สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
...ดูท่า คุณ จขกท. อาจจะแทบไม่เคยศึกษาเข้าใจในเรื่องของศาสนาพทธหรือธรรมะในพุทธศาสนา
...ที่คุณบอกว่า -> " เป็นที่ทราบกันว่าพระไตรปิฎกสังคายนาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานหลายร้อยปี " ... อันนี้คุณผิด เพราะความจริงคือ การสังคายนาหลักธรรมวินัยของศาสนาพุทธ เริ่มต้นครั้งแรก หลังจากพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน 3 เดือน..., สังคายนาครั้งที่ 2 เมื่อประมาณ พ.ศ. 100 คือ หลังพระองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 100 ปี , สังคายนาครั้งที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 218 คือหลังจากพระองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 236 ปี , สังคายนาครั้งที่ 4 ที่ประเทศศรีลังกา เมื่อ พ.ศ. 238 , สังคายนาครั้งที่ 5 และเริ่มจดจารึกลงเป็นตัวอักษรครั้งแรก พ.ศ. 433 ที่ประเทศศรีลังกา ....และสังคายนามาเรื่อยๆๆ จนถึงครั้งที่ 9
...คิดตามประสาปุถุชน มักจะคิดง่ายๆว่า ในเมื่อพระที่มีฤทธิ์เดช สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ แล้วทำไมต้องห้าม เพราะจะได้อาศัยการแสดงปฏิหาริย์มาดึงดูดคนจำนวนมากเข้าหาศาสนา ...แนวคิดแบบนี้ เป็นแนวคิดที่ไม่เข้าใจความจริง .... ความจริงคือ ถ้าปล่อยให้พระที่มีฤทธิ์สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ศาสนาจะยิ่งสูญสลายไว ...เพราะว่า พระที่สามารถเล่นฤทธิ์ได้ มีจำนวนน้อยอย่างยิ่ง ถ้ามาแสดงปาฏิหาริย์อวดชาวโลก
คนจำนวนมากจะมุ่งสนใจแต่พระที่มีฤทธิ์ จะไม่สนใจพระอื่นๆที่ไม่มีฤทธิ์ แม้พระอื่นๆเหล่านั้นจะสอนธรรมะได้ถูกต้องก็ตาม ก็จะไม่มีใครไปสนใจฟัง ไม่สนใจจะเชื่อ... ลาภผลต่างๆจะไปรวมกองที่พระที่มีฤทธิ์แทบหมด พระอื่นๆก็จะอดอยาก แทบไม่มีใครสนใจ ..หลังจากพระที่มีฤทธิ์มรณภาพตายไปหรือมีปัญหา...คนจำนวนมากก็จะเสื่อมศรัทธา จะหนีจากศาสนา จะตำหนิพระที่ไม่มีฤทธิ์ว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ... ศาสนาก็จะสูญสลายไว
...ที่คุณบอกว่า -> " เป็นที่ทราบกันว่าพระไตรปิฎกสังคายนาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานหลายร้อยปี " ... อันนี้คุณผิด เพราะความจริงคือ การสังคายนาหลักธรรมวินัยของศาสนาพุทธ เริ่มต้นครั้งแรก หลังจากพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน 3 เดือน..., สังคายนาครั้งที่ 2 เมื่อประมาณ พ.ศ. 100 คือ หลังพระองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 100 ปี , สังคายนาครั้งที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 218 คือหลังจากพระองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 236 ปี , สังคายนาครั้งที่ 4 ที่ประเทศศรีลังกา เมื่อ พ.ศ. 238 , สังคายนาครั้งที่ 5 และเริ่มจดจารึกลงเป็นตัวอักษรครั้งแรก พ.ศ. 433 ที่ประเทศศรีลังกา ....และสังคายนามาเรื่อยๆๆ จนถึงครั้งที่ 9
...คิดตามประสาปุถุชน มักจะคิดง่ายๆว่า ในเมื่อพระที่มีฤทธิ์เดช สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ แล้วทำไมต้องห้าม เพราะจะได้อาศัยการแสดงปฏิหาริย์มาดึงดูดคนจำนวนมากเข้าหาศาสนา ...แนวคิดแบบนี้ เป็นแนวคิดที่ไม่เข้าใจความจริง .... ความจริงคือ ถ้าปล่อยให้พระที่มีฤทธิ์สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ศาสนาจะยิ่งสูญสลายไว ...เพราะว่า พระที่สามารถเล่นฤทธิ์ได้ มีจำนวนน้อยอย่างยิ่ง ถ้ามาแสดงปาฏิหาริย์อวดชาวโลก
คนจำนวนมากจะมุ่งสนใจแต่พระที่มีฤทธิ์ จะไม่สนใจพระอื่นๆที่ไม่มีฤทธิ์ แม้พระอื่นๆเหล่านั้นจะสอนธรรมะได้ถูกต้องก็ตาม ก็จะไม่มีใครไปสนใจฟัง ไม่สนใจจะเชื่อ... ลาภผลต่างๆจะไปรวมกองที่พระที่มีฤทธิ์แทบหมด พระอื่นๆก็จะอดอยาก แทบไม่มีใครสนใจ ..หลังจากพระที่มีฤทธิ์มรณภาพตายไปหรือมีปัญหา...คนจำนวนมากก็จะเสื่อมศรัทธา จะหนีจากศาสนา จะตำหนิพระที่ไม่มีฤทธิ์ว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ... ศาสนาก็จะสูญสลายไว
ความคิดเห็นที่ 17
หายากจริง ๆ พระที่เหาะได้ เพราะเป็นคุณวมบัติชั้นสูงของพระอรหันต์จริง ๆ ต้องเป็นอรหันต์ผู้ได้อภิญญาหกเท่านั้น ถ้าเราไปอ่านดูในเถราปทาน พระอรหันต์ทั้งหมดจะได้ วิโมกข์ ๘ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา๖ กันทั้งนั้น อภิญญาตัวนี้อยู่หลังวิโมกข์ ๘ ของการทำลายอาสวะไปแล้ว แต่ยังไม่สิ้น
ฤทธิ์ตัวนี้เรียก ฤทธิ์พระอริยะ
หันกลับมาดูอรหันต์มีหลายประเภท
สุขวิปัสสโก แสดงฤทธิ์ไม่ได้
เตวิชโช ได้วิชชาสาม ยังไม่ได้อิทธิวิธี
ปัญญาวิมุติ ยังไม่ได้อิทธิวิธี
อุภโตภาควิมุติ สิ้นอาสวะ แต่อภิญญา ๖ ยังไม่เกิด แต่บางท่านก็ได้วิชชาสาม เช่น พระองค์คุลีมาร
อภิญญา๖ เป็นการสั่งสมพลังจิตที่นิโรธสมาบัติ
แล้วทำให้เกิดฤทธิ์ ท่านพระโมคคัลลานะก็ได้สมาบัติแปดเหมือนกัน
คราวนี้สาวกจะมีฤทธิ์โดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งไม่เหมือนกัน
เช่น พระโมคคัลลานะ เลิศด้านอิทธิ
พระโสภิตะระลึกชาติ พระอนุรุทธทิพยจักขุ ฯลฯ
ปัจจุบัน คุณวิเศษด้านการบรรลุธรรมลดลง
ผู้ที่แสดงฤทธิ์ได้จึงหาได้น้อยมาก
ฤทธิ์ตัวนี้เรียก ฤทธิ์พระอริยะ
หันกลับมาดูอรหันต์มีหลายประเภท
สุขวิปัสสโก แสดงฤทธิ์ไม่ได้
เตวิชโช ได้วิชชาสาม ยังไม่ได้อิทธิวิธี
ปัญญาวิมุติ ยังไม่ได้อิทธิวิธี
อุภโตภาควิมุติ สิ้นอาสวะ แต่อภิญญา ๖ ยังไม่เกิด แต่บางท่านก็ได้วิชชาสาม เช่น พระองค์คุลีมาร
อภิญญา๖ เป็นการสั่งสมพลังจิตที่นิโรธสมาบัติ
แล้วทำให้เกิดฤทธิ์ ท่านพระโมคคัลลานะก็ได้สมาบัติแปดเหมือนกัน
คราวนี้สาวกจะมีฤทธิ์โดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งไม่เหมือนกัน
เช่น พระโมคคัลลานะ เลิศด้านอิทธิ
พระโสภิตะระลึกชาติ พระอนุรุทธทิพยจักขุ ฯลฯ
ปัจจุบัน คุณวิเศษด้านการบรรลุธรรมลดลง
ผู้ที่แสดงฤทธิ์ได้จึงหาได้น้อยมาก
แสดงความคิดเห็น
เรื่องเหาะชิงบาตร แล้วจึงทรงห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม น่าสงสัยครับ
ในกรณีปาฏิหาริย์ต่างๆ ไม่ว่าเด็กเดินเจ็ดก้าว การแสดงเตโชกสิณ วาโยกสิณ เปิดนรก สวรรค์ ต่างๆ ถ้าเป็นเรื่องจริง เหมือนนาซ่าลงดาวอังคาร ศาสนา ลัทธิอื่นน่าจะเสียคะแนนนิยมทันที ต่างศาสนาน่าจะเฮโลมาพุทธไม่เหลือหรอเพราะเห็นฤทธิ์เดชจริงแม้จะเป็นกระพี้ไม่ใช่แก่น
คำข้อห้ามไม่ให้สาวกแสดงปาฎิหาริย์เริ่มจากกรณีเหาะฉวยบาตร เหมือนนิทานไหม และลงท้ายว่าห้ามใครทำตามนิทานนั่นอีก เหมือนจะบอกว่าทำได้นะ แต่ไม่ดีห้ามทำ กรณีเหาะคว้าบาตร ถ้าจริง ต้องเป็น Talk of the town. ปานประหนึ่งมนุษย์ต่างดาวมา ปรากฎตัวเป็นใกล้ๆเลยแหละ และต้องมีจารึกไว้ในคัมภีร์ร่วมสมัย ศาสนาเชน ต้องไม่ได้เกิด