ได้ยินคำว่าบ้าจากปากของแม่ตัวเองจนไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ และอาการของเรามันเข้าข่ายโรคซึมเศร้าไหมคะ? เราอยากหาวิธีแก้ค่ะ

อย่างแรกต้องบอกก่อนเลยนะคะ เราได้ยินคำว่าเป็นบ้าจากปากคนเป็นแม่ของตัวเองทันทีที่บอกว่าหมอให้ไปพบจิตแพทย์
เราอายุแค่ 17 เองและเราเป็นลูกคนเล็กสุดค่ะ เราเป็นพวกย้ำคิดตลอดเวลา
อย่างที่สองคือเราขอเล่าความเป็นมาก่อนนะคะ
คือแม่เราเคยถามว่า "อยากเป็นอะไร" ในตอนเด็กซึ่งตอนนั้นเราชอบที่จะช่วยเหลือคนเอามากๆไม่รู้เป็นอะไรถึงจะติดไข้หรือหวัดจากคนอื่นก็ยอมเลยตอบไปว่าอยากเป็น "หมอเพราะจะได้ช่วยเหลือคนไม่อยากให้คนอื่นรอนาน" แต่พอการเวลาผ่านไปเรายิ่งกลับรู้สึกกดดันขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกในตอนนี้คือเหมือนชี้โพรงให้กระต่ายมาก เราโดนกดดันต่างๆนานาจนเราเองเริ่มที่จะเก็บไปเป็นความเครียดไหนจะเคยมีลูกมนุษย์ป้าและมนุษย์ป้ามาด่าแม่เราอีก ก็เลยกลายเป็นความแค้นไปใหญ่ เขาเคยพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้แม่เรากดดันเราถึงทุกวันนี้คือ "เราเป็นถึงครูจะให้เขามายกมือไหว้มันใช่เรื่องหรอ?" คือแม่เราบอกให้เจ้าตัวมาขอโทษถึงจะไม่อะไรด้วย จากนั้นเราก็โดนคำที่ว่า "เป็นหมอให้ได้นะลูก" จนถึงทุกวันนี้ ในตอนนี้เราอยู่ม.5 สายวิทย์คณิตมันเลยทำให้เราเริ่มกดดันมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัวไหนจะความเครียดที่มีมาให้ไม่ขาดสาย
เราเริ่มหาหมอครั้งแรกตอนม.4 เทอม 2เพราะอาการปวดหัวอย่างรุนแรงที่ขมับด้านซ้ายหมอบอกกลัวว่าจะเป็นไมเกรนเพราะเราเป็นคนใช้ความคิดตลอดเวลา เลยจ่ายยาไมเกรนมาให้ เราเคยทานอยู่ 1 ครั้ง เพราะอ้วกกับเวียนหัวอย่างหนักทำให้ไปโรงเรียนไม่ได้เลยไม่อยากจะทานอีก (เวลาที่ปวดจนทนไม่ได้จริงๆถึงทาน)
ครั้งที่สองตอนประมาณ ม.5 เทอม 1 เราก็เป็นแบบเดิมอีกคือปวดหัวแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ปวดตุ้บๆ แต่เป็นปวดจี๊ดๆและปวดกระบอกตาแทน แทบมองแสงแดดหรือแสงจ้าๆไม่ได้เลยต้องหลับตาตลอด นั่นก็เป็นที่เรามีอาการเครียดอีก หมอก็จ่ายยาแก้ปวดมาให้กับยาคลายกล้ามเนื้อมาให้
จนครั้งล่าสุดที่เราไปหาเราไม่ได้มีอาการปวดหัวอะไรทั้งสิ้นแต่เราไม่มีแรงหายใจไม่เต็มอิ่มนอนไม่หลับ เรานอน เที่ยงคืนตื่นตี 3 ประจำ เราเลยตัดสินใจไปหา เราเดินเข้าไปในห้องตรวจของหมอ ก็พูดคุยกันปกติจนกระทั่งหมอตรวจเสร็จ
หมอบอกเราว่า "ปอด หัวใจ ออกซิเจน ปกติดีทุกอย่าง หนูมีปัญหานอนไม่หลับหรือเครียดบ้างไหมลูก" เราก็ตอบไปตามตรงว่าเรามี หมอถามต่ออีกว่า "มีอะไรให้หมอช่วยไหม" เราบอก "ไม่นะคะ แค่หนูไม่มีแรงค่ะ" หมอถามต่ออีก "ถ้าเราเดินออกไปตัวเปล่าไม่มีย่นี้ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพราะหนูไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย" เราก็บอกว่า "ได้ค่ะ" แล้วเราก็เงียบอีกแต่หมอก็ยังไม่ให้เราเดินออกจากห้องนะ หมอพูดขึ้นมาลอยๆ "มีปัญหาอะไรเล่าให้หมอฟังได้นะ" เราเลยเลือกที่จะเล่าให้หมอฟังทั้งหมดคือเล่าไปด้วยร้องไห้ด้วยยอมรับตอนนั้นอายหมอมาก หมอบอกว่า "เอาจิตแพทย์ไหมหมอจะนัดให้หนูรู้ไหมลูกหนูอยู่ในภาวะเครียดนะ" เราอยากจะปรึกษาแม่ก่อนเราเลยเลือกที่จะปฏิเสธไป หมอพูดต่ออีกว่า "ถ้ามีปัญหาหรืออะไรมาหาจิตแพทย์ได้นะ เราหาจิตแพทย์ไม่ได้หมายความว่าเราบ้า แค่เรามาหาที่ระบายเฉยๆ" เรารู้ว่าเราอาการหนักถึงขั้นไหน แต่เราก็เลือกที่จะปฏิเสธไป เราไปหาหมอกับแม่ แม่ก็พยายามซักไซ้เราใหญ่ว่าหมอพูดอะไรทำไมร้องไห้ออกมาอยากจะรู้ให้ได้ แต่เราก็เลือกที่จะเก็บเงียบเพราะเราเป็นคนเก็บกดไม่ค่อยบอกอะไรกับใครง่ายๆ เราขี้เกียจที่จะพูดหรืออธิบายอะไรซ้ำๆ จนถึงบ้านเราเลือกที่จะบอกแม่ซึ่งเราคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดในตอนนี้ เราบอกว่า "หมอถามเราว่าเอาจิตแพทย์ไหมจะนัดให้" จากนั้นแหละแม่เราพูดขึ้นมา "เป็นบ้าหรอถึงจะไปหาจิตแพทย์" พี่เราก็หัวเราะเหมือนมันขำมาก ซึ่งตอนนั้นเราไม่ขำเลยเราจะร้องไห้ที่ได้ยินคำนั้น เราพยายามตั้งสติไม่ร้องไห้ เราร้องไห้คนเดียวตั้งแต่นั้นมา เราไม่มีสมาธิทำอะไรเลย จิตหลุด การเรียนเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ บอกใครก็ไม่ได้เพราะเขาคงคิดว่าเราเป็นบ้า อาการปวดหัวเริ่มมาบ่อยขึ้น เริ่มเศร้าและจะร้องไห้บ่อยๆ เราอยากรู้ว่าเราผิดมาหรอที่เป็นแบบนี้ เราผิดมาหรอที่ปวดหัว เราไม่อยากเป็นหรอกเราเหนื่อย เหนื่อยมากแล้วจริงๆ เราเคยมีความคิดที่ว่าตายไปแล้วเขาจะมีความสุขดีไหมที่ไม่มีลูกบ้าๆแบบเรา เราเคยคิดที่จะตาย แต่เราก็ยังมีพี่ที่เป็นลูกของน้าซึ่งอยู่ต่างประเทศเคยเตือนไว้ว่า "You You ทำอะไร You ต้องมีสติให้มากๆ คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเยอะๆ You ร้องไห้ได้แต่อย่าคิดที่จะทำร้ายตัวเองเด็ดขาด"
เราไม่กล้าด้วยซ้ำที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร เราไม่กล้าเราเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากพี่ที่อยู่ต่างประเทศ ส่วนพี่แท้ๆเรา เราไม่เคยไว้ใจเพราะทุกครั้งที่เราระบายด้วย เรื่องนี้จะไปถึงหูแม่ตลอด และผลที่ตามมามันก็ทำเอาแย่ลงทุกวัน จนเราคิดว่าเราปล่อยตัวเองไว้แบบนี้ไม่ได้แล้วเราอยากไปหาจิตแพทย์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าเราเป็นอะไรกันแน่ แต่ว่าเราต้องเอาผู้ปกครองไปด้วย เราควรทำไงดีในเมื่อแม่เราไม่ยอมรับที่เราเป็นแบบนี้ ขะบอกครูที่ปรึกษาให้พาไปก็ไว้ใจไม่ได้ขนาดความลับของเพื่อนสนิทเรายังเก็บไว้ไม่อยู่นับภาษาอะไรกับเรื่องของเรา และไหนจะกิจกรรมที่เราชอบทำตอนนี้คือกลายเป็นว่าเราไม่ทำมันแล้ว เช่นการดูซีรีย์ ดูหนัง อ่านการ์ตูนหรือนวนิยาย ทำไมเราถึงมีความคิดที่ว่ายังไงมันก็เป็นแค่ความสุขชั่วคราวมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขจริงๆ อ่านจบก็กลับมาอยู่ในจุดๆเดิม

เราอยากที่จะไปพบจิตแพทย์ด้วยตัวคนเดียวจะได้ไหมคะโดยที่ไม่ต้องเอาผู้ปกครองไป
ถ้าไม่ได้เราคงจะรอพี่ที่อยู่ต่างประเทศกลับมาก็คงอีกสองปีเราไม่คิดไม่ออกเลยว่าตอนนั้นเราจะอยู่หรือตายไปแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่