ผจญภัยดินแดนแห่งน้ำแข็ง (3)
04.20 น. คือเวลาตื่นนอนของผมในเช้าที่สามบนดินแดนแห่งน้ำแข็ง ยังดีที่เมื่อคืนได้นอนเร็วตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า จึงรู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อวาน มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นดวงดาวบนฟากฟ้านิดหน่อย แสดงว่าฟ้าเปิด หรือเราจะโชคดี ได้เห็น Aurora
เด้งตัวจากที่นอน เปิดประตูก้าวขาออกไป โอ๊ะ! ลืมไปว่ามันหนาว ใส่แค่ชุดนอนคือเสื้อและกางเกงวอร์ม เป็นเสื้อวอร์มแบบเอวลอย (เสื้อมือสองที่คุณภรรยา cf มา) อุณหภูมิน่าจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แต่ไม่เป็นไร ออกไปแค่แป๊บเดียว
ปรากฏว่าไม่เห็นอะไร ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างของเช้าวันใหม่บ้างแล้ว จึงรีบเดินกลับเข้าห้อง เห็นลูกชายลุกขึ้นมานั่งแล้ว พ่อกับลูกชายพอกัน ยังไม่คุ้นเรื่องเวลา จึงจัดการทำธุระส่วนตัวและยืดเส้นยืดสาย เพื่อเตรียมตัวออกกำลังกาย
เช้านี้ผมวางแผน Jocking รอบเมือง Selfoss
ชุดวิ่งของผมคือ เสื้อวิ่งแขนสั้น เสื้อวอร์ม (ไม่ใช่แบบเอวลอย) เสื้อกันลมมี hood กางเกงวิ่งรัดเป้าขายาว กางเกงวอร์ม ถุงเท้าหนา และรองเท้าผ้าใบใส่เดินเล่น คู่ที่ใส่ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมานั่นแหล่ะ
คุณภรรยาแสดงความเป็นห่วงด้วยการถามว่า
"ใส่แค่นี้พอเหรอ ข้างนอกหนาวนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
ผมจึงตอบไป เพื่อให้เธอมั่นใจว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่า พอวิ่งไปแล้วเหงื่อออก ก็น่าจะอุ่นขึ้นเองแหล่ะ"
เมื่อทุกอย่างได้ที่ จึงได้เวลา start ตอนประมาณเกือบหกโมง
เปิดประตูออกไป ลมพัดแรง หอบเอาความหนาวเข้าถึงทรวง ทำไมตอนตีสีกว่า ไม่เห็นมีลมเลย ยังดีที่ใส่เสื้อกันลม จึงพอช่วยประทังความหนาวเย็นได้บ้าง แต่ด้วยความที่คนกำลังคึก จะลมหรือจะหนาว ก็ฉุดผมไม่อยู่แล้ว
เริ่มออกวิ่งแบบช้าๆ pace 7 กว่าๆ เพราะรองเท้าไม่ใช่แบบ fly foam
ทางวิ่งก็ทางคนเดินนั่นแหล่ะ เป็น footpath ข้างถนน กว้างขวางปลอดภัย ไม่เห็นมีหลุมมีบ่อหรือท่อระบายน้ำที่เปิดฝาทิ้งไว้เหมือนบางประเทศ
ผมเลือกวิ่งแบบวนซ้าย jock ไปเรื่อยๆ ทางวิ่ง ทางเดิน ถนนหนทาง ล้วนปราศจากผู้คน เหมือนวิ่งในเมืองร้าง พลางคิดในใจว่าจะมี zombies มาวิ่งไล่งับตรูไหมเนี่ย
พอผ่านไปประมาณ 3 กิโล เริ่มรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจากใต้ผิวหนัง นี่ถ้าเป็นที่เมืองไทย แค่ 300 เมตร ก็เหงื่อท่วมแล้ว
ขณะวิ่ง พยายามสังเกตและสอดส่องสภาพแวดล้อมโดยรอบ พบว่า
1. ไม่เห็นหมาสักตัว หรือบ้านเขาไม่เลี้ยงหมา ไม่น่าใช่ คงมีเลี้ยง แต่ไม่เยอะเหมือนบ้านเราไม่ต้องเลี้ยงไว้ขู่โจร และคนที่เลี้ยงหมาคงมีจิตสำนึกรับผิดชอบดี ไม่ให้หมาตัวเองไปสร้างภาระ รบกวนเพื่อนบ้าน ถ้าเป็นที่เมืองไทย วิ่งต่างถิ่นแบบนี้ ผมคงต้องถือไม้วิ่งไปด้วย
2. เห็น scooter ขาไถไฟฟ้าหลายคัน จอดทิ้งไว้ข้างทางเดิน แบบไม่กลัวหาย แบบไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ ทำไมเค้าไม่มีความรับผิดชอบกันเลย ทำไมไม่จอดแล้วล๊อคไว้ดีๆ ในบ้านตัวเอง ผมไม่เข้าใจ สันนิษฐานว่า เจ้าของคงเป็นเด็ก เอาออกไปแว๊นเล่นที่ทางเดิน เผอิญเห็นเพื่อนกำลังเล่นซ่อนหา เลยขอแจม แล้วลืมเลย วันหลังนึกได้ ค่อยกลับมาเอา มันคงจอดอยู่ที่เดิมนั่นแหล่ะ ไม่มีหาย
3. ทางเดิน/วิ่ง ในช่วงที่ผ่านโซนบ้านพักอาศัย จะเป็นทางที่แบบโค้งซ้าย โค้งขวาไปมา ไม่ใช่ทางตรงๆ เหมือนช่วงในเมือง นอกจากทางวิ่งจะโค้งไปมาแล้ว ยังมีเนินขนาดเล็กที่กองเป็นหย่อมๆ ขนานไปกับถนนรอบเขตที่พักอาศัย บางเนินสูงประมาณศีรษะ บางเนินต่ำกว่า บางเนินเห็นเป็นหญ้าแห้งๆ อย่างเดียว บางเนินมีทั้งหญ้าและต้นไม้เล็กๆ ซึ่งเนินเหล่านี้น่าจะช่วยบดบังรถยนต์ที่วิ่งบนถนน และน่าจะช่วยป้องกันเสียงดังจากรถยนต์ได้ด้วย ผมว่าเนินพวกนี้แหล่ะที่ทำให้ทางเดิน/วิ่ง โค้งไปมา ช่วยให้การวิ่งมีสุนทรียภาพเพิ่มขึ้นอีกมากโข พวก อบต. เทศบาลบ้านเรา น่าจะทำอย่างเขาบ้างนะ
4. ตลอดระยะเวลาวิ่งรอบเมือง ผมเห็นรถวิ่งบนถนนจำนวน 2 คันถ้วน น้อยกว่ารถที่วิ่งในหมู่บ้านจัดสรรแถวระยอง เวลาผมวิ่งรอบหมู่บ้านตอนเช้า หลายเท่าตัว ฉะนั้น คงไม่ต้องเทียบว่าที่ไหนรถเยอะกว่ากัน ที่ไหนอากาศดีกว่ากัน ระหว่างเมือง Selfoss และหมู่บ้านจัดสรรที่เมืองระยอง
วิ่งวนครบหนึ่งรอบ ได้ระยะประมาณ 8 Km ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงนิดๆ สดชื่นดีจริงๆ
กลับถึงห้อง คุณภรรยากำลังทำ breakfast ให้เด็กๆ ด้วยเมนู ไข่คน ไส้กรอก แฮม และ porridge ตราคนอร์ และทำ Sandwich เป็นอาหารกลางวัน (ขนมปังปิ้ง แฮม ชีส และขนมปังปิ้งทาแยม)
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนเก้าโมง พวกเราก็พร้อมย้ายห้องออกเดินทาง กะว่าจะไป Say Hello ไอ้หนุ่มโอ๊ปป้าข้างห้องซะหน่อย ปรากฎว่ามันเปิดตูดหนีหน้าผมไปก่อนแล้ว
วันนี้ จุดหมายปลายทางของพวกเราสุดที่เมือง Vik ขับรถลงทางภาคใต้ของ Iceland ไปตามถนนสาย 1 ระยะทางประมาณ 129 Km ดังนั้น จึงออกนอกลู่นอกทางได้สบาย
ขณะขับรถ พวกเราพยายามละเลียดกับวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ ลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ กระจายทั่วไปหมด และมีฉากหลังเป็นภูเขาหัวโล้น (ไม่มีต้นไม้บนภูเขาแม้แต่ต้นเดียว) ที่มีหญ้าแห้งๆ ปกคลุมทั้งภูเขา ลูกไหนสูงใหญ่ก็จะมีซาก snow เล็กๆ ปกคลุมเป็นหย่อมๆ แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็กๆ เพราะอยู่มาวันที่สาม ถึงจะเริ่มเห็นเค้าลางของญาติแม่คะนิ้ง
ลูกชายถามว่า ทำไมหญ้าแห้งมันถึงดูเป็นก้อนเล็กๆ กระจายทั่วไปหมด จึงอธิบายให้ลูกฟัง (เหมือนคนมีภูมิ) ว่า ก่อนหน้านี้มันก็เป็นกอหญ้าใหญ่ๆ ชี้โด่ชี้เด่ ดูรกๆ เหมือนบ้านเรานั่นแหล่ะ แต่พอเข้าสู่หน้าหนาว หิมะตกทับถมกอหญ้าแบนแต๊ดแต๋ เหลือแค่ตรงโคนกอหญ้าแต่ละโคนนี่แหล่ะที่หิมะทับให้แบนไม่ได้ จึงเหลือโผล่เป็นก้อนๆแบบนั้น
อันนี้ไม่รู้ใช่หรือเปล่านะ เดาล้วนๆ
ขณะขับรถผ่านตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง คุณภรรยาโพล่งขึ้นมาว่า
"คุณ! Lava Center แวะไหม"
"ไหน" ผมถาม
"เลยมาแล้ว" เธอบอก
ผมเลยขับรถไปต่อ
"คุณ!" เธอโพล่งขึ้นมาอีก
"ว่าไงจ๊ะ" ผมขานรับ โดยคำว่า "จ๊ะ" เสียงจะแข็งๆ หน่อย
"ร้านไอศกรีม แวะไหม"
ผมรีบเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านไอศครีมทันที
คุณภรรยาถูกไล่ให้ลงไปดูลาดเลาในร้านไอศกรีมว่าน่านั่งไหม เพราะลูกชายหลับอยู่ สงสัยคงอิ่มเอมกับวิวหญ้าแห้งข้างทางมาก
หลังจากไปส่องที่ประตูหน้าร้าน เธอเดินกลับขึ้นรถมา พร้อมบอกว่า
"ร้านยังไม่เปิด ป้ายบอกว่าเปิดตอน 12.00 น."
ขณะนั้นเวลาประมาณสิบโมง คงได้กินอะนะ
ผมจึงตัดสินใจขับรถย้อนกลับไปที่ Lava Center
พอรถจอด เจองานยากอีกละ คือการปลุกลูกชาย ซึ่งแน่นอนว่ามีโวยวายตามปกติ บอกว่าไม่ลง จะนอนรออยู่ในรถ พอบอกว่าจะไปดูลาวา เท่านั้นแหล่ะ รีบดีดตัวลงจากรถ
ที่ลานจอดรถ เห็นมีรถรถจอดอยู่ไม่เยอะ สงสัยคงไม่ค่อยดึงดูดนักท่องเหมือนน้ำตก พวกเรารีบเดินเข้าข้างในตึก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกล่องไม้ใหญ่ๆ เล็กๆ หลายกล่องวางเรียงกัน ดูเรียบง่ายแต่โคตรมี style
พอเข้าข้างใน ต้องซื้อตั๋วเข้าชม จำไม่ได้ราคาเท่าไหร่ รู้แต่ว่าไม่ค่อยแพง พอได้ตั๋ว เจ้าหน้าที่บอกหนังจะฉายแล้ว เข้าไปดูได้นะ พวกเราไม่รอช้า รีบเดินเข้าห้องฉายหนังไป
ข้างในค่อนข้างมืด มีเก้าอี้นั่งธรรมดา วางเรียงเป็นแถว เต็มที่น่าจะจุผู้ชมได้ไม่เกิน 50 คน ในตอนนั้น มีคนนั่งอยู่ข้างในแล้ว 3 คน พอพวกเราเข้าไปนั่งสักพัก หนังสารคดีเรื่อง Iceland Vocanic History Z (ตั้งชื่อเอง) ก็เริ่มฉาย โดยหนังมีความยาวทั้งหมดประมาณ 15 นาที ขออนุญาตไม่ spoil นะ อยากรู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง แนะนำให้ซื้อตั๋วเครื่องบินไป Iceland เลยครับ
พอออกมาจาก Cinema ก็เข้าไปต่อที่โซน Vocano & Earthqueak Interactive Exhibition ซึ่งมันว๊าวมาก สำหรับครอบครัวบ้านนอกอย่างพวกเรา ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สนใจในเรื่องที่เค้าอยากนำเสนอ ไม่น่าเบื่อ ตื่นตาตื่นใจมาก มีทั้งภาพ แสง สี เสียง สัมผัส ขาดอย่างเดียวคือกลิ่น เลยยังไม่รู้ว่ากลิ่นลาวามันเป็นยังไง จะคล้ายๆ กลิ่นวนิลาหรือเปล่า
ที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว คือ การได้รู้ว่า เวลาเกิดแผ่นดินไหว พื้นที่เรายืนอยู่ มันสั่น มันไหวอย่างไร แผ่นดินไหวความแรงเท่านี้ มันรู้สึกแบบนี้ ความแรงเท่านั้น มันรู้สึกแบบนั้น เจ๋งดี
แต่ขออย่าให้ได้เจอของจริงเลยนะในชาตินี้
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่น่าจะเกือบชั่วโมง จริงๆ เด็กๆ อยากใช้เวลานานกว่านี้ แต่ด้วยต้องไปต่อ เลยต้องคอยต้อนให้ขยับ
เสร็จจาก exhibition เลยปิดท้ายด้วยร้านขายของที่ระลึก ซึ่งไม่ได้บังคับว่าจะต้องเดินผ่านเพื่อไปสู่ทางออก สิ่งที่เราได้มาเป็นที่ระลึก คือ magnet ติดตู้เย็น 2 อัน และเกลือ lava ซึ่งอย่างหลังกะว่าจะมาจิ้มกับมะม่วงเปรี้ยวที่บ้านเรา
ใครที่มาเยือน Iceland แนะนำให้หาเวลาแวะที่ Lava Center ด้วยนะครับ Recommend by ลูกชายผมเอง
ด้วยความที่วันนี้พอมีเวลา ก่อนออกมา ลองถามไอ้หนุ่มผมยาวคนขายตั๋ว ว่าแถวนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวลับแนะนำไหม เลยได้ที่เที่ยวเพิ่มเข้ามาใน List อีกหนึ่งที่ คือ Gluggafoss หนีไม่พ้นน้ำตกจริงๆ ประเทศนี้
แต่ในเมื่อคนท้องถิ่นแนะนำ เลยต้องลองไปดูสักหน่อย
ขับรถออกมาจาก Lava Center นิดเดียว จะเจอสามแยก ปกติเราต้องเลี้ยวขวา เพื่อไปตามถนนสาย 1 เส้นทางหลักสำหรับขับรถรอบเกาะ แต่เราเลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังน้ำตกลับที่ไอ้หนุ่มผมยาวชาว Iceland แนะนำ และย้ำนักย้ำหนาว่า "Very Beautiful"
ขับรถชมวิวไปเรื่อยๆ โดยมีฝั่งซ้ายมือเป็นภูเขาหัวโล้นหญ้าแห้ง ไร้เงาต้นไม้เช่นเคย แต่จะมีสายน้ำตกไหลลงมาจากภูเขาให้เห็นเป็นระยะๆ ส่วนฝั่งขวาเป็นทุ่งหญ้าแห้ง
โดยอากาศในวันนี้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นเคย
พอขับไปได้ประมาณ 20 นาที คุณภรรยาบอกว่า
"น้ำตกแถวนี้เยอะเนอะ ดูสิ อันนี้ก็สวย"
ผมก็เหลือบมองดู "เออ สวยดี" เอ๊ะ! หรือว่า
รีบจอดรถ ดูแผนที่ใน google map นี่แหล่ะที่ไอ้หนุ่มผมยาวมันแนะนำ สรุปขับเลยไปนิดหนึ่ง
ต้องถอยรถกลับ แล้วเลี้ยวช้ายเข้าไป ตัวน้ำตกอยู่ห่างจากถนนน่าจะไม่เกิน 300 เมตร มีรถนักท่องเที่ยวจอดอยู่ 2 คัน มีโต๊ะมานั่งอยู่หนึ่งตัว ฝนเริ่มตกปรอยๆ จึงใส่ชุดกันฝนเต็มยศ และหิ้วถุงอาหารกลางวันลงจากรถ
วันนี้เราจะกินอาหารกลางวันหน้าน้ำตก
น้ำตกที่ว่านี้ มองจากถนน ดูเหมือนไม่ใหญ่มาก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ถือว่าใหญ่และสูงทีเดียว เป็นน้ำตกที่ดูเหมือนไหลทะลุหินลงมา แปลกตาดี
และยังสามารถเดินขึ้นไปด้านบนภูเขาด้านข้างน้ำตกได้ด้วย
ถือของเดินไปที่โต๊ะ ฝนหยุดตกพอดี เลยจัดมื้อกลางวัน ที่มีฉากหลังเป็นน้ำตก และมีเพียงพวกเรานั่งโซ๊ย Sandwich อยู่ตรงนั้น ส่วนนักท่องเที่ยวคนอื่น เห็นมีอยู่คนเดียวบนยอดเขา ส่วนเจ้าของรถอีกคัน เข้าใจว่าคงเดินสำรวจโลกอยู่ด้านบนเช่นกัน เพราะไม่เห็นหัวเลย
กินเสร็จ ชวนเด็กๆ เดินขึ้นเขาเพื่อไปดูน้ำตกด้านบน แต่ไม่มีใครสนใจ ขอดูอยู่ข้างล่างก็พอ จึงให้คุณภรรยาเดินนำขึ้นไปคนเดียวก่อน ส่วนผมขอสำรวจน้ำตกด้านล่างกับเด็กๆ เสร็จแล้วจะตามขึ้นไป
ด้วยความที่น้ำตกนี้ มีสองขยัก โดยขยักแรกคือน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขา ทะลุหินลงมา ส่วนขยักที่สองก็คือน้ำที่ไหลต่อมาจากน้ำตกขยักแรก ไหลเป็นน้ำตกเตี้ยๆ ไม่สูงมาก ลงไปสู่ลำธารด้านล่าง
ตอนแรกพวกเราสามคนเดินเข้าไปดูน้ำตกขยักแรกด้านใน ซึ่งพอเข้าใกล้ถือว่าอลังการเลยทีเดียว แต่ก็เข้าใกล้มากไม่ได้ เพราะละอองน้ำฟุ้งกระจายรุนแรงค่อนข้างมาก
ดื่มด่ำกับละอองน้ำได้แป๊บเดียว ต้องถอยออกมา เพราะความหนาวเย็น แต่สำหรับขยักที่สอง เจ้าลูกชายชอบมาก เพราะสามารถเดินไปสำรวจด้านหลังม่านน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งผมกลัวเด็กลื่นไหลตามน้ำตกลงไปที่ลำธารมาก
พอเล่นหนำใจแล้ว จึงพากันเดินกลับออกมา โดยผมบอกให้ลูกเล่นอยู่แถวลำธาร พ่อจะเดินขึ้นเขาตามแม่ไป
พอผละจากลูก กำลังเดินขึ้น เห็นคุณภรรยากำลังเดินกระดึบๆ ลงเขามา และสวนกันกลางทาง ผมถามเธอว่าเดินถึงยอดเขาแล้วเหรอ เธอตอบว่า
"ยัง แต่พอแล้ว ทางมันชันและลื่น"
ด้วยความอยากรู้ ผมจึงเดินขึ้นต่อ ปล่อยให้ภรรยากระดึ๊บๆ ลงไปหาเด็กๆ ข้างล่าง
ผมรีบสับขึ้นเขาด้วยความความเร็วระดับเดียวกับนักวิ่ง trail มือสมัครเล่น มีช่วงที่ชันอยู่ไม่เยอะ ถือว่าหมูมาก ไม่นานก็ถึงยอดเขา และเห็นสายน้ำที่ไหลมาจากเนินเขาถัดไป รวมกันเป็นลำธารไม่ใหญ่มาก ก่อนไหลลงไปกลายเป็นน้ำตกแห่งนี้
ดื่มด่ำบรรยากาศไม่นาน ผมก็รีบวิ่งลงเขา ด้วยความเร็วระดับนักวิ่ง trail มืออาชีพ จนคุณภรรยาที่นั่งรอในรถยังอดทึ่งไม่ได้
ผจญภัยดินแดนแห่งน้ำแข็ง (4)
04.20 น. คือเวลาตื่นนอนของผมในเช้าที่สามบนดินแดนแห่งน้ำแข็ง ยังดีที่เมื่อคืนได้นอนเร็วตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า จึงรู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อวาน มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นดวงดาวบนฟากฟ้านิดหน่อย แสดงว่าฟ้าเปิด หรือเราจะโชคดี ได้เห็น Aurora
เด้งตัวจากที่นอน เปิดประตูก้าวขาออกไป โอ๊ะ! ลืมไปว่ามันหนาว ใส่แค่ชุดนอนคือเสื้อและกางเกงวอร์ม เป็นเสื้อวอร์มแบบเอวลอย (เสื้อมือสองที่คุณภรรยา cf มา) อุณหภูมิน่าจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แต่ไม่เป็นไร ออกไปแค่แป๊บเดียว
ปรากฏว่าไม่เห็นอะไร ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างของเช้าวันใหม่บ้างแล้ว จึงรีบเดินกลับเข้าห้อง เห็นลูกชายลุกขึ้นมานั่งแล้ว พ่อกับลูกชายพอกัน ยังไม่คุ้นเรื่องเวลา จึงจัดการทำธุระส่วนตัวและยืดเส้นยืดสาย เพื่อเตรียมตัวออกกำลังกาย
เช้านี้ผมวางแผน Jocking รอบเมือง Selfoss
ชุดวิ่งของผมคือ เสื้อวิ่งแขนสั้น เสื้อวอร์ม (ไม่ใช่แบบเอวลอย) เสื้อกันลมมี hood กางเกงวิ่งรัดเป้าขายาว กางเกงวอร์ม ถุงเท้าหนา และรองเท้าผ้าใบใส่เดินเล่น คู่ที่ใส่ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมานั่นแหล่ะ
คุณภรรยาแสดงความเป็นห่วงด้วยการถามว่า
"ใส่แค่นี้พอเหรอ ข้างนอกหนาวนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
ผมจึงตอบไป เพื่อให้เธอมั่นใจว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่า พอวิ่งไปแล้วเหงื่อออก ก็น่าจะอุ่นขึ้นเองแหล่ะ"
เมื่อทุกอย่างได้ที่ จึงได้เวลา start ตอนประมาณเกือบหกโมง
เปิดประตูออกไป ลมพัดแรง หอบเอาความหนาวเข้าถึงทรวง ทำไมตอนตีสีกว่า ไม่เห็นมีลมเลย ยังดีที่ใส่เสื้อกันลม จึงพอช่วยประทังความหนาวเย็นได้บ้าง แต่ด้วยความที่คนกำลังคึก จะลมหรือจะหนาว ก็ฉุดผมไม่อยู่แล้ว
เริ่มออกวิ่งแบบช้าๆ pace 7 กว่าๆ เพราะรองเท้าไม่ใช่แบบ fly foam
ทางวิ่งก็ทางคนเดินนั่นแหล่ะ เป็น footpath ข้างถนน กว้างขวางปลอดภัย ไม่เห็นมีหลุมมีบ่อหรือท่อระบายน้ำที่เปิดฝาทิ้งไว้เหมือนบางประเทศ
ผมเลือกวิ่งแบบวนซ้าย jock ไปเรื่อยๆ ทางวิ่ง ทางเดิน ถนนหนทาง ล้วนปราศจากผู้คน เหมือนวิ่งในเมืองร้าง พลางคิดในใจว่าจะมี zombies มาวิ่งไล่งับตรูไหมเนี่ย
พอผ่านไปประมาณ 3 กิโล เริ่มรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจากใต้ผิวหนัง นี่ถ้าเป็นที่เมืองไทย แค่ 300 เมตร ก็เหงื่อท่วมแล้ว
ขณะวิ่ง พยายามสังเกตและสอดส่องสภาพแวดล้อมโดยรอบ พบว่า
1. ไม่เห็นหมาสักตัว หรือบ้านเขาไม่เลี้ยงหมา ไม่น่าใช่ คงมีเลี้ยง แต่ไม่เยอะเหมือนบ้านเราไม่ต้องเลี้ยงไว้ขู่โจร และคนที่เลี้ยงหมาคงมีจิตสำนึกรับผิดชอบดี ไม่ให้หมาตัวเองไปสร้างภาระ รบกวนเพื่อนบ้าน ถ้าเป็นที่เมืองไทย วิ่งต่างถิ่นแบบนี้ ผมคงต้องถือไม้วิ่งไปด้วย
2. เห็น scooter ขาไถไฟฟ้าหลายคัน จอดทิ้งไว้ข้างทางเดิน แบบไม่กลัวหาย แบบไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ ทำไมเค้าไม่มีความรับผิดชอบกันเลย ทำไมไม่จอดแล้วล๊อคไว้ดีๆ ในบ้านตัวเอง ผมไม่เข้าใจ สันนิษฐานว่า เจ้าของคงเป็นเด็ก เอาออกไปแว๊นเล่นที่ทางเดิน เผอิญเห็นเพื่อนกำลังเล่นซ่อนหา เลยขอแจม แล้วลืมเลย วันหลังนึกได้ ค่อยกลับมาเอา มันคงจอดอยู่ที่เดิมนั่นแหล่ะ ไม่มีหาย
3. ทางเดิน/วิ่ง ในช่วงที่ผ่านโซนบ้านพักอาศัย จะเป็นทางที่แบบโค้งซ้าย โค้งขวาไปมา ไม่ใช่ทางตรงๆ เหมือนช่วงในเมือง นอกจากทางวิ่งจะโค้งไปมาแล้ว ยังมีเนินขนาดเล็กที่กองเป็นหย่อมๆ ขนานไปกับถนนรอบเขตที่พักอาศัย บางเนินสูงประมาณศีรษะ บางเนินต่ำกว่า บางเนินเห็นเป็นหญ้าแห้งๆ อย่างเดียว บางเนินมีทั้งหญ้าและต้นไม้เล็กๆ ซึ่งเนินเหล่านี้น่าจะช่วยบดบังรถยนต์ที่วิ่งบนถนน และน่าจะช่วยป้องกันเสียงดังจากรถยนต์ได้ด้วย ผมว่าเนินพวกนี้แหล่ะที่ทำให้ทางเดิน/วิ่ง โค้งไปมา ช่วยให้การวิ่งมีสุนทรียภาพเพิ่มขึ้นอีกมากโข พวก อบต. เทศบาลบ้านเรา น่าจะทำอย่างเขาบ้างนะ
4. ตลอดระยะเวลาวิ่งรอบเมือง ผมเห็นรถวิ่งบนถนนจำนวน 2 คันถ้วน น้อยกว่ารถที่วิ่งในหมู่บ้านจัดสรรแถวระยอง เวลาผมวิ่งรอบหมู่บ้านตอนเช้า หลายเท่าตัว ฉะนั้น คงไม่ต้องเทียบว่าที่ไหนรถเยอะกว่ากัน ที่ไหนอากาศดีกว่ากัน ระหว่างเมือง Selfoss และหมู่บ้านจัดสรรที่เมืองระยอง
วิ่งวนครบหนึ่งรอบ ได้ระยะประมาณ 8 Km ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงนิดๆ สดชื่นดีจริงๆ
กลับถึงห้อง คุณภรรยากำลังทำ breakfast ให้เด็กๆ ด้วยเมนู ไข่คน ไส้กรอก แฮม และ porridge ตราคนอร์ และทำ Sandwich เป็นอาหารกลางวัน (ขนมปังปิ้ง แฮม ชีส และขนมปังปิ้งทาแยม)
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนเก้าโมง พวกเราก็พร้อมย้ายห้องออกเดินทาง กะว่าจะไป Say Hello ไอ้หนุ่มโอ๊ปป้าข้างห้องซะหน่อย ปรากฎว่ามันเปิดตูดหนีหน้าผมไปก่อนแล้ว
วันนี้ จุดหมายปลายทางของพวกเราสุดที่เมือง Vik ขับรถลงทางภาคใต้ของ Iceland ไปตามถนนสาย 1 ระยะทางประมาณ 129 Km ดังนั้น จึงออกนอกลู่นอกทางได้สบาย
ขณะขับรถ พวกเราพยายามละเลียดกับวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ ลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ กระจายทั่วไปหมด และมีฉากหลังเป็นภูเขาหัวโล้น (ไม่มีต้นไม้บนภูเขาแม้แต่ต้นเดียว) ที่มีหญ้าแห้งๆ ปกคลุมทั้งภูเขา ลูกไหนสูงใหญ่ก็จะมีซาก snow เล็กๆ ปกคลุมเป็นหย่อมๆ แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็กๆ เพราะอยู่มาวันที่สาม ถึงจะเริ่มเห็นเค้าลางของญาติแม่คะนิ้ง
ลูกชายถามว่า ทำไมหญ้าแห้งมันถึงดูเป็นก้อนเล็กๆ กระจายทั่วไปหมด จึงอธิบายให้ลูกฟัง (เหมือนคนมีภูมิ) ว่า ก่อนหน้านี้มันก็เป็นกอหญ้าใหญ่ๆ ชี้โด่ชี้เด่ ดูรกๆ เหมือนบ้านเรานั่นแหล่ะ แต่พอเข้าสู่หน้าหนาว หิมะตกทับถมกอหญ้าแบนแต๊ดแต๋ เหลือแค่ตรงโคนกอหญ้าแต่ละโคนนี่แหล่ะที่หิมะทับให้แบนไม่ได้ จึงเหลือโผล่เป็นก้อนๆแบบนั้น
อันนี้ไม่รู้ใช่หรือเปล่านะ เดาล้วนๆ
ขณะขับรถผ่านตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง คุณภรรยาโพล่งขึ้นมาว่า
"คุณ! Lava Center แวะไหม"
"ไหน" ผมถาม
"เลยมาแล้ว" เธอบอก
ผมเลยขับรถไปต่อ
"คุณ!" เธอโพล่งขึ้นมาอีก
"ว่าไงจ๊ะ" ผมขานรับ โดยคำว่า "จ๊ะ" เสียงจะแข็งๆ หน่อย
"ร้านไอศกรีม แวะไหม"
ผมรีบเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านไอศครีมทันที
คุณภรรยาถูกไล่ให้ลงไปดูลาดเลาในร้านไอศกรีมว่าน่านั่งไหม เพราะลูกชายหลับอยู่ สงสัยคงอิ่มเอมกับวิวหญ้าแห้งข้างทางมาก
หลังจากไปส่องที่ประตูหน้าร้าน เธอเดินกลับขึ้นรถมา พร้อมบอกว่า
"ร้านยังไม่เปิด ป้ายบอกว่าเปิดตอน 12.00 น."
ขณะนั้นเวลาประมาณสิบโมง คงได้กินอะนะ
ผมจึงตัดสินใจขับรถย้อนกลับไปที่ Lava Center
พอรถจอด เจองานยากอีกละ คือการปลุกลูกชาย ซึ่งแน่นอนว่ามีโวยวายตามปกติ บอกว่าไม่ลง จะนอนรออยู่ในรถ พอบอกว่าจะไปดูลาวา เท่านั้นแหล่ะ รีบดีดตัวลงจากรถ
ที่ลานจอดรถ เห็นมีรถรถจอดอยู่ไม่เยอะ สงสัยคงไม่ค่อยดึงดูดนักท่องเหมือนน้ำตก พวกเรารีบเดินเข้าข้างในตึก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกล่องไม้ใหญ่ๆ เล็กๆ หลายกล่องวางเรียงกัน ดูเรียบง่ายแต่โคตรมี style
พอเข้าข้างใน ต้องซื้อตั๋วเข้าชม จำไม่ได้ราคาเท่าไหร่ รู้แต่ว่าไม่ค่อยแพง พอได้ตั๋ว เจ้าหน้าที่บอกหนังจะฉายแล้ว เข้าไปดูได้นะ พวกเราไม่รอช้า รีบเดินเข้าห้องฉายหนังไป
ข้างในค่อนข้างมืด มีเก้าอี้นั่งธรรมดา วางเรียงเป็นแถว เต็มที่น่าจะจุผู้ชมได้ไม่เกิน 50 คน ในตอนนั้น มีคนนั่งอยู่ข้างในแล้ว 3 คน พอพวกเราเข้าไปนั่งสักพัก หนังสารคดีเรื่อง Iceland Vocanic History Z (ตั้งชื่อเอง) ก็เริ่มฉาย โดยหนังมีความยาวทั้งหมดประมาณ 15 นาที ขออนุญาตไม่ spoil นะ อยากรู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง แนะนำให้ซื้อตั๋วเครื่องบินไป Iceland เลยครับ
พอออกมาจาก Cinema ก็เข้าไปต่อที่โซน Vocano & Earthqueak Interactive Exhibition ซึ่งมันว๊าวมาก สำหรับครอบครัวบ้านนอกอย่างพวกเรา ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สนใจในเรื่องที่เค้าอยากนำเสนอ ไม่น่าเบื่อ ตื่นตาตื่นใจมาก มีทั้งภาพ แสง สี เสียง สัมผัส ขาดอย่างเดียวคือกลิ่น เลยยังไม่รู้ว่ากลิ่นลาวามันเป็นยังไง จะคล้ายๆ กลิ่นวนิลาหรือเปล่า
ที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว คือ การได้รู้ว่า เวลาเกิดแผ่นดินไหว พื้นที่เรายืนอยู่ มันสั่น มันไหวอย่างไร แผ่นดินไหวความแรงเท่านี้ มันรู้สึกแบบนี้ ความแรงเท่านั้น มันรู้สึกแบบนั้น เจ๋งดี
แต่ขออย่าให้ได้เจอของจริงเลยนะในชาตินี้
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่น่าจะเกือบชั่วโมง จริงๆ เด็กๆ อยากใช้เวลานานกว่านี้ แต่ด้วยต้องไปต่อ เลยต้องคอยต้อนให้ขยับ
เสร็จจาก exhibition เลยปิดท้ายด้วยร้านขายของที่ระลึก ซึ่งไม่ได้บังคับว่าจะต้องเดินผ่านเพื่อไปสู่ทางออก สิ่งที่เราได้มาเป็นที่ระลึก คือ magnet ติดตู้เย็น 2 อัน และเกลือ lava ซึ่งอย่างหลังกะว่าจะมาจิ้มกับมะม่วงเปรี้ยวที่บ้านเรา
ใครที่มาเยือน Iceland แนะนำให้หาเวลาแวะที่ Lava Center ด้วยนะครับ Recommend by ลูกชายผมเอง
ด้วยความที่วันนี้พอมีเวลา ก่อนออกมา ลองถามไอ้หนุ่มผมยาวคนขายตั๋ว ว่าแถวนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวลับแนะนำไหม เลยได้ที่เที่ยวเพิ่มเข้ามาใน List อีกหนึ่งที่ คือ Gluggafoss หนีไม่พ้นน้ำตกจริงๆ ประเทศนี้
แต่ในเมื่อคนท้องถิ่นแนะนำ เลยต้องลองไปดูสักหน่อย
ขับรถออกมาจาก Lava Center นิดเดียว จะเจอสามแยก ปกติเราต้องเลี้ยวขวา เพื่อไปตามถนนสาย 1 เส้นทางหลักสำหรับขับรถรอบเกาะ แต่เราเลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังน้ำตกลับที่ไอ้หนุ่มผมยาวชาว Iceland แนะนำ และย้ำนักย้ำหนาว่า "Very Beautiful"
ขับรถชมวิวไปเรื่อยๆ โดยมีฝั่งซ้ายมือเป็นภูเขาหัวโล้นหญ้าแห้ง ไร้เงาต้นไม้เช่นเคย แต่จะมีสายน้ำตกไหลลงมาจากภูเขาให้เห็นเป็นระยะๆ ส่วนฝั่งขวาเป็นทุ่งหญ้าแห้ง
โดยอากาศในวันนี้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นเคย
พอขับไปได้ประมาณ 20 นาที คุณภรรยาบอกว่า
"น้ำตกแถวนี้เยอะเนอะ ดูสิ อันนี้ก็สวย"
ผมก็เหลือบมองดู "เออ สวยดี" เอ๊ะ! หรือว่า
รีบจอดรถ ดูแผนที่ใน google map นี่แหล่ะที่ไอ้หนุ่มผมยาวมันแนะนำ สรุปขับเลยไปนิดหนึ่ง
ต้องถอยรถกลับ แล้วเลี้ยวช้ายเข้าไป ตัวน้ำตกอยู่ห่างจากถนนน่าจะไม่เกิน 300 เมตร มีรถนักท่องเที่ยวจอดอยู่ 2 คัน มีโต๊ะมานั่งอยู่หนึ่งตัว ฝนเริ่มตกปรอยๆ จึงใส่ชุดกันฝนเต็มยศ และหิ้วถุงอาหารกลางวันลงจากรถ
วันนี้เราจะกินอาหารกลางวันหน้าน้ำตก
น้ำตกที่ว่านี้ มองจากถนน ดูเหมือนไม่ใหญ่มาก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ถือว่าใหญ่และสูงทีเดียว เป็นน้ำตกที่ดูเหมือนไหลทะลุหินลงมา แปลกตาดี
และยังสามารถเดินขึ้นไปด้านบนภูเขาด้านข้างน้ำตกได้ด้วย
ถือของเดินไปที่โต๊ะ ฝนหยุดตกพอดี เลยจัดมื้อกลางวัน ที่มีฉากหลังเป็นน้ำตก และมีเพียงพวกเรานั่งโซ๊ย Sandwich อยู่ตรงนั้น ส่วนนักท่องเที่ยวคนอื่น เห็นมีอยู่คนเดียวบนยอดเขา ส่วนเจ้าของรถอีกคัน เข้าใจว่าคงเดินสำรวจโลกอยู่ด้านบนเช่นกัน เพราะไม่เห็นหัวเลย
กินเสร็จ ชวนเด็กๆ เดินขึ้นเขาเพื่อไปดูน้ำตกด้านบน แต่ไม่มีใครสนใจ ขอดูอยู่ข้างล่างก็พอ จึงให้คุณภรรยาเดินนำขึ้นไปคนเดียวก่อน ส่วนผมขอสำรวจน้ำตกด้านล่างกับเด็กๆ เสร็จแล้วจะตามขึ้นไป
ด้วยความที่น้ำตกนี้ มีสองขยัก โดยขยักแรกคือน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขา ทะลุหินลงมา ส่วนขยักที่สองก็คือน้ำที่ไหลต่อมาจากน้ำตกขยักแรก ไหลเป็นน้ำตกเตี้ยๆ ไม่สูงมาก ลงไปสู่ลำธารด้านล่าง
ตอนแรกพวกเราสามคนเดินเข้าไปดูน้ำตกขยักแรกด้านใน ซึ่งพอเข้าใกล้ถือว่าอลังการเลยทีเดียว แต่ก็เข้าใกล้มากไม่ได้ เพราะละอองน้ำฟุ้งกระจายรุนแรงค่อนข้างมาก
ดื่มด่ำกับละอองน้ำได้แป๊บเดียว ต้องถอยออกมา เพราะความหนาวเย็น แต่สำหรับขยักที่สอง เจ้าลูกชายชอบมาก เพราะสามารถเดินไปสำรวจด้านหลังม่านน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งผมกลัวเด็กลื่นไหลตามน้ำตกลงไปที่ลำธารมาก
พอเล่นหนำใจแล้ว จึงพากันเดินกลับออกมา โดยผมบอกให้ลูกเล่นอยู่แถวลำธาร พ่อจะเดินขึ้นเขาตามแม่ไป
พอผละจากลูก กำลังเดินขึ้น เห็นคุณภรรยากำลังเดินกระดึบๆ ลงเขามา และสวนกันกลางทาง ผมถามเธอว่าเดินถึงยอดเขาแล้วเหรอ เธอตอบว่า
"ยัง แต่พอแล้ว ทางมันชันและลื่น"
ด้วยความอยากรู้ ผมจึงเดินขึ้นต่อ ปล่อยให้ภรรยากระดึ๊บๆ ลงไปหาเด็กๆ ข้างล่าง
ผมรีบสับขึ้นเขาด้วยความความเร็วระดับเดียวกับนักวิ่ง trail มือสมัครเล่น มีช่วงที่ชันอยู่ไม่เยอะ ถือว่าหมูมาก ไม่นานก็ถึงยอดเขา และเห็นสายน้ำที่ไหลมาจากเนินเขาถัดไป รวมกันเป็นลำธารไม่ใหญ่มาก ก่อนไหลลงไปกลายเป็นน้ำตกแห่งนี้
ดื่มด่ำบรรยากาศไม่นาน ผมก็รีบวิ่งลงเขา ด้วยความเร็วระดับนักวิ่ง trail มืออาชีพ จนคุณภรรยาที่นั่งรอในรถยังอดทึ่งไม่ได้