สวัสดีครับ ผมเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน สถานะทางบ้านพอกินพอใช้ ไม่ได้ร่ำรวย ครอบครัวอบอุ่น ได้รับแต่ความรัก
เติบโตมาในสังคมที่มีแต่ความสบาย พ่อแม่ไม่เคยให้ผมลำบากเลย คิดให้ทุกอย่าง แนะนำทุกอย่าง พูดแทนให้ทุกอย่าง จนทำให้ผมคิดว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ เดี๋ยวสิ่งที่อยากได้จะมาเอง ผมไม่คิดไม่ตัดสินใจอะไรเลยกับชีวิต ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยในการดำเนินชีวิต ไม่ทำอะไรด้วยตัวเองเลยซักอย่าง ไม่ดิ้นรนที่จะมีชีวิต ไม่เอาตัวรอด ไม่มีความกล้าในสังคม พูดในสิ่งที่คิดยังไม่ได้เลย อยู่แต่ในที่ที่ทำให้สบายใจ นั่นก็คือบ้าน ไม่กล้าออกไปเผชิญโลกความจริง
ดูภายนอกผมอาจเป็นคนเรียบร้อย แต่ข้างในนั้นผมก็ตอบไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ อยู่กับคนนั้นก็อีกแบบนึง คนนี้ก็อีกแบบนึง ตัวเราเป็นคนไม่สู้ด้วยแหละ พอยากหน่อยก็ไม่เอาละ ความคิดก็ห้ามไม่ได้เลย
ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นของผมไม่เคยได้รับความลำบากอะไรเลย ผมไม่กล้าพูด ไม่กล้าเข้าสังคมใหม่ ไม่ใส่ใจอะไรซักอย่าง เห็นแกตัว ไม่กล้าเข้าหาใครก่อน อยู่แต่ในที่เดิมๆไม่แก้ไขอะไร ทั้งที่ผมมีโอกาสเรียนรู้ความผิดพลาดตั้งหลายครั้ง แต่ผมกลับไม่ได้แก้ไขอะไรเลย อยากจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ไม่เริ่มทำอะไรเลย ใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งที่มีสิ่งที่อยากทำมากมายแต่ก็ไม่ได้เริ่มซักที สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือการพูด ผมไม่สามารถพูดในสิ่งที่คิดได้เลย ได้แค่ถามตอบ ประโยคสนทนาของผมจะสั้นมาก โรงเรียน แผนการเรียน หรือมหาวิทยาลัย พ่อแม่เลือกให้หมด
จนสอบเข้าคณะออกแบบดีๆได้ ซึ่งเป็นคณะที่ต้องใช้ความคิด ความสามารถ การแสดงออก แต่ผมกลับจมอยู่แต่กับความกลัวและความบกพร่องของตัวเอง ยิ่งอยู่ในสังคมที่มีแต่คนเก่ง มีแต่ความกดดัน ทำให้สิ่งต่างๆที่ออกมามันผิดเพี้ยนไปหมด ผมเอาแต่หลบซ่อน เอาแต่อ้างนู่นอ้างนี่ ไม่เข้าหาใครเลย แค่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนผู้หญิงก่อนยังไม่กล้าเลย ไม่มีความเป็นผู้นำ กลุ่มเพื่อนที่มีคือกลุ่มเพื่อนที่เข้าหาผมก่อน ผมยังคงใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่เริ่มทำอะไรซักอย่าง งานก็ทำแค่พอส่ง ทำแบบลวกๆ พูดอธิบายงานก็ไม่ค่อยได้ เพราะไม่ค่อยได้คิด ลำดับการพูดผิดเพี้ยนไปหมด ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไรเลย ใช้ชีวิตไปเรียนแค่รอเลิกเรียนกลับหอไปวันๆ ทำตามลูปเดิมๆ ไม่ขวนขวาย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่มีความพยายาม ไม่มีความอดทน ไม่แก้ปัญหา ไม่มีทักษะชีวิต ไม่มีอะไรเลย คิดแต่ว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ ผลัดไปเรื่อย จนมันไม่มีโอกาสอะไรเหลือ
ผมรู้สึกตัวเมื่อสายไปหมดแล้ว วันที่ชีวิตผมรู้สึกว่าชีวิตพังไปหมดแล้ว คนที่เข้ามาอ่านคงกำลังคิดอยู่ว่าผมเป็นอะไร ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ผมไม่เข้าใจอะไรเลย นีคือความเหลวไหลหรืออาการทางจิต ผมปล่อยปะละเลยจนทุกอย่างมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ผมเกลียดตัวเองมากที่เป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจความคิดตัวเองซักอย่าง ผมกำลังทำอะไรอยู่หรือจะทำอะไรต่อไป จะมีอนาคตหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป้าหมายก็ไม่มี ผมพยายามคิดในแง่ดีหลายต่อหลายรอบแต่สุดท้ายก็เหมือนแค่ปลอบใจตัวเอง แค่ที่พิมอยู่ผมยังลำดับคำพูดไม่ถูกเลย ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทำไมการเริ่มอะไรซักอย่างมันยากเย็นขนาดนี้ เหมือนในหัวผมมันไม่มีอะไรอยู่เลย สงสารพ่อแม่ สงสารครอบครัว สงสารตัวเอง ผมกลับไม่คิดว่าพ่อแม่คาดหวังกับผมไว้มาก ผมมันเหลวไหลที่สุด ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตกับความรู้สึกผิด ทุกครั้งที่เห็นหน้าพ่อแม่ เพื่อน และตัวเอง
คนไม่เอาไหน อยู่ในโลกความเป็นจริงไม่ได้เลย เอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆไม่มีเป้าหมาย จนวันที่ทนตัวเองไม่ไหวแล้ว
เติบโตมาในสังคมที่มีแต่ความสบาย พ่อแม่ไม่เคยให้ผมลำบากเลย คิดให้ทุกอย่าง แนะนำทุกอย่าง พูดแทนให้ทุกอย่าง จนทำให้ผมคิดว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ เดี๋ยวสิ่งที่อยากได้จะมาเอง ผมไม่คิดไม่ตัดสินใจอะไรเลยกับชีวิต ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยในการดำเนินชีวิต ไม่ทำอะไรด้วยตัวเองเลยซักอย่าง ไม่ดิ้นรนที่จะมีชีวิต ไม่เอาตัวรอด ไม่มีความกล้าในสังคม พูดในสิ่งที่คิดยังไม่ได้เลย อยู่แต่ในที่ที่ทำให้สบายใจ นั่นก็คือบ้าน ไม่กล้าออกไปเผชิญโลกความจริง
ดูภายนอกผมอาจเป็นคนเรียบร้อย แต่ข้างในนั้นผมก็ตอบไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ อยู่กับคนนั้นก็อีกแบบนึง คนนี้ก็อีกแบบนึง ตัวเราเป็นคนไม่สู้ด้วยแหละ พอยากหน่อยก็ไม่เอาละ ความคิดก็ห้ามไม่ได้เลย
ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นของผมไม่เคยได้รับความลำบากอะไรเลย ผมไม่กล้าพูด ไม่กล้าเข้าสังคมใหม่ ไม่ใส่ใจอะไรซักอย่าง เห็นแกตัว ไม่กล้าเข้าหาใครก่อน อยู่แต่ในที่เดิมๆไม่แก้ไขอะไร ทั้งที่ผมมีโอกาสเรียนรู้ความผิดพลาดตั้งหลายครั้ง แต่ผมกลับไม่ได้แก้ไขอะไรเลย อยากจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ไม่เริ่มทำอะไรเลย ใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งที่มีสิ่งที่อยากทำมากมายแต่ก็ไม่ได้เริ่มซักที สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือการพูด ผมไม่สามารถพูดในสิ่งที่คิดได้เลย ได้แค่ถามตอบ ประโยคสนทนาของผมจะสั้นมาก โรงเรียน แผนการเรียน หรือมหาวิทยาลัย พ่อแม่เลือกให้หมด
จนสอบเข้าคณะออกแบบดีๆได้ ซึ่งเป็นคณะที่ต้องใช้ความคิด ความสามารถ การแสดงออก แต่ผมกลับจมอยู่แต่กับความกลัวและความบกพร่องของตัวเอง ยิ่งอยู่ในสังคมที่มีแต่คนเก่ง มีแต่ความกดดัน ทำให้สิ่งต่างๆที่ออกมามันผิดเพี้ยนไปหมด ผมเอาแต่หลบซ่อน เอาแต่อ้างนู่นอ้างนี่ ไม่เข้าหาใครเลย แค่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนผู้หญิงก่อนยังไม่กล้าเลย ไม่มีความเป็นผู้นำ กลุ่มเพื่อนที่มีคือกลุ่มเพื่อนที่เข้าหาผมก่อน ผมยังคงใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่เริ่มทำอะไรซักอย่าง งานก็ทำแค่พอส่ง ทำแบบลวกๆ พูดอธิบายงานก็ไม่ค่อยได้ เพราะไม่ค่อยได้คิด ลำดับการพูดผิดเพี้ยนไปหมด ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไรเลย ใช้ชีวิตไปเรียนแค่รอเลิกเรียนกลับหอไปวันๆ ทำตามลูปเดิมๆ ไม่ขวนขวาย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่มีความพยายาม ไม่มีความอดทน ไม่แก้ปัญหา ไม่มีทักษะชีวิต ไม่มีอะไรเลย คิดแต่ว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ ผลัดไปเรื่อย จนมันไม่มีโอกาสอะไรเหลือ
ผมรู้สึกตัวเมื่อสายไปหมดแล้ว วันที่ชีวิตผมรู้สึกว่าชีวิตพังไปหมดแล้ว คนที่เข้ามาอ่านคงกำลังคิดอยู่ว่าผมเป็นอะไร ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ผมไม่เข้าใจอะไรเลย นีคือความเหลวไหลหรืออาการทางจิต ผมปล่อยปะละเลยจนทุกอย่างมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ผมเกลียดตัวเองมากที่เป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจความคิดตัวเองซักอย่าง ผมกำลังทำอะไรอยู่หรือจะทำอะไรต่อไป จะมีอนาคตหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป้าหมายก็ไม่มี ผมพยายามคิดในแง่ดีหลายต่อหลายรอบแต่สุดท้ายก็เหมือนแค่ปลอบใจตัวเอง แค่ที่พิมอยู่ผมยังลำดับคำพูดไม่ถูกเลย ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทำไมการเริ่มอะไรซักอย่างมันยากเย็นขนาดนี้ เหมือนในหัวผมมันไม่มีอะไรอยู่เลย สงสารพ่อแม่ สงสารครอบครัว สงสารตัวเอง ผมกลับไม่คิดว่าพ่อแม่คาดหวังกับผมไว้มาก ผมมันเหลวไหลที่สุด ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตกับความรู้สึกผิด ทุกครั้งที่เห็นหน้าพ่อแม่ เพื่อน และตัวเอง