สวัสดีครับ อยากจะเขียนกระทู้เกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ที่หันมาลงสนามกึ่ง ๆ จริงจัง มาเป็นระยะเวลาเกือบ ๆ 1 ปี เสียหน่อย หลังจากขี่มอไซค์เที่ยวอย่างเดียว
ผิดพลาด ตกหล่น ตรงไหน ขออภัยล่วงหน้าด้วยครับผม เขียนตามความทรงจำอันเลื่อนลาง และอ้างอิงมาจากกระทู้แรกที่ผมเคยเขียนสมัยลงสนามใหม่ ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/37260094
ช่วงผมขยับ CC มาใหม่ ๆ จาก 150 มา เกือบ ๆ 900 CC ตอนขี่ครั้งแรกจำได้ว่า รถอะไรวะ แรงฉิบ และได้มีโอกาส เข้าเบสิคคอร์สฟรีของ Yamaha ซึ่งจะเป็นคอร์สเน้นการขับขี่ปลอดภัย และให้คุ้นชินรถมากกว่า
พอเริ่มคุ้นชินรถ เข้ามือแล้วก็ขี่เที่ยวเรื่อยเปื่อยมาตลอด ที่ไหนโค้งสวย วิวดีไปหมด เสพย์เต็มที่จนมารู้สึกว่า อยากไปเร็วกว่านี้ อยากขี่เร็วจัด ๆ โค้งหนัก ๆ แต่บนถนนหลวงไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะผู้ใช้ถนนคนอื่น สิ่งไม่คาดคิดบนถนน สิ่งสกปรก ฝุ่น ฯลฯ
ด้วยประการทั้งปวง จึงได้ข้อสรุปในใจ และใฝ่ฝันมานานแล้ว แต่ไม่กล้าทำจริง นั้นคือ "ไปลงสนาม"
ผู้ชายขี่มอไซค์ส่วนใหญ่ใคร ๆ ก็อยากใส่ชุดเรซซิ่งสูทเท่ห์ ๆ ลงไปแข่งในสนามกันบ้างละ ผมก็คือ 1 ในนั้น หลังจากที่การขี่รถเร็ว ๆ บนถนนหลวงมันไม่ปลอดภัยทั้งตัวเองและผู้ร่วมทางคนอื่น จึงได้เลิก (และปัญหาสุขภาพส่วนตัว) หันเหไปขี่ลงสนามแทน
ช่วงปลายปี 2017 ราว ๆ เดือนธันวาคม ผมได้ลองสมัครรายการ TrackDay โดยสมัครไปผ่านทาง Yamaha ซึ่งงานมันมี 2 วัน วันแรกจะเป็นการสอนโดยเหล่าอาจารย์และนักแข่ง ส่วนวันที่ 2 เป็นการขี่ซ้อมทั่วไป และแข่งกันในตอนเย็น
เนื่องด้วยตอนนั้นห้าว เลยไม่ได้ลงเรียนวันแรกเพราะคิดว่าตัวเองขี่ได้ (บวกกับ 2 วันมันจ่ายแพงกว่าไปวันเดียว) ผมเลยไปวันที่ 2 วันเดียว
ตอนนั้นผมไปพร้อมเสื้อการ์ดถูก ๆ ไม่แพงมาก กับอุปกรณ์มาตรฐานนิดหน่อย ชุดเรซสูทไม่มี กะไปยืม Yamaha แต่ไม่มีไซต์ผม... เลยลงแต่ชุดการ์ดไปเลยเพราะงาน TrackDay ไม่เคร่งมาก (งานอื่น ๆ บังคับแต่เรซสูทเท่านั้น)
พอได้ลงสนามครั้งแรกเท่านั้นแหละ เหนื่อยมาก และยากกว่าที่คิดไว้เยอะมาก จะหลุดโค้งหลายรอบ เพราะการขี่ของเราผิดหมดตั้งแต่ท่านั่ง และ การเตรียมตัวเข้าโค้ง เลยบอกกับตัวเองว่าไม่ได้การละ...
หลังปีใหม่ 2018 ผ่านพ้นไป วันที่ 7 มกราคม ผมและกลุ่มเพื่อน ๆ แถวบ้านที่นัดแนะกันไว้ว่าจะไปลงเรียนเรซซิ่ง คอร์ส ก็ได้ออกเดินทางไปสนามที่มีสโลแกนว่า "ชีวิตนักแข่งเริ่มต้นที่นี่" นั้นคือไทยแลนด์เซอร์กิต นครชัยศรี
ซึ่งต้องบอกว่าคิดถูกที่มาเรียน หลักการของการขับขี่ปลอดภัย และ การขี่เรซซิ่ง แตกต่างกันพอสมควร เช่น ขับขี่ปลอดภัยคือ ต้อง วางเท้าลงบนพักเท้าเต็มเท้า พร้อมเหยียบเบรค ตบเกียร์ตลอดเวลา มือต้องพร้อมกำ เบรค ครัช 4 นิ้ว แต่การขี่แบบเรซซิ่ง จะวางเท้าเพียงปลายเท้าเท่านั้น เวลาเทโค้งแล้วจะได้ไม่ขูดปลายเท้า (ผมโดนมาแล้ว ไม่ใช่รองเท้าการ์ดนี้นิ้วแหก) มือกำแฮนแน่น ๆ บีบครัช บีบเบรค 1-2 นิ้วพอ (บางหลักสูตรก็ 4 นิ้ว แต่ผมใช้ 2 นิ้ว) สรุปแล้วคือทั้ง 2 คอร์สจะแตกต่างพอสมควร
และการมาลงคอร์สเรียนยังมีข้อดี ก็คือ เวลาเรามีจุดบกพร่องตรงไหน ก็จะมีคนคอยแนะนำแก้ไขได้เลย ถ้ามากันเอง ลองผิดลองถูกคงเสียเวลาเป็นแน่แท้ และอาจจะไม่ได้เข่าเช็ดพื้น แต่อย่างอื่นจะถูพื้นแทน 555
ต้องยอมรับว่า การลงคอร์สเรซซิ่ง และการมาลงสนามนั้น เหมือนได้ปลดล็อคตัวเอง และ รู้จักรถตัวเองจนครบ 100% เหมือนคอร์ส เรซซิ่งทำให้เรารีดพลังของรถออกมาหมด ไม่เหมือนเบสิคคอร์ส ทำให้รู้ว่า เห้ย รถเรามันทำอะไรแบบนี้ได้นะ รู้มือรถมากขึ้น และรู้ ข้อด้อยของรถ เช่น โช็ครถผมถ้าเข้ามาหนัก ๆ จะย้วยเลย มาศึกษาวิธีปรับโช็ค ได้ความรู้เรื่องการเซ็ทรถไปอีก เอามาเซ็ทขี่ในเมือง ขี่เที่ยวได้ด้วย (แต่เซ็ทยังไงด้วยน้ำหนักของผม ลงสนามเข้าหนัก ๆ ย้วยอยู่ดี 555)
ต้องบอกเลยว่าบนถนนหลวงยังไงก็รีดออกมาไม่หมด ฟีลมันต่างกันมาก แค่องศาการมองเห็นก็ต่างกัน บนถนน เรามองไม่เห็นโค้งข้างหน้า แต่ในสนามเรามองเห็นหมด กล้าที่จะไปสุด ลงสุด ต่อให้แหก ก็ไม่น่าถึงตาย(มั้ง) 555เอาเป็นว่ามันปลอดภัยกว่าไปสุดบนถนนหลวงแน่นอน
อีกเรื่องคือ เวลาลงสนามเนียะ ใช้พลังงานเยอะมาก ๆ ตอนแรกผมคิดว่าแค่ลงสนามคงไม่เท่าไหร่ ไม่เหนื่อยหรอก พอมาได้ลงจริง ๆ เหนื่อยมาก หิวน้ำ และ ต้องใช้พลังงานสูง ลงได้ครึ่งวันเช้า รู้สึกปวดขาสุด ๆ ปวดไหล่ปวดแขนด้วย (เพราะลงผิดท่า) อาจารย์ก็แนะนำมาว่า ลงครั้งแรกจะปวดเหมือนออกกำลังกายนี้ละ มาลงบ่อย ๆ ก็จะอึดขึ้น แข็งแรงขึ้น หรือ ออกกำลังกาย แล้วมาลงสนามก็ช่วยได้ ทำให้ผมที่หนัก 90 กว่ากิโล อยากจะออกกำลังกายเลย นอกจากจะสุขภาพดีขึ้น (ผอมด้วย) จะได้ลงสนามได้นาน ๆ อึด ๆ หน่อย 555
มันจะคนละอารมณ์กับขี่ไปทริปท่องเที่ยว ขี่ในสนามรอบสนาม 10 กว่าโล เหนื่อยกว่าขี่ไปเที่ยว 100 โลอีก ปวดขาโครต ๆ อาจารย์บอกเป็นธรรมดาสำหรับคนเพิ่งเรียน และหุ่นอ้วน ๆ แบบเรา 55
พอเรียนเสร็จอัพเลเวลขึ้นมาจึ๋งนึง ตอนไปนี้สารภาพตามตรง คืออยากได้รูปเฉย ๆ ตอนนั้น 5555 เพราะขี่แล้วเหนื่อย สนุกได้ 2 รอบ เหนื่อยละ มันใช้พลังงานเยอะมากในการขี่สนาม และหลาย ๆ คนบอกว่าผมไม่เหมาะ อย่าขี่เลย เลยเรียนเสร็จ เลิก คืนครูหมด 555
จนได้มาเจอพี่คนนึงในเฟสบุ๊ค ที่เป็นลูกค้าธรรมดาซื้อรถมาใช้ และมาลงสนาม ขี่ไปเรื่อย ๆ จนได้ขึ้นโพเดี้ยม ได้แชมป์ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าพี่เขาเท่จัง และคำพูดพี่เขาเป็นแรงบรรดาลใจให้ผมจนถึงทุกวันนี้
อยากทำอะไรจงทำ อย่าแคร์คำพูดของใคร จงทำให้เขาดูว่าเราทำได้แค่ไหน ผมอ่านแล้วก็ เออ เราก็อยากแข่งบ้างจัง เลยตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะลงแข่งซักรายการในปีนี้ "ซักครั้งในชีวิต"
จากนั้นก็แอบไปซ้อมสนามไทยแลนด์เซอร์กิต ครึ่งวัน เพราะถูกดีและใกล้บ้านที่สุด ลงเทรค์เดย์ (แต่ไม่แข่งนะกลัว 555)
ใส่ยาง Road4 ลงด้วย โค้งที เสียวหวาบ ๆ ที ... ตอนนั้นไม่มีตังเปลี่ยนยาง เลยต้องใส่ยางทัวร์ริ่งค์ลง...
เมื่อก่อนผมคิดว่าการลงสนาม มันเป็นที่สำหรับคนผอม ๆ เท่านั้น จนผมมาเจอพี่คนนี้ ความคิดผมจึงเปลี่ยนไป กับเจ้าของ R6 สุดแรง กับน้ำหนักตัวเกิน 100 แต่ขี่ได้เวลาอยู่ในระดับแถวหน้า
จนมาถึงรายการแข่งรายการแรกของชีวิต ที่มีความทรงจำต่าง ๆ มากมาย ทั้งดี และ ไม่ดี 5555 เห่อมาก จัดชุดเรซสูทที่ไม่แพงมากเพื่อประเดิมงานแข่งงานแรก
งานแข่ง ยามาฮ่า ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยน ชิพ 2018
เป็นงานแข่งแรกที่ผมลง ฝีมือตอนนั้นคือห่วยมากมาก (ตอนนี้ก็ยังห่วยอยู่) แต่อยากลงหาประสบการณ์ เลยสมัครแข่งไปเลย ผลงานสนามแรกก็บ๊วยสิครับ แถมร่วงขึ้นรถ รพ. เฉยเลย อนาจมาก 555 จากนั้นเข็ด สนาม 2 เลยไม่ได้ลง สนาม 3 ไม่ได้ไปเพราะไกล เป็นอันปิดรายการแข่งครั้งแรกในชีวิตแค่สนามเดียว จากสามสนาม
ต้องบอกว่า นับว่าห้าวมาก ๆ ที่มาลงแข่งรายการนี้ (ที่มีคนเก่งอยู่มากมาย) ทั้ง ๆ ที่ฝีมือเรายังไม่ถึงขั้น ท่ายังผิด ๆ ถูก ๆ (บวกตื่นเต้น ยิ่งเพี้ยน) เอาง่าย ๆ เข้าโค้ง ผมยังเผลอนิ้วแตะเบรคแตะครัชอยู่เลย...
ตอนซ้อมก็เข่าเกือบ ๆ เช็ดพื้นได้นะ แข่งจริงแล้วกดดันจัด มั่วไปหมด
สรุปรายการแข่ง 3 สนาม ผมลงไปแค่สนามเดียว จาก 3 สนาม ...
จากนั้นก็ยังแวะเวียนไปซ้อมเป็นระยะ ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวย มีจัดชุดใหม่เตรียมตัวสำหรับรายการต่อไป (แต่ไม่ได้ใช้) พอใส่ชุดแพงแล้วรู้สึกเวลาลง (ว่าไปนั้น)
และปิดท้ายงานสุดท้ายของปีอย่าง TrackDay ในเดือนธันวาคม ซึ่งผมจัดชุดใหม่มาใช้ เป็นเรซสูทแบบสองท่อน เพราะท่อนเดียวมันใส่และถอดยาก เลยใช้แบบสองท่อนแทน กับสนามสุดท้ายของปี สนามชุดใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การแข่งรายการ TrackDay เป็นที่รู้กันว่าไม่เคร่งมาก เป็นการแข่งขำ ๆ เอาสนุก ๆ กันมากกว่า ซึ่งปกติการแข่งจริงจะต้องถอด พักเท้า ทะเบียน ไฟเลี้ยว กระจก ฯลฯ เอาง่าย ๆ คือสภาพรถแข่ง แต่ TrackDay จะชิวกว่า เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มมาลงสนาม หรือ เรียนรู้หาประสบการณ์ อย่างผมขี้เกียจถอดกระจก เลยใส่กระจกลงสนามเลย 4 บาน (มันเป็นคาแล็คเตอร์ประจำตัว 55) ซึ่งในวันนั้นมันร้อนกว่าปกติ ช่วงบ่ายฝนเหมือนจะตก แต่ไม่ตก อากาศอบ ๆ หน่อย หลังรับธงหมากรุก สภาพผมก็ตามรูป...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนี้ก็หมดปีแล้ว ปีหน้าก็ไม่รู้จะได้ลงสนามต่อไหม แต่ถ้ามีโอกาส และ สุขภาพพร้อมกว่านี้ ก็คงจะลงขี่สนามต่อไป เรื่องขี่รถเที่ยวก็ยังขี่เที่ยวเหมือนเดิม แต่ขี่ช้าลงเยอะ ไปเร็วให้สุดในสนาม และขับขี่ปลอดภัยบนถนน เช็คอินที่พัก และกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ตอนนี้สังคมบิ๊คไบค์เปลี่ยนไปจากสมัยก่อน ที่ผมคิดว่ามันดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาจเพราะรถที่ออกง่ายขึ้น จับต้องง่ายขึ้น ทำให้คนใช้มันเพิ่มเยอะขึ้น พอคนเยอะขึ้นอะไรหลาย ๆ อย่างก็ต้องเปลี่ยนไป บางทีก็กลายเป็นปัญหาสังคม ผมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากที่คนอื่นรู้สึกเท่าไหร่นัก แต่จะให้ผมเลิกขี่รถ ก็คงจะเกินไปหน่อย เอาเป็นว่าก็คงขี่ต่อไป อยากเร็ว อยากแรง อยากหวด ผมลงสนาม สุดได้เต็มที่ มันสนุกจริง ๆ ไม่ต้องกลัวหมาตัดหน้า ฝุ่นบนถนน รถสวน ขี่รถเที่ยวก็คงขี่เหมือนเดิม ผมคงไม่อาจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบิ๊คไบค์ได้ หรือตัดสินกลุ่มไหนว่าดีหรือเสื่อม แต่ผมเลือกที่จะเป็นได้ นั้นคือนักขี่ในสนาม
ขอบคุณที่อ่านกระทู้จนจบครับ ผิดพลาดตรงไหนขออภัย ณ ที่นี่อีกครั้งครับผม
ประสบการณ์เกือบ 1 ปี กับการหันลงสนามกึ่งจริงจัง ...
ผิดพลาด ตกหล่น ตรงไหน ขออภัยล่วงหน้าด้วยครับผม เขียนตามความทรงจำอันเลื่อนลาง และอ้างอิงมาจากกระทู้แรกที่ผมเคยเขียนสมัยลงสนามใหม่ ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ช่วงผมขยับ CC มาใหม่ ๆ จาก 150 มา เกือบ ๆ 900 CC ตอนขี่ครั้งแรกจำได้ว่า รถอะไรวะ แรงฉิบ และได้มีโอกาส เข้าเบสิคคอร์สฟรีของ Yamaha ซึ่งจะเป็นคอร์สเน้นการขับขี่ปลอดภัย และให้คุ้นชินรถมากกว่า
พอเริ่มคุ้นชินรถ เข้ามือแล้วก็ขี่เที่ยวเรื่อยเปื่อยมาตลอด ที่ไหนโค้งสวย วิวดีไปหมด เสพย์เต็มที่จนมารู้สึกว่า อยากไปเร็วกว่านี้ อยากขี่เร็วจัด ๆ โค้งหนัก ๆ แต่บนถนนหลวงไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะผู้ใช้ถนนคนอื่น สิ่งไม่คาดคิดบนถนน สิ่งสกปรก ฝุ่น ฯลฯ
ด้วยประการทั้งปวง จึงได้ข้อสรุปในใจ และใฝ่ฝันมานานแล้ว แต่ไม่กล้าทำจริง นั้นคือ "ไปลงสนาม"
ผู้ชายขี่มอไซค์ส่วนใหญ่ใคร ๆ ก็อยากใส่ชุดเรซซิ่งสูทเท่ห์ ๆ ลงไปแข่งในสนามกันบ้างละ ผมก็คือ 1 ในนั้น หลังจากที่การขี่รถเร็ว ๆ บนถนนหลวงมันไม่ปลอดภัยทั้งตัวเองและผู้ร่วมทางคนอื่น จึงได้เลิก (และปัญหาสุขภาพส่วนตัว) หันเหไปขี่ลงสนามแทน
ช่วงปลายปี 2017 ราว ๆ เดือนธันวาคม ผมได้ลองสมัครรายการ TrackDay โดยสมัครไปผ่านทาง Yamaha ซึ่งงานมันมี 2 วัน วันแรกจะเป็นการสอนโดยเหล่าอาจารย์และนักแข่ง ส่วนวันที่ 2 เป็นการขี่ซ้อมทั่วไป และแข่งกันในตอนเย็น
เนื่องด้วยตอนนั้นห้าว เลยไม่ได้ลงเรียนวันแรกเพราะคิดว่าตัวเองขี่ได้ (บวกกับ 2 วันมันจ่ายแพงกว่าไปวันเดียว) ผมเลยไปวันที่ 2 วันเดียว
ตอนนั้นผมไปพร้อมเสื้อการ์ดถูก ๆ ไม่แพงมาก กับอุปกรณ์มาตรฐานนิดหน่อย ชุดเรซสูทไม่มี กะไปยืม Yamaha แต่ไม่มีไซต์ผม... เลยลงแต่ชุดการ์ดไปเลยเพราะงาน TrackDay ไม่เคร่งมาก (งานอื่น ๆ บังคับแต่เรซสูทเท่านั้น)
พอได้ลงสนามครั้งแรกเท่านั้นแหละ เหนื่อยมาก และยากกว่าที่คิดไว้เยอะมาก จะหลุดโค้งหลายรอบ เพราะการขี่ของเราผิดหมดตั้งแต่ท่านั่ง และ การเตรียมตัวเข้าโค้ง เลยบอกกับตัวเองว่าไม่ได้การละ...
หลังปีใหม่ 2018 ผ่านพ้นไป วันที่ 7 มกราคม ผมและกลุ่มเพื่อน ๆ แถวบ้านที่นัดแนะกันไว้ว่าจะไปลงเรียนเรซซิ่ง คอร์ส ก็ได้ออกเดินทางไปสนามที่มีสโลแกนว่า "ชีวิตนักแข่งเริ่มต้นที่นี่" นั้นคือไทยแลนด์เซอร์กิต นครชัยศรี
ซึ่งต้องบอกว่าคิดถูกที่มาเรียน หลักการของการขับขี่ปลอดภัย และ การขี่เรซซิ่ง แตกต่างกันพอสมควร เช่น ขับขี่ปลอดภัยคือ ต้อง วางเท้าลงบนพักเท้าเต็มเท้า พร้อมเหยียบเบรค ตบเกียร์ตลอดเวลา มือต้องพร้อมกำ เบรค ครัช 4 นิ้ว แต่การขี่แบบเรซซิ่ง จะวางเท้าเพียงปลายเท้าเท่านั้น เวลาเทโค้งแล้วจะได้ไม่ขูดปลายเท้า (ผมโดนมาแล้ว ไม่ใช่รองเท้าการ์ดนี้นิ้วแหก) มือกำแฮนแน่น ๆ บีบครัช บีบเบรค 1-2 นิ้วพอ (บางหลักสูตรก็ 4 นิ้ว แต่ผมใช้ 2 นิ้ว) สรุปแล้วคือทั้ง 2 คอร์สจะแตกต่างพอสมควร
และการมาลงคอร์สเรียนยังมีข้อดี ก็คือ เวลาเรามีจุดบกพร่องตรงไหน ก็จะมีคนคอยแนะนำแก้ไขได้เลย ถ้ามากันเอง ลองผิดลองถูกคงเสียเวลาเป็นแน่แท้ และอาจจะไม่ได้เข่าเช็ดพื้น แต่อย่างอื่นจะถูพื้นแทน 555
ต้องยอมรับว่า การลงคอร์สเรซซิ่ง และการมาลงสนามนั้น เหมือนได้ปลดล็อคตัวเอง และ รู้จักรถตัวเองจนครบ 100% เหมือนคอร์ส เรซซิ่งทำให้เรารีดพลังของรถออกมาหมด ไม่เหมือนเบสิคคอร์ส ทำให้รู้ว่า เห้ย รถเรามันทำอะไรแบบนี้ได้นะ รู้มือรถมากขึ้น และรู้ ข้อด้อยของรถ เช่น โช็ครถผมถ้าเข้ามาหนัก ๆ จะย้วยเลย มาศึกษาวิธีปรับโช็ค ได้ความรู้เรื่องการเซ็ทรถไปอีก เอามาเซ็ทขี่ในเมือง ขี่เที่ยวได้ด้วย (แต่เซ็ทยังไงด้วยน้ำหนักของผม ลงสนามเข้าหนัก ๆ ย้วยอยู่ดี 555)
ต้องบอกเลยว่าบนถนนหลวงยังไงก็รีดออกมาไม่หมด ฟีลมันต่างกันมาก แค่องศาการมองเห็นก็ต่างกัน บนถนน เรามองไม่เห็นโค้งข้างหน้า แต่ในสนามเรามองเห็นหมด กล้าที่จะไปสุด ลงสุด ต่อให้แหก ก็ไม่น่าถึงตาย(มั้ง) 555เอาเป็นว่ามันปลอดภัยกว่าไปสุดบนถนนหลวงแน่นอน
อีกเรื่องคือ เวลาลงสนามเนียะ ใช้พลังงานเยอะมาก ๆ ตอนแรกผมคิดว่าแค่ลงสนามคงไม่เท่าไหร่ ไม่เหนื่อยหรอก พอมาได้ลงจริง ๆ เหนื่อยมาก หิวน้ำ และ ต้องใช้พลังงานสูง ลงได้ครึ่งวันเช้า รู้สึกปวดขาสุด ๆ ปวดไหล่ปวดแขนด้วย (เพราะลงผิดท่า) อาจารย์ก็แนะนำมาว่า ลงครั้งแรกจะปวดเหมือนออกกำลังกายนี้ละ มาลงบ่อย ๆ ก็จะอึดขึ้น แข็งแรงขึ้น หรือ ออกกำลังกาย แล้วมาลงสนามก็ช่วยได้ ทำให้ผมที่หนัก 90 กว่ากิโล อยากจะออกกำลังกายเลย นอกจากจะสุขภาพดีขึ้น (ผอมด้วย) จะได้ลงสนามได้นาน ๆ อึด ๆ หน่อย 555
มันจะคนละอารมณ์กับขี่ไปทริปท่องเที่ยว ขี่ในสนามรอบสนาม 10 กว่าโล เหนื่อยกว่าขี่ไปเที่ยว 100 โลอีก ปวดขาโครต ๆ อาจารย์บอกเป็นธรรมดาสำหรับคนเพิ่งเรียน และหุ่นอ้วน ๆ แบบเรา 55
พอเรียนเสร็จอัพเลเวลขึ้นมาจึ๋งนึง ตอนไปนี้สารภาพตามตรง คืออยากได้รูปเฉย ๆ ตอนนั้น 5555 เพราะขี่แล้วเหนื่อย สนุกได้ 2 รอบ เหนื่อยละ มันใช้พลังงานเยอะมากในการขี่สนาม และหลาย ๆ คนบอกว่าผมไม่เหมาะ อย่าขี่เลย เลยเรียนเสร็จ เลิก คืนครูหมด 555
จนได้มาเจอพี่คนนึงในเฟสบุ๊ค ที่เป็นลูกค้าธรรมดาซื้อรถมาใช้ และมาลงสนาม ขี่ไปเรื่อย ๆ จนได้ขึ้นโพเดี้ยม ได้แชมป์ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าพี่เขาเท่จัง และคำพูดพี่เขาเป็นแรงบรรดาลใจให้ผมจนถึงทุกวันนี้
อยากทำอะไรจงทำ อย่าแคร์คำพูดของใคร จงทำให้เขาดูว่าเราทำได้แค่ไหน ผมอ่านแล้วก็ เออ เราก็อยากแข่งบ้างจัง เลยตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะลงแข่งซักรายการในปีนี้ "ซักครั้งในชีวิต"
จากนั้นก็แอบไปซ้อมสนามไทยแลนด์เซอร์กิต ครึ่งวัน เพราะถูกดีและใกล้บ้านที่สุด ลงเทรค์เดย์ (แต่ไม่แข่งนะกลัว 555)
ใส่ยาง Road4 ลงด้วย โค้งที เสียวหวาบ ๆ ที ... ตอนนั้นไม่มีตังเปลี่ยนยาง เลยต้องใส่ยางทัวร์ริ่งค์ลง...
เมื่อก่อนผมคิดว่าการลงสนาม มันเป็นที่สำหรับคนผอม ๆ เท่านั้น จนผมมาเจอพี่คนนี้ ความคิดผมจึงเปลี่ยนไป กับเจ้าของ R6 สุดแรง กับน้ำหนักตัวเกิน 100 แต่ขี่ได้เวลาอยู่ในระดับแถวหน้า
จนมาถึงรายการแข่งรายการแรกของชีวิต ที่มีความทรงจำต่าง ๆ มากมาย ทั้งดี และ ไม่ดี 5555 เห่อมาก จัดชุดเรซสูทที่ไม่แพงมากเพื่อประเดิมงานแข่งงานแรก
งานแข่ง ยามาฮ่า ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยน ชิพ 2018
เป็นงานแข่งแรกที่ผมลง ฝีมือตอนนั้นคือห่วยมากมาก (ตอนนี้ก็ยังห่วยอยู่) แต่อยากลงหาประสบการณ์ เลยสมัครแข่งไปเลย ผลงานสนามแรกก็บ๊วยสิครับ แถมร่วงขึ้นรถ รพ. เฉยเลย อนาจมาก 555 จากนั้นเข็ด สนาม 2 เลยไม่ได้ลง สนาม 3 ไม่ได้ไปเพราะไกล เป็นอันปิดรายการแข่งครั้งแรกในชีวิตแค่สนามเดียว จากสามสนาม
ต้องบอกว่า นับว่าห้าวมาก ๆ ที่มาลงแข่งรายการนี้ (ที่มีคนเก่งอยู่มากมาย) ทั้ง ๆ ที่ฝีมือเรายังไม่ถึงขั้น ท่ายังผิด ๆ ถูก ๆ (บวกตื่นเต้น ยิ่งเพี้ยน) เอาง่าย ๆ เข้าโค้ง ผมยังเผลอนิ้วแตะเบรคแตะครัชอยู่เลย...
ตอนซ้อมก็เข่าเกือบ ๆ เช็ดพื้นได้นะ แข่งจริงแล้วกดดันจัด มั่วไปหมด
สรุปรายการแข่ง 3 สนาม ผมลงไปแค่สนามเดียว จาก 3 สนาม ...
จากนั้นก็ยังแวะเวียนไปซ้อมเป็นระยะ ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวย มีจัดชุดใหม่เตรียมตัวสำหรับรายการต่อไป (แต่ไม่ได้ใช้) พอใส่ชุดแพงแล้วรู้สึกเวลาลง (ว่าไปนั้น)
และปิดท้ายงานสุดท้ายของปีอย่าง TrackDay ในเดือนธันวาคม ซึ่งผมจัดชุดใหม่มาใช้ เป็นเรซสูทแบบสองท่อน เพราะท่อนเดียวมันใส่และถอดยาก เลยใช้แบบสองท่อนแทน กับสนามสุดท้ายของปี สนามชุดใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การแข่งรายการ TrackDay เป็นที่รู้กันว่าไม่เคร่งมาก เป็นการแข่งขำ ๆ เอาสนุก ๆ กันมากกว่า ซึ่งปกติการแข่งจริงจะต้องถอด พักเท้า ทะเบียน ไฟเลี้ยว กระจก ฯลฯ เอาง่าย ๆ คือสภาพรถแข่ง แต่ TrackDay จะชิวกว่า เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มมาลงสนาม หรือ เรียนรู้หาประสบการณ์ อย่างผมขี้เกียจถอดกระจก เลยใส่กระจกลงสนามเลย 4 บาน (มันเป็นคาแล็คเตอร์ประจำตัว 55) ซึ่งในวันนั้นมันร้อนกว่าปกติ ช่วงบ่ายฝนเหมือนจะตก แต่ไม่ตก อากาศอบ ๆ หน่อย หลังรับธงหมากรุก สภาพผมก็ตามรูป...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนี้ก็หมดปีแล้ว ปีหน้าก็ไม่รู้จะได้ลงสนามต่อไหม แต่ถ้ามีโอกาส และ สุขภาพพร้อมกว่านี้ ก็คงจะลงขี่สนามต่อไป เรื่องขี่รถเที่ยวก็ยังขี่เที่ยวเหมือนเดิม แต่ขี่ช้าลงเยอะ ไปเร็วให้สุดในสนาม และขับขี่ปลอดภัยบนถนน เช็คอินที่พัก และกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ตอนนี้สังคมบิ๊คไบค์เปลี่ยนไปจากสมัยก่อน ที่ผมคิดว่ามันดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาจเพราะรถที่ออกง่ายขึ้น จับต้องง่ายขึ้น ทำให้คนใช้มันเพิ่มเยอะขึ้น พอคนเยอะขึ้นอะไรหลาย ๆ อย่างก็ต้องเปลี่ยนไป บางทีก็กลายเป็นปัญหาสังคม ผมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากที่คนอื่นรู้สึกเท่าไหร่นัก แต่จะให้ผมเลิกขี่รถ ก็คงจะเกินไปหน่อย เอาเป็นว่าก็คงขี่ต่อไป อยากเร็ว อยากแรง อยากหวด ผมลงสนาม สุดได้เต็มที่ มันสนุกจริง ๆ ไม่ต้องกลัวหมาตัดหน้า ฝุ่นบนถนน รถสวน ขี่รถเที่ยวก็คงขี่เหมือนเดิม ผมคงไม่อาจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบิ๊คไบค์ได้ หรือตัดสินกลุ่มไหนว่าดีหรือเสื่อม แต่ผมเลือกที่จะเป็นได้ นั้นคือนักขี่ในสนาม
ขอบคุณที่อ่านกระทู้จนจบครับ ผิดพลาดตรงไหนขออภัย ณ ที่นี่อีกครั้งครับผม