อดีตใครเคยเป็นคนไม่เอาไหนบ้าง??

ในอดีตมีใครเคยเป็นคนไม่เอาไหนบ้างคะ

เช่น ขี้เกียจ,   ไม่ขยันเรียน เรียนไม่เก่ง , ไม่ขยันทำมาหากิน ยากจน ตกอับ ,  ไม่มีความก้าวหน้า , กินเหล้า ,เจ้าชั , เสเพลไปวันๆ, หรืออื่นๆ เป็นต้น

แล้วปัจจุบันเป็นยังไงบ้างคะ

อยากให้มาเล่าเป็นอุทธาหรณ์ให้ฟังกันหน่อยค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ ผมเอามาจากการที่ผมได้ตอบหลังไมค์ของสมาชิกท่านหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เขียนไปเขียนมาแล้วพออ่านดูรู้สึกว่ามันดี คิดว่าคงมีอีกหลายคนที่เคยประสบปัญหาแบบเดียวกันกับผม เลยเอามาแปะให้ได้ลองอ่านกันดู ....


โอเค ... งั้นผมจะเล่า "เรื่องราวของผม" ให้คุณฟัง ก็แล้วกัน ....


เมื่อก่อนนี้ ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่ง "กลัวความล้มเหลว" ผมคิดว่าคุณอาจยังไม่เข้าใจว่า "กลัวความล้มเหลว" คืออะไร ...


เมื่อก่อนนี้ ผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร ตั้งแต่เรียนอนุบาลจนจบ ม.6 ผมมีเพื่อน ... ไม่สิ ... ต้องเรียกว่าแค่ "คนที่รู้จัก" แค่ไม่ถึง 10 คน และที่สำคัญก็คือ ณ ตอนนี้ คนเหล่านั้นได้กลายเป็นเพียง "คนที่เคยรู้จัก" ไปหมดแล้ว ...


ตอน ม.4 ผมเริ่มติวกับคอร์สพิเศษที่โรงเรียน เพื่อที่จะสอบตรงเข้าในคณะที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศ ในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของประเทศ ... ผลคือ ผมสอบติด แต่ ... จำนวนคนที่ผมสามารถจะเรียกว่า "เพื่อน" ได้นั้น ก็ยังมีค่าเท่ากับ 0 อยู่ดี ...


ตอนเข้าปี 1 ใหม่ๆ ผมเริ่มรู้สึกว่า ถ้าผมยังคงเป็นคนไม่มีเพื่อนอยู่อย่างงี้ต่อไป อนาคตผมคงต้องลำบากแน่ๆ ผมก็เลยพยายเปลี่ยนตัวเอง พยายามทำอะไรๆตามเพื่อนที่คณะ เพื่อหวังว่า สักวัน ผมคงจะมีเพื่อนกับเขาบ้าง อย่างน้อยแค่ 1 คนก็ยังดี ....



แล้ววันเวลาก็ผ่านไป ครึ่งเทอมก็แล้ว 1เทอมก็แล้ว 1ปีก็แล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนคนที่ผมจะสามารถเรียกว่า "เพื่อน" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำนั้น ก็ยังคงเป็น 0 อยู่ดี ...


ผมเริ่มกลับมานั่งคิดว่า "ทำไมล่ะ เมื่อผมทำทุกอย่างที่พวกเขาต้องการแล้ว ทำไมผมถึงยังไมมีเพื่อน" ผมคิดจนเครียด และก็ท้อเหมือนคุณในเวลานี้แหละ เพราะระหว่างที่ผมได้พยายาม "สร้างเพื่อน" อยู่นั้น การเรียนของผมก็เริ่มดิ่งลงเหวไปทีละน้อย จากเทอมแรกที่ 2 ปลายๆ ลดลงเรื่อยจนในที่สุดก็เริ่มได้ F ตัวแรกมาครอง เพราะมัวแต่เครียดและเสียใจที่ทำยังไงก็ไม่มี "เพื่อน" สักที ...



เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ความภาคภูมิใจในการสอบได้คณะที่ใครๆก็ใฝ่ฝันก็เริ่มจางหาย การเรียนเริ่มไม่มีความหมายในสายตาของผม เพราะไม่เคยมีเป้าหมายว่าเรียนจบแล้วจะทำอะไร ผมเริ่มไม่ไปเรียน หมกตัวอยู่แต่ในห้อง เพียงแค่ช่วงเวลาของการปิดเทอมใหญ่เพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ผมกลายเป็น "โรคซึมเศร้า" ไปในที่สุด ...




คุณอาจสงสัยว่า อาการของ "โรคซึมเศร้า" มันเป็นยังไง  แรกๆมันก็แค่นอนไม่ค่อยหลับ พัฒนากลายเป็น "มนุษย์กลางคืน" คือ นอนเช้าตื่นเย็น ใช้ชีวิตในยามค่ำคืน (ไม่ได้หมายถึงออกไปเที่ยวกลางคืนนะ แต่หมายถึงใช้ชีวิต 12 ชั้วโมงในเวลาหลังอาทิตย์ตกดินไปกับโลกไซเบอร์) จนมากๆเข้าก็กลายเป้นการอดนอน ผมเคยนอนไม่ได้ เป็นเวลา 3 เดือน คือ ตื่นประมาณบ่าย 3 โมง และนอนอีกที่เพราะร่างกายทนไม่ไหวตอน 09.30 น.(เช้า) และมันก็ทำให้เกิดอาการอื่นๆตามมา เช่น หูแว่ว ภาพหลอน ฯลฯ โดยที่เวลา 3 เดือนที่ผ่านมานั้น ในหัวผมมีแต่การคิดลบ หมกมุ่นอยู่กับความเศร้าที่ไม่มีเพื่อน ที่หนักกว่านั้นก็คือ รู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลงทุกวันจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ....



สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะ "ฆ่าตัวตาย" โดยการกินยาเกินขนาด เพราะคิดว่าไหนๆเรื่องเรียนกับเรื่องเพื่อนก็แย่เต็มทนอยู่แล้ว แถมยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตอีกต่างหาก ร็สึกถึงขนาด "อยู่ไปก็รกโลก" คุณเชื่อมั๊ย ?? ตอนที่คนเรากำลังจะตาย แม้เป็นการฆ่าตัวตายก็ตาม เรื่องราวเก่าๆในอดีตมันจะย้อนกลับมาเป็นภาพในสมอง เหมือนเราดูหนังเรื่อง "ชีวิตของเรา" เป็นรอบสุดท้ายก่อนจะลาโรง มันมีแต่ความเศร้า หดหู่ เสียใจ ร้องไห้จนร้องไม่ออก แต่ชะตาของผมนั้นยังไม่ถึงที่ตาย ในขณะที่ผมมึนยาซึ่งใช้วิธีบดรวมกันกว่า 200 เม็ดแล้วผสมน้ำเพื่อดื่มนั้น พี่ชายของผมก็พาผมสง รพ. เพื่อล้างท้องได้ทัน ...


ผมว่าบางที่คุณอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า "คนเรา มักจะเห็นคุณค่าสิ่งใด ในตอนที่สูญเสียมันไปแล้ว" ประโยคนั้นมันได้เกิดขึ้นกับผม ในขณะที่ผมกำลังมึนเพราะฤทธิ์ยาที่กินเข้าไป นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ถูกหมอและพยาบาลช่วยกันล้างท้องซึ่งเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ผมได้แต่คิดไปว่า ที่ชีวิตผมต้องล้มเหลวมาถึงขนาดนี้ มันเป็นเพราะอะไร ...


แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อผมได้เห็นหน้าแม่อีกครั้ง เมื่อผมได้กอดคนที่รักผม ผมก็คิดได้ว่า ที่ผ่านมาทั้งหมด มันผิดอยู่สิ่งเดียว คือ "ผิดที่วิธีมองโลก" เพราะผมเอาแต่หลบหนีอุปสรรค จึงอ่อนแอ เพราะผมมัวแต่กลัวว่าคนอื่นจะคิดกับผมเช่นไร จึงไม่กล้าคุยกับคนอื่น และ เพราะผมมัวแต่ "กลัวความล้มเหลว" ผมจึงไม่กล้าทำอะไรแปลกใหม่ ไม่กล้าเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ผมมัวแต่ยึดติดกับวิธีเดิมๆ ที่ผมคิดว่าเมื่อผมทำมันแล้วเพื่อนน่าจะชอบ แต่ผมไม่เคยถามพวกเขาเหล่านั้นเลยว่า พวกเขาต้องการอะไร หรือชอบผมที่ตรงไหน ผมไม่สามารถทนฟังขอตำหนิจากคนอื่นได้ เพราะรู้สึกว่านั่นคือการที่คนอื่นประนามว่าผมคือ "คนขี้แพ้" ....


สรุปแล้วก็คือ ผมมีทัศนคติแง่ลบมากเกินไปจนทำให้จัดการกับชีวิตไม่เป็น ณ ปัจจุบันนี้ แม้ว่าเพื่อนรุ่นเดียวกับผมจะเรียนจบกันไปหมดแล้ว แต่ผมก็ยังคงต้องเรียนต่อไปตามลำพัง แต่คราวนี้ผมไม่รู้สึกเหงา หรือเศร้า อีกต่อไปแล้ว นั่นก็เพราะผมได้ "เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่" ...


ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมแค่อยากจะบอกคุณว่า "ชีวิตมันมีทั้งสิ่งที่คุณทำเพราะชอบ และสิ่งที่คุณต้องทำแม้จะไม่ชอบ" ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่คุณไม่ชอบ คุณก็จะเป็นเหมือนที่ผมเคยเป็น "ถ้าแค่กลัวว่าจะต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบแล้วจึงเลือกที่จะหนี เช่นนั้นคุณก็จงหนีตลอดไปทั้งชีวิต" และมันจะยิ่งสร้างนิสัยไม่ดีให้คุณ จะเริ่มขี้ระแวง เริ่มไม่ไว้ใจคน เริ่มเห็นแก่ได้ เริ่มเห็นแก่ตัว และพัฒนาไปอีกเรื่อยๆ ....



สิ่งที่ผมเห็นคุณทำในตอนนี้ ก็คือ "การพยายามหนีปัญหา" เพราะที่คุณซิ่วมันก็มาจากรู้สึกหมดกำลังใจจะเรียน ที่คุณผิดหวังกับการซิ่ว ก็เพราะคุณคาดหวังให้มันเป็นอย่างที่คุณหวังแต่ความจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ที่ผมเล่ามาทั้งหมดก็เพราะพยายามจะเตือนให้คุณ "หยุดหนีปัญหา" เพราะแม้ว่าวันนี้คุณจะหนีจากมันได้ แต่มันก็เป้นแค่การเลื่อนระยะเวลาที่คุณจะต้องเจอมันออกไปเท่านั้นเอง ....



... ขอปิดท้ายด้วย คำคม (รึเปล่าไม่รู้) ละกัน ...




เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกำลังเผชิญกับวิกฤติอันหนักหนา และรู้สึกว่ากำลังจะพ่ายแพ้ในอีกไม่ช้า ขอให้รู้ไว้ว่า ความสำเร็จกำลังยีนรอคุณอยู่ไม่ไกล

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
อดีต

พ่อแม่ แยกทาง อยู่กับพ่อ มีพี่น้อง 3 คน พ่อรับหมด แต่อีก 2 คนไปอยู่กับย่าเลยไม่ลําบากเหมือนผม ผมอยู่กับพ่อ เรียนม.ต้น ไม่จบ ไม่ได้เกเรนะ แต่เข้ากับเพื่อนไม่ได้ โรงเรียนก็อยู่ไกล เว้นเรียนไปเกือบปี ทํางานกับพ่อ ไปเรียนใหม่ก็ให้ซํ้าชั้น เลยไม่เรียนแม่มเลย ช่วงนั้นทะเลาะกับพ่อบ่อย พ่อมีแฟนใหม่ ผมรู้สึกไม่อบอุ่น ยังไงไม่รู้ กินยาพาราเข้าหลายเม็ด กะว่าจะได้ตายไป พ้นจากนี้สักที เคยจะกระโดดตึกลงไปตายให้รู้แล้วรู้รอดก็มี ช่วงนั้นผมอายุประมาณ 15 มั่งครับ ถ้าตายมันก็ดี แต่ไม่ตายจะลําบากล่ะสิ พ่อไม่ได้สนใจหรอก ผมรักย่ามากกว่าพ่ออีก เดี๋ยวจะไปลําบากย่า ล้มป่วย มีปัญหาอีก ก็เป็นแบบมาสักพัก จนถึง 18 ได้เจอแฟน เข้าขากัน เลยแยกออกมาอยู่เองด้วยกัน มีลูกซะเลย ไม่สนใจใครแล้ว   

ปัจจุบัน

อายุ 21 ครับ ผ่อนรถมาแล้ว 2 คัน คันที่ 3 ก็ผ่อนเรื่อยๆ บ้านก็มี แต่เป็นของแฟน ลูกผมผู้ชายอายุ 11 เดือนแล้วครับ ก็มีความสุขดี มีเครียดนิดหน่อย เรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน เพราะผมเป็นหาเองทั้งหมด แฟนไม่ได้ทํางาน เลี้ยงลูก กลับมาจากบ้านมองลูกไป เล่นกับลูกก็สบายใจครับ ลูกนี่แรงผลักดันให้ผมเลยนะ บุหรี่ไม่แตะ เหล้าไม่กิน การพนันไม่เล่น ผู้หญิงไม่ยุ่ง

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่