วันสิ้นปีมาแชร์ความรุ้สุดท้ายของปีที่ได้จากความเข้าใจโดยบังเอิญ และมันคำที่ทำให้เห็นภาพรวมได้มากขึ้น นั่นคือคำว่า "อคติต่อตัวเอง"
คำนี้ๆเกิดจากการเห็นร่องรอย จาก บทความสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับลักษณะของ ผู้มีความพึงพอใจในตัวเองต่ำ( low self esteem) โดยลักษณะหนึ่งของผู้ที่มีปัญหาด้านนี้คือ
"มีมุมมอง หรือ มีความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง ที่ผิดไปจากความเป็นจริง"
"มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับตัวเองมากไป หรือน้อยเกินไป"
แต่เดิม อคติคือ "การเห็นความจริงวิปลาศไป เมื่อรับสารเข้ามา จิตก็ชอบใจที่บิดเบือนไป เพื่อให้ตรงตามความต้องการของจิต" ส่วนใหญ่ที่เข้าใจ คือ เข้าใจว่า อคติเป็นเรื่องที่เรามองผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เช่นคนพุทธที่ไม่ชอบมุสลิม หรือ มุสลิมที่ไมชอบคนพุทธ แต่พอมาทราบเรื่องนี้เลยทำให้รุ้ว่าอคตินั้นเกิดจากการที่เรามองเราเองด้วย
เมื่อมาจับลึกขึ้น
อคติต่อตัวเอง นั้นทำให้เกิด เหตุดังนี้
คือ 1. ทำให้บิดเบือนไปว่า เหตุใดๆที่เกิดจากตัวเอง หรือเหตุใดๆที่ควบคุมไม่ได้นั้น นั้นล้วนมาจากเหตของผู้อื่นเป็นผู้ก่อ
2.ทำให้เห็นเหตุที่เกิดจากผู้อื่นนั้น หรือเหตุที่ควบคุมไม่ได้นั้น มาจากเหตุของตัวเองเป็นผู้ก่อ
จากที่เล่าไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น (ตอนที่ 1 และ 2)
ข้อ1นั้น นำไปสู่ ความไม่พอใจในตัวเองที่เติบโตต่อไปเป็นความไม่พอใจผู้อื่น และเติบโตต่อไปเป็นความทุกข์ใจที่ต่อเนื่องไปเป็นริษยา
แต่ที่ไม่ได้เล่าในข้อ2 คือ ข้อนี้จะเติบโตไปในส่วนความไม่พอใจตัวเอง
นำไปสู่การโทษตัวเอง นำไปสู่ความเศร้าหมอง
และเติบโตเป็นหนึ่งในอาการของอารมณ์ในกลุ่มผู้ป่วย ภาวะซึมเศร้าระยะสั้น ทั้งต่อเนื่องเป็นอาการของผู้เป็นซึมเศร้าระยะยาวด้วย
อึกทั้งถ้ามีอาการสองอาการนี้สลับไปมาในระยะเวลาหนึ่ง
คือกลุ่มอาการของอารมณ์ที่เจอในผู้ป่วยไบโพลาร์ หรือ โทษคนอื่นสองอาทิตย์ โทษตัวเองสองอาทิตย์เป็นต้น
อาการนี้จะทำให้เห็นเหตุบิดเบือนไปหมด ในกลุ่มคนที่ยังไม่ป่วยนั้น ยังเป็นอาการของจิต
แต่กลุ่มที่ป่วยแล้วมีภาวะสมองทำงานผิดปกติแล้ว อาการของจิตก็จะทำร่วมกับอาการของกายหนักหนาอีก
ดังนั้นคนที่ยังไม่ป่วยควรเร่งทำลายอคติต่อตัวเองลงให้หมดให้สิ้น ก่อนที่จะเบ่งบานเติบโตไป จนอาจไปทำให้สมองเสียหาย
ในขณะที่คนที่ป่วยแล้ว ก็ต้องหาวิธีที่จิตจะลด การไปรับเอาความคิดด้านลบที่มาจากสมอง ไม่ยอมไม่ปล่อยให้จิตไหลไปตามความคิดไปเสียหมด ถ้ามองให้เห็นภาพคือ กลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้า ความคิดมักจะชวนให้เราฆ่าตัวตาย จิตใจต้องเห็น ความคิดแยกออกจากจิต และไม่ตามความคิดไป ในขณะ ที่กลุ่มไบโพลาร์ที่ มีความคิดจะไปทำร้ายคนอื่น ก็ฝึกเห็นความคิด ต้องแยกความคิดออกจากเรา ต้องไม่ปล่อยให้จิตตามความคิดไปเป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ยาเพื่อบรรเทาเพื่อพักไม่ให้สมองทำงานมากไป โดยเฉพาะช่วงที่ดาวน์หรือ พีก ทำตามที่หมอแนะนำ ในขณะเดียวกันก็หาปมในใจอันเป็นเหตุให้ได้
เอามาฝากกันเผื่อจะเป็นประโยชน์นะปีใหม่นี้ขอให้สุขภาพจิตดี สุขภาพกายดีกันทุกคน ทุกคนมีความทุกข์ใจ ขอให้ปีใหม่นี้ยอมรับความทุกข์ใจของตัวเองให้ได้ และ ให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของปุถุชน ไม่ใช่ทุกสังคม ที่พร้อมจะซ้ำเติมเรา มันมีสังคมดีๆพลังดีๆอยู่รอบตัว เพียงแต่ต้องหาให้เจอ ขอให้สนุกกับ การรุ้จักทุกข์ของตัวเองและสลายมันได้ สวัสดีปีใหม่ครับ
(ตอนที่3) อคติต่อตัวเองและความสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้า
คำนี้ๆเกิดจากการเห็นร่องรอย จาก บทความสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับลักษณะของ ผู้มีความพึงพอใจในตัวเองต่ำ( low self esteem) โดยลักษณะหนึ่งของผู้ที่มีปัญหาด้านนี้คือ
"มีมุมมอง หรือ มีความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง ที่ผิดไปจากความเป็นจริง"
"มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับตัวเองมากไป หรือน้อยเกินไป"
แต่เดิม อคติคือ "การเห็นความจริงวิปลาศไป เมื่อรับสารเข้ามา จิตก็ชอบใจที่บิดเบือนไป เพื่อให้ตรงตามความต้องการของจิต" ส่วนใหญ่ที่เข้าใจ คือ เข้าใจว่า อคติเป็นเรื่องที่เรามองผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เช่นคนพุทธที่ไม่ชอบมุสลิม หรือ มุสลิมที่ไมชอบคนพุทธ แต่พอมาทราบเรื่องนี้เลยทำให้รุ้ว่าอคตินั้นเกิดจากการที่เรามองเราเองด้วย
เมื่อมาจับลึกขึ้น
อคติต่อตัวเอง นั้นทำให้เกิด เหตุดังนี้
คือ 1. ทำให้บิดเบือนไปว่า เหตุใดๆที่เกิดจากตัวเอง หรือเหตุใดๆที่ควบคุมไม่ได้นั้น นั้นล้วนมาจากเหตของผู้อื่นเป็นผู้ก่อ
2.ทำให้เห็นเหตุที่เกิดจากผู้อื่นนั้น หรือเหตุที่ควบคุมไม่ได้นั้น มาจากเหตุของตัวเองเป็นผู้ก่อ
จากที่เล่าไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น (ตอนที่ 1 และ 2)
ข้อ1นั้น นำไปสู่ ความไม่พอใจในตัวเองที่เติบโตต่อไปเป็นความไม่พอใจผู้อื่น และเติบโตต่อไปเป็นความทุกข์ใจที่ต่อเนื่องไปเป็นริษยา
แต่ที่ไม่ได้เล่าในข้อ2 คือ ข้อนี้จะเติบโตไปในส่วนความไม่พอใจตัวเอง
นำไปสู่การโทษตัวเอง นำไปสู่ความเศร้าหมอง
และเติบโตเป็นหนึ่งในอาการของอารมณ์ในกลุ่มผู้ป่วย ภาวะซึมเศร้าระยะสั้น ทั้งต่อเนื่องเป็นอาการของผู้เป็นซึมเศร้าระยะยาวด้วย
อึกทั้งถ้ามีอาการสองอาการนี้สลับไปมาในระยะเวลาหนึ่ง
คือกลุ่มอาการของอารมณ์ที่เจอในผู้ป่วยไบโพลาร์ หรือ โทษคนอื่นสองอาทิตย์ โทษตัวเองสองอาทิตย์เป็นต้น
อาการนี้จะทำให้เห็นเหตุบิดเบือนไปหมด ในกลุ่มคนที่ยังไม่ป่วยนั้น ยังเป็นอาการของจิต
แต่กลุ่มที่ป่วยแล้วมีภาวะสมองทำงานผิดปกติแล้ว อาการของจิตก็จะทำร่วมกับอาการของกายหนักหนาอีก
ดังนั้นคนที่ยังไม่ป่วยควรเร่งทำลายอคติต่อตัวเองลงให้หมดให้สิ้น ก่อนที่จะเบ่งบานเติบโตไป จนอาจไปทำให้สมองเสียหาย
ในขณะที่คนที่ป่วยแล้ว ก็ต้องหาวิธีที่จิตจะลด การไปรับเอาความคิดด้านลบที่มาจากสมอง ไม่ยอมไม่ปล่อยให้จิตไหลไปตามความคิดไปเสียหมด ถ้ามองให้เห็นภาพคือ กลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้า ความคิดมักจะชวนให้เราฆ่าตัวตาย จิตใจต้องเห็น ความคิดแยกออกจากจิต และไม่ตามความคิดไป ในขณะ ที่กลุ่มไบโพลาร์ที่ มีความคิดจะไปทำร้ายคนอื่น ก็ฝึกเห็นความคิด ต้องแยกความคิดออกจากเรา ต้องไม่ปล่อยให้จิตตามความคิดไปเป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ยาเพื่อบรรเทาเพื่อพักไม่ให้สมองทำงานมากไป โดยเฉพาะช่วงที่ดาวน์หรือ พีก ทำตามที่หมอแนะนำ ในขณะเดียวกันก็หาปมในใจอันเป็นเหตุให้ได้
เอามาฝากกันเผื่อจะเป็นประโยชน์นะปีใหม่นี้ขอให้สุขภาพจิตดี สุขภาพกายดีกันทุกคน ทุกคนมีความทุกข์ใจ ขอให้ปีใหม่นี้ยอมรับความทุกข์ใจของตัวเองให้ได้ และ ให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของปุถุชน ไม่ใช่ทุกสังคม ที่พร้อมจะซ้ำเติมเรา มันมีสังคมดีๆพลังดีๆอยู่รอบตัว เพียงแต่ต้องหาให้เจอ ขอให้สนุกกับ การรุ้จักทุกข์ของตัวเองและสลายมันได้ สวัสดีปีใหม่ครับ