้เลย และอีกไฮไลท์ของ Skaftafell คือน้ำตก Svartifoss ที่มีความสวยงามที่เกิดจากธรรมชาติ
โดย Svartifoss จะมีพื้นหลังของน้ำตกเป็นหินชั้นๆ ที่เกิดจากการการก่อตัวของลาวา ซึ่งผมว่าโคตรสวยอะ
ถนนที่เป็นน้ำแข็งและหัวแบนๆ ของคนที่ใส่หมวกมาตลอดตั้งแต่เมื่อวาน (ฮ่าๆๆ)
ระหว่างทางไป Skaftafell พวกเราก็แวะถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย ขนาดสภาพอากาศเรียกได้ว่า ห่วยแตกมาก ทิวทัศน์โดยรอบมันก็ยังสวย
สุดมากจริงๆ ประเทศ Iceland...ทำให้กว่าจะไปถึง Skaftafell ก็ประมาณเกือบ 16.00 พอไปถึง สิ่งที่พวกเราทำสิ่งแรกเลยคือ
เข้าไปใน Visitor Center เพื่อหาข้อมูลในการไปที่ Svartifoss แต่แล้วพวกเราก็ต้องผิดหวัง (ม่ายยยยยย!!!)
เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าหนาว และการเดินไปที่ Svartifoss นั้นต้องขึ้นเขา เค้าจึงจะอนุญาตให้เฉพาะคนที่มี Crampons ใส่เท่านั้น
ไม่เช่นนั้นถ้าใส่แค่รองเท้าพื้นทั่วไปมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุลื่นตกเขาแน่ และการไป Svartifoss มีระยะทางไป-กลับ ประมาณ 5.5 km
ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง น่าจะมืดก่อนแล้วยังกลับมาไม่ทัน Visitor Center ปิด อีกด้วย เพราะปิด 18.00...
ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัดซะนี่กระไร (T^T)
แต่ทาง Visitor Center ก็ได้แนะนำพวกเราว่า ยังมีอีกทางให้ไปลองเดินดู เพราะปลายทางจะเป็น Glacier ให้เห็นด้วย เป็นทางที่ง่ายที่สุด
ระยะทาง 3.7 km ไม่ต้องมี Crampons ก็ไปได้ เราจึงตัดสินใจไปตามที่เค้าแนะนำ
[CR] Time-Shift --> ย้อนเวลากลับไปล่าแสงเหนือที่ Iceland 2016 (EP.02)
แถมยังไม่ชินกับการนอนในรถ Camper ต่างคนเลยต่างนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเช้าออกมานอกรถประมาณเกือบ 9.00
ซึ่งตอนนั้นเราก็เห็นรถบัสนักท่องเที่ยวมาจอดอยู่ใกล้ๆ แล้วคันนึง น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน
อาหารเย็นเมื่อวานเรากินขนมกับพวกทูน่าสเปรดทาขนมปังกัน เนื่องจากทุกอย่างมันช้ากว่าแผนและทุกคนเหนื่อยกันหมด
แต่เช้านี้พวกเรามีแรงกลับคืนมาแล้ว เราจึงพร้อมจะทำอาหารกินกัน โดยรถ Camper ที่เราเช่ามีนั้น มีของจำพวก Cuttery มาให้ครับ
ทั้งจาน ชาม ช้อน ส้อม หม้อ เตาแก๊สปิคนิค พร้อมแก๊สกระป๋องทรงกระบอก 1 กระป๋อง ซึ่งจริงๆ ไม่พอสำหรับการเดินทางตลอด 7-8 วันแน่นอน
แต่ตามปั๊มอย่าง N1 ที่มีตลอดเส้นทาง Golden Circle นั้น มีกระป๋องแก๊สและอุปกรณ์ Camping ขายทุกปั๊ม ไม่ต้องกลัวจะหาไม่ได้
เวลาที่เราตื่นกันนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร้านสะดวกซื้อของปั๊มเปิดพอดี ซึ่งในร้านก็มีของพวก นม ชีส ไข่ ให้ซื้อ
ทำให้อาหารเช้าบนรถ Camper มื้อแรกของเรามีความหลากหลายมาก และที่ขาดไม่ได้คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่!!!
การได้กินอะไรร้อนๆ ในอากาศหนาวแบบนี้ มันช่างฟิน...แม้ในรถจะมีฮีทเตอร์ แต่มันก็ไม่อุ่นเพียงพอสำหรับคน 6 คนหรอกครับ
แถมผมรับหน้าที่นอนชั้น 2 อีกต่างหาก อากาศหนาวจากข้างนอกมัน transfer มาจากหลังคารถได้อะ
ในช่วงที่ทำการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พวกเราก็ผลัดกันไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว แต่ไม่ได้อาบน้ำนะครับ ^^
ตัวผมเองใช้การพกกระดาษเปียกไปด้วยเพื่อใช้เช็ดพวกจุดที่มีโอกาสอับมากกว่าส่วนอื่น
ส่วนผมที่ไม่ได้สระ ก็ใช้การใส่หมวกตลอดเวลาแทน อย่าให้ถอดออกเชียวล่ะ หัวมันและแบนมากมาย...
อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องห้ามลืมทุกครั้งที่แวะปั๊มคือการเติมน้ำเปล่าติดรถไว้ เพื่อใช้สำหรับทั้งดื่ม ทำอาหาร ล้างจาน
พอทุกคนทำธุระส่วนตัวและกินข้าวเช้ากันเสร็จ เรายังไม่ออกจาก Vik เพราะ Vik ถือว่าเป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งของ South Iceland
เรียกได้ว่าเป็นจุดพักรถยอดนิยมก็ว่าได้ (ถ้าใครที่เพิ่งไปเที่ยว Iceland เมื่อปี 2018 ผมจะบอกว่า Vik ปี 2016 นั้นต่างจากปี 2018 โคตรๆ
แต่คงจะไปพูดถึงในอีกกระทู้ที่จะรีวิว Iceland หน้าร้อนแทน)
เพราะจากจุดจอดรถตรงปั๊ม N1 คุณสามารถเดินลงไปที่ Reynisdrangar หาดทรายสีดำชื่อดังของ Iceland
และสามารถมองเห็นเจ้าแท่งหิน 4 แง่ง อีกด้วย (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) ส่วนอีกฝากของถนนก็สามารถเห็น Vik Church ด้วย
อีกหนึ่งอย่างที่ต้องทราบไว้ หากจะมา Road Trip ที่ประเทศ Iceland คือ การเติมน้ำมัน โดยผมจะขอพูดถึงแค่การเติมปั๊ม N1 เท่านั้น เนื่องจากตลอดทางเราก็เติมแต่ N1 และเค้าก็เป็นแบรนด์ที่มีสถานีมากที่สุดใน Iceland...
ทั้งที่จอดนอน ที่เข้าห้องน้ำล้างหน้า แปรงฟัน ทั้งซื้อของกิน เราก็พึ่ง N1 ตลอด (กราบบบ)...จริงๆ แล้ววิธีการเติมน้ำมันของที่นี้
สำหรับนักท่องเที่ยวจะมีอยู่หลักๆ 2 วิธี คือ 1. รูดบัตรเครดิต โดยที่คุณจะต้องใส่รหัสตัวเลข 4 ตัว เพื่อให้การรูดผ่าน
2. การซื้อ Prepaid Card จากในร้านสะดวกซื้อ ทำให้เราสามารถเติมน้ำมันได้เองตลอด 24 ชั่วโมง
แม้ปั๊มจะปิดแล้ว แต่หัวจ่ายเค้าเปิดตลอด...แต่วิธีรูดบัตรเครดิต ผมไม่สามารถทำได้
เพราะตัวเลข 4 ตัวที่ใส่ไปมันบอกไม่ถูกต้อง (ใช้ Security Code ของบัตรเครดิต) หรือแม้แต่เมื่อปีก่อนที่ผมไป Iceland อีกรอบ
โทรไป Call Center ของบัตรเครดิตหลายเจ้ามาก เค้าก็บอกว่ายังไม่มีบริการในส่วนนี้
ฉะนั้นใครสามารถรูดบัตรเครดิตจ่ายค่าน้ำมันที่ Iceland ได้ รบกวนช่วยบอกผมหน่อยนะครับว่าของธนาคารไหน จะได้ทราบไว้...
กลับมาที่วิธีที่ 2 และเป็นสิ่งที่ไม่ควรลืม คือการซื้อ Prepaid Card ไว้ โดยหน้าตาของมันจะประมาณนี้
มี 3 มูลค่า 3,000/ 5,000/ 10,000 kr. ซึ่งถ้าคิดว่าจะขับ Golden Circle อยู่แล้ว ซื้อ 10,000 kr เตรียมไว้ตั้งแต่แรกเลยก็ได้ ส่วนวิธีเติมก็ง่ายๆ ไม่ศึกษาเอาที่หน้าตู้จ่ายเลยก็ได้
กว่าเราจะได้ออกตัวจากเมือง Vik ก็เกือบๆ เที่ยง และตอนนั้นอากาศก็เริ่มมีฝนตกและลมแรงขึ้น ตามที่เมื่อวาน บ. Tour ได้แจ้งยกเลิก Glacier Trekking ของพวกเราเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ดีนัก ทำให้พี่ซิ้นต้องค่อยๆ ขับเพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้ไปถึงจุดหมายถัดไปของพวกเรา...Skaftafell
Skaftafell เป็นพื้นที่อนุรักษ์ (เรียกงี้ป่าววะ?) ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็น National Park หรืออุทยานแห่งชาติ
แต่ทำไม่ถึงเปลี่ยนไม่ทราบ ลองไป Google หากันเอาเองนะครับ
โดยที่ Skaftafell ในหน้าร้อนเนี่ย เป็นที่ที่คน Icelandic และนักท่องเที่ยวขา Trek นิยมมา Trekking กันมาก
เพราะสามารถ Trek ไปไกลจนเห็น Glacier ได้เลย และอีกไฮไลท์ของ Skaftafell คือน้ำตก Svartifoss ที่มีความสวยงามที่เกิดจากธรรมชาติ
โดย Svartifoss จะมีพื้นหลังของน้ำตกเป็นหินชั้นๆ ที่เกิดจากการการก่อตัวของลาวา ซึ่งผมว่าโคตรสวยอะ
ระหว่างทางไป Skaftafell พวกเราก็แวะถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย ขนาดสภาพอากาศเรียกได้ว่า ห่วยแตกมาก ทิวทัศน์โดยรอบมันก็ยังสวย
สุดมากจริงๆ ประเทศ Iceland...ทำให้กว่าจะไปถึง Skaftafell ก็ประมาณเกือบ 16.00 พอไปถึง สิ่งที่พวกเราทำสิ่งแรกเลยคือ
เข้าไปใน Visitor Center เพื่อหาข้อมูลในการไปที่ Svartifoss แต่แล้วพวกเราก็ต้องผิดหวัง (ม่ายยยยยย!!!)
เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าหนาว และการเดินไปที่ Svartifoss นั้นต้องขึ้นเขา เค้าจึงจะอนุญาตให้เฉพาะคนที่มี Crampons ใส่เท่านั้น
ไม่เช่นนั้นถ้าใส่แค่รองเท้าพื้นทั่วไปมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุลื่นตกเขาแน่ และการไป Svartifoss มีระยะทางไป-กลับ ประมาณ 5.5 km
ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง น่าจะมืดก่อนแล้วยังกลับมาไม่ทัน Visitor Center ปิด อีกด้วย เพราะปิด 18.00...
ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัดซะนี่กระไร (T^T)
แต่ทาง Visitor Center ก็ได้แนะนำพวกเราว่า ยังมีอีกทางให้ไปลองเดินดู เพราะปลายทางจะเป็น Glacier ให้เห็นด้วย เป็นทางที่ง่ายที่สุด
ระยะทาง 3.7 km ไม่ต้องมี Crampons ก็ไปได้ เราจึงตัดสินใจไปตามที่เค้าแนะนำ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้