Wakayama เป็นจังหวัดที่อยู่ทางตอนใต้ของ Osaka ครับ การเดินทางสามารถใช้ได้ทั้งสาย JR และ local train ครับ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 50 นาที ที่ Wakayama มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งครับ ซึ่งในทริปนี้เราไปเที่ยวเพียงปราสาทวาคายาม่า และ มุ่งลงทางตอนใต้ต่อไปที่ Kii-Katsuura เลย
12/11/2018
จากโรงแรม FP South Hotel Namba เราเดินไปฝากกระเป๋าที่ โรงแรมที่จะพักในคืนที่ 13-14/11/2018 (Hotel WBF Art Stay Namba) โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในเส้น Den Den Town ครับ ระยะทางประมาณกิโลนิดๆจากโรงแรมแรก โชคดีที่ทางโรงแรมไม่ได้คิดค่าบริการในส่วนนี้ หลังจากนั้นเราไปกินข้าวเช้าที่ร้านอุด้งข้างโรงแรมครับ
สำหรับร้านนี้เป็นร้านขายอุด้งครับ ราคาเริ่มต้นที่ 210 เยนครับ เป็นร้านแบบยืนกินนะครับ เราสามารถสั่งอาหารจากทางพ่อครัวได้เลยครับ และเดินไปหยิบพวกของกินเล่นเพิ่ม ละจ่ายเงินครับ มันจะคล้ายๆ ร้านร้านหนึ่งในบ้านเราครับ แต่อร่อยกว่านะ
อันนี้เป็นหน้าตาเมนูที่เราสั่งมากินครับ ผมขอแนะนำตัวกุ้งเทมปุระครับ อร่อยดี
หลังจากนั้นเราเดินกลับไปที่สถานี Shinimamiya และนั่งรถไฟไปที่สถานี Tennoji เพื่อไปนั่งรถไฟที่เป็นรถด่วน (Express) จะได้นั่งยาวไปลงที่สถานี Wakayama เลย เมื่อเรามาถึงสถานี Wakayama ผมแนะนำให้นั่งรถบัสครับซึ่งป้ายจะอยู่หน้าสถานีเลย หากใครต้องการข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ภายในสถานีมี Tourist information ไว้คอยให้ข้อมูลอยู่ด้วยครับ
เรานั่งรถบัสมาลงป้ายหน้าทางเข้าปราสาทเลยครับ หน้าทางเข้าจะมีสะพานเล็กๆอยู่ หลังจากเข้ามาให้เดินตรงยาวมาจนเจอรูปปั้นเสือ ตรงไปจะไปปราสาท ส่วนทางขวาจะเป็นสวน Momijidani ครับ
บรรยากาศดูสงบ เหมาะแก่การนั่งกินกาแฟมากๆครับ
จากหน้าทางเข้าปราสาทผมเลี้ยวผิดครับเลี้ยวไปทางขวา เลยไปเจอสวน Momijidani ก่อนครับ ซึ่งเปิดให้เข้าฟรีครับ
บรรยากาศในสวน ให้ความรู้สึกถึงคลอโรฟิลล์สุดๆ ครับ มันเขียวไปหมดเลย ภายในสวนมีร้านขนมหลบซ่อนอยู่หนึ่งร้านครับ เราเลยถือโอกาสแวะเข้าไปชิมสักหน่อย
บรรยากาศภายในร้านครับ
พอเราเดินเข้ามาในร้านเหมือนจะมีกริ่งอัตโนมัติ เรียกพนักงานออกมาบริการครับ สำหรับที่นี่เราไม่ต้องสั่งครับ แค่นั่งรอ เพราะเขามีเมนูเดียวครับ
รอไม่นานขนมและชาเขียวก็มาเสิร์ฟครับ
สำหรับขนมเป็นแป้งไส้ถั่วแดงครับ กินคู่กับชาเขียวอร่อยดีครับ
จากสวน Momijidani ผมเดินกลับไปที่รูปปั้นเสือ เพื่อเดินเข้าสู่ตัวปราสาทครับซึ่งตั้งอยู่บนเขา ระหว่างทางไปปราสาทเราจะมองเห็นสวนสัตว์ด้วยครับ ส่วนระยะทางก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับ
**สำหรับใครที่ถือ JR Pass มีส่วนลดสำหรับค่าเข้านะครับ ให้แจ้งพนักงานได้เลย**
ปราสาทวากายาม่า มีขนาดไม่ใหญ่มากครับ โดยด้านบนสุดจะเป็นจุดชมวิว นอกจากตัวปราสาทแล้ว ข้างๆยังมีอาคารที่เก็บพวกของโบราณไว้แสดงด้วยครับ
บรรยากาศด้านบนปราสาทครับ
หลังจากนั้นเรานั่งรถบัสกลับไปที่สถานี Wakayama เพื่อไปกินมื้อเที่ยงที่ร้าน Ide Shoten ระยะทางประมาณ 1 กม. จากสถานี Wakayama ครับ ร้านมีขนาดเล็กๆ มีที่นั่งประมาณ 15 ที่ มีที่วางกระเป๋าให้
ร้าน Ide Shoten เป็นร้านราเมงที่เคยได้รางวัลจากรายการทีวีแชมป์เปี้ยนครับ ว่าเป็นราเมงที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น บรรยากาศภายในร้าน เราจะเห็นลายเซ็นของคนดังที่เคยแวะเวียนมากินกันมากมายครับ
เมนูที่ต้องสั่งคือ ชูกะโซบะ หรือ วากายาม่าราเมงนั่นเองครับ
วากายาม่าราเมงเป็นโชยุราเมง รสชาติเข้มข้นมากๆครับ ค่อนข้างจะเค็มพอสมควรเลย ใครไม่ชอบทานเค็มอาจจะแย่เอาเหมือนกันนะครับ
นอกจากราเมงแล้วทางร้านมีซูชิขายด้วยครับ โดยวางอยู่บนโต๊ะเลยครับ สามารถหยิบกินได้เลยหรือจะซื้อกลับไปกินก็ได้ครับ
หน้าตาด้านในครับ
รสชาติผมว่าเฉยๆนะ เนื่องจากมันเค็มไปหน่อย
อันนี้เป็นอีกอันนึงครับ
อันนี้ผมก็ว่าเฉยๆนะครับ
จากร้านราเมงเราเดินกลับไปที่ สถานี Wakayama เพื่อรอนั่งรถไฟไปที่ Kii-Katsuura ครับ ที่สถานี Wakayama มีห้างให้เราเดินเล่นด้วยครับ โดยด้านล่างมีของกินขายเพียบเชียวครับ ทั้งคาวทั้งหวาน พอดีช่วงนั้น Godiva ออกเมนูชาเขียวใหม่มา เราก็ถือโอกาสชิมซะเลยครับ
อร่อยมากๆครับ
จากสถานี Wakayama เราต้องนั่งไปลงที่สถานี Kii-Katsuura ครับ โดยนั่งรถที่ป้ายหมายเลข 5 ปลายทางไป Shingu ครับ
บรรยากาศภายในรถ
รถไฟเส้นนี้เป็นรถไฟที่วิ่งได้โหดมากครับ คือกระแทกแรงๆตลอดทาง ไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยครับ กล้องมันจับโฟกัสไม่ได้ แนะนำให้นอนครับ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. ครับ สำหรับใครที่จะมาให้เช็คเวลารถไฟดีๆนะครับ เพราะรถ exp มันไม่ได้วิ่งตลอดครับ อาจจะต้องวางแผนเรื่องเวลานิดนึงครับ เพราะถ้าพลาดมาจะลำบากครับ
เรามาถึงที่สถานี Kii-Katsuura ทุ่มกว่าๆ คือออกมาจากรถไฟมันมืดหมดแล้วครับแถมฝนยังตกอีก เราเดินฝ่าฝนไปที่โรงแรมครับ โรงแรมของเราในคืนนี้คือ Hotel Charmant โรงแรมดีมากเลยครับเตรียมข้อมูลทุกอย่างไว้ให้หมดแล้วครับทั้งแผนที่และวิธีการเดินทางไปเจดีย์ Sunjutono แต่คุณป้าแกก็จะบรีฟให้เราฟังอีกครั้งนึงครับ ว่าจะต้องไปขึ้นลงที่สถานีไหน ไปยังไง ตารางรถบัสให้ขึ้นเที่ยวไหน ร้านสะดวกซื้อใกล้โรงแรมอยู่ตรงไหน คุณป้าที่ดูแลโรงแรมแกจะพูดอังกฤษกะญี่ปุ่นผสมกันนะครับอาจจะฟังยากนิดนึงครับ
ข้อมูลที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ครับ
เราเข้าไปเก็บของที่ห้องพักก่อนครับ ก่อนออกไปกินข้าว ห้องดูเล็กๆน่ารัก ราคาตกอยู่ที่คืนละ 3442 บาทครับ
อันนี้หน้าตาที่พักครับ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง ในตู้เย็นมีของกินให้ด้วยครับ
ห้องน้ำครับ
เราขอให้คุณป้าช่วยแนะนำร้านอาหารให้ครับ แกแนะนำร้าน Takehara มาครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเดินไปประมาณ 50 เมตรก็ถึงแล้วครับร้านจะอยู่ตรงหัวมุมเลย ภายในร้านมีที่นั่งไม่กี่ที่นะครับ มีเพียงเคาร์เตอร์หน้าเชฟเท่านั้น เมนูไม่มีภาษาอังกฤษเลยครับ โชคดีที่พี่ผู้ช่วยเชฟแกเป็นคนไทยครับ เลยสั่งอาหารกันง่ายหน่อย
เราเริ่มต้นด้วย Maguro Set ครับ ราคาอยู่ที่จานละ 1600 เยนครับ เราสั่งมาคนละจานครับ ใน 1 จานจะมีเนื้อทั้งสามแบบเลยครับ ทั้งอาคามิ ชูโทโร่ และ โอโทโร่ ครับ
ซูมให้ดูโอโทโร่ชัดๆครับ
สำหรับโอโทโร่นะครับ บอกเลยว่าฟินมากครับ มันละลายไปเลยครับ ละเนื้อแบบยังเย็นๆอยู่เลย อร่อยมากๆครับ ไม่ใช่แค่โอโทโร่นะครับที่อร่อย ทั้งชูโทโร่และอาคามิ ก็เนื้อหวานรสชาติดีมากๆครับ แต่โดนโอโทโร่ไปสองชิ้นก็แอบเลี่ยนเหมือนกันครับ
นอกจากมากุโร่แล้ว ผมสั่งหอยซาซาเอะมาด้วยครับ ทั้งแบบซาซิมิและแบบย่างครับ
จานนี้เป็นแบบซาซิมิครับ เชฟจะหั่นเนื้อเป็นชิ้นพอดีคำมาให้ครับ และแยกส่วนของเครื่องในหอยไว้ต่างหากครับ เนื้อหวานกรอบดีครับ แต่ส่วนที่อยู่ใกล้ส่วนเครื่องในก็มีรสขมบางๆครับ
ส่วนของเครื่องในครับ บอกเลยครับว่าขมหน้าเบี้ยวกันเลยทีเดียว แต่พี่ผู้ช่วยเชฟบอกว่า เค้าว่ามันเป็นยานะ โอเคครับจัดไปตามนั้น
ในส่วนของหอยซาซาเอะย่างครับ
อันนี้เราต้องเปิดฝามันและแงะออกมาเองครับ ผมตัดส่วนที่มันขมเก็บไว้ก่อนครับ ลองกินแค่เนื้อมันก่อนครับ
หน้าตาของเนื้อเป็นแบบนี้ครับ
อันนี้ผมว่าเนื้อมันก็ขมนะ เหมือนพอมันย่างละน้ำมันออกมาทำให้มันขมไปทั้งหมดครับ จานนี้ไม่ค่อยอร่อยครับ แต่สั่งมาแล้วก็ต้องจัดให้หมดครับ ถ้ามีน้ำจิ้มซีฟู๊ดน่าจะพอล้างความขมได้บ้างครับ
เชฟแกเอารูปคุณฮิโระให้ดูด้วยครับว่าแกเคยมาเมื่อนานมาแล้วครับ
สำหรับค่าอาหารในมื้อนี้ตกอยู่ที่ 6264 เยนครับ แต่คุ้มค่ามากๆครับ สำหรับการได้กิน Maguro ที่รสชาติแบบนั้น ผมบอกได้เลยครับ สำหรับผมมันคือทูน่าที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาแล้วครับ ยังคิดถึงความละลายในปากตราบจนทุกวันนี้ครับ
<<กลับไปกระทู้หลัก>>
รีวิวเที่ยวโซนคันไซ 7 วัน (คิโนซากิออนเซน, โกเบ, เกียวโต, วากายาม่า, คุมาโนะ, และ โอซาก้า) เดินทางโดยสายการบิน Jal
https://ppantip.com/topic/38339283
[CR] เที่ยว Wakayama ชิมราเมงดีกรีแชมป์ และฟินกับสุดยอด Maguro จากคาบสมุทร Kii
12/11/2018
จากโรงแรม FP South Hotel Namba เราเดินไปฝากกระเป๋าที่ โรงแรมที่จะพักในคืนที่ 13-14/11/2018 (Hotel WBF Art Stay Namba) โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในเส้น Den Den Town ครับ ระยะทางประมาณกิโลนิดๆจากโรงแรมแรก โชคดีที่ทางโรงแรมไม่ได้คิดค่าบริการในส่วนนี้ หลังจากนั้นเราไปกินข้าวเช้าที่ร้านอุด้งข้างโรงแรมครับ
สำหรับร้านนี้เป็นร้านขายอุด้งครับ ราคาเริ่มต้นที่ 210 เยนครับ เป็นร้านแบบยืนกินนะครับ เราสามารถสั่งอาหารจากทางพ่อครัวได้เลยครับ และเดินไปหยิบพวกของกินเล่นเพิ่ม ละจ่ายเงินครับ มันจะคล้ายๆ ร้านร้านหนึ่งในบ้านเราครับ แต่อร่อยกว่านะ
อันนี้เป็นหน้าตาเมนูที่เราสั่งมากินครับ ผมขอแนะนำตัวกุ้งเทมปุระครับ อร่อยดี
หลังจากนั้นเราเดินกลับไปที่สถานี Shinimamiya และนั่งรถไฟไปที่สถานี Tennoji เพื่อไปนั่งรถไฟที่เป็นรถด่วน (Express) จะได้นั่งยาวไปลงที่สถานี Wakayama เลย เมื่อเรามาถึงสถานี Wakayama ผมแนะนำให้นั่งรถบัสครับซึ่งป้ายจะอยู่หน้าสถานีเลย หากใครต้องการข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ภายในสถานีมี Tourist information ไว้คอยให้ข้อมูลอยู่ด้วยครับ
เรานั่งรถบัสมาลงป้ายหน้าทางเข้าปราสาทเลยครับ หน้าทางเข้าจะมีสะพานเล็กๆอยู่ หลังจากเข้ามาให้เดินตรงยาวมาจนเจอรูปปั้นเสือ ตรงไปจะไปปราสาท ส่วนทางขวาจะเป็นสวน Momijidani ครับ
บรรยากาศดูสงบ เหมาะแก่การนั่งกินกาแฟมากๆครับ
จากหน้าทางเข้าปราสาทผมเลี้ยวผิดครับเลี้ยวไปทางขวา เลยไปเจอสวน Momijidani ก่อนครับ ซึ่งเปิดให้เข้าฟรีครับ
บรรยากาศในสวน ให้ความรู้สึกถึงคลอโรฟิลล์สุดๆ ครับ มันเขียวไปหมดเลย ภายในสวนมีร้านขนมหลบซ่อนอยู่หนึ่งร้านครับ เราเลยถือโอกาสแวะเข้าไปชิมสักหน่อย
บรรยากาศภายในร้านครับ
พอเราเดินเข้ามาในร้านเหมือนจะมีกริ่งอัตโนมัติ เรียกพนักงานออกมาบริการครับ สำหรับที่นี่เราไม่ต้องสั่งครับ แค่นั่งรอ เพราะเขามีเมนูเดียวครับ รอไม่นานขนมและชาเขียวก็มาเสิร์ฟครับ
สำหรับขนมเป็นแป้งไส้ถั่วแดงครับ กินคู่กับชาเขียวอร่อยดีครับ
จากสวน Momijidani ผมเดินกลับไปที่รูปปั้นเสือ เพื่อเดินเข้าสู่ตัวปราสาทครับซึ่งตั้งอยู่บนเขา ระหว่างทางไปปราสาทเราจะมองเห็นสวนสัตว์ด้วยครับ ส่วนระยะทางก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับ
**สำหรับใครที่ถือ JR Pass มีส่วนลดสำหรับค่าเข้านะครับ ให้แจ้งพนักงานได้เลย**
ปราสาทวากายาม่า มีขนาดไม่ใหญ่มากครับ โดยด้านบนสุดจะเป็นจุดชมวิว นอกจากตัวปราสาทแล้ว ข้างๆยังมีอาคารที่เก็บพวกของโบราณไว้แสดงด้วยครับ
บรรยากาศด้านบนปราสาทครับ
หลังจากนั้นเรานั่งรถบัสกลับไปที่สถานี Wakayama เพื่อไปกินมื้อเที่ยงที่ร้าน Ide Shoten ระยะทางประมาณ 1 กม. จากสถานี Wakayama ครับ ร้านมีขนาดเล็กๆ มีที่นั่งประมาณ 15 ที่ มีที่วางกระเป๋าให้
ร้าน Ide Shoten เป็นร้านราเมงที่เคยได้รางวัลจากรายการทีวีแชมป์เปี้ยนครับ ว่าเป็นราเมงที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น บรรยากาศภายในร้าน เราจะเห็นลายเซ็นของคนดังที่เคยแวะเวียนมากินกันมากมายครับ
เมนูที่ต้องสั่งคือ ชูกะโซบะ หรือ วากายาม่าราเมงนั่นเองครับ
วากายาม่าราเมงเป็นโชยุราเมง รสชาติเข้มข้นมากๆครับ ค่อนข้างจะเค็มพอสมควรเลย ใครไม่ชอบทานเค็มอาจจะแย่เอาเหมือนกันนะครับ
นอกจากราเมงแล้วทางร้านมีซูชิขายด้วยครับ โดยวางอยู่บนโต๊ะเลยครับ สามารถหยิบกินได้เลยหรือจะซื้อกลับไปกินก็ได้ครับ
หน้าตาด้านในครับ
รสชาติผมว่าเฉยๆนะ เนื่องจากมันเค็มไปหน่อย
อันนี้เป็นอีกอันนึงครับ
อันนี้ผมก็ว่าเฉยๆนะครับ
จากร้านราเมงเราเดินกลับไปที่ สถานี Wakayama เพื่อรอนั่งรถไฟไปที่ Kii-Katsuura ครับ ที่สถานี Wakayama มีห้างให้เราเดินเล่นด้วยครับ โดยด้านล่างมีของกินขายเพียบเชียวครับ ทั้งคาวทั้งหวาน พอดีช่วงนั้น Godiva ออกเมนูชาเขียวใหม่มา เราก็ถือโอกาสชิมซะเลยครับ
อร่อยมากๆครับ
จากสถานี Wakayama เราต้องนั่งไปลงที่สถานี Kii-Katsuura ครับ โดยนั่งรถที่ป้ายหมายเลข 5 ปลายทางไป Shingu ครับ
บรรยากาศภายในรถ
รถไฟเส้นนี้เป็นรถไฟที่วิ่งได้โหดมากครับ คือกระแทกแรงๆตลอดทาง ไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยครับ กล้องมันจับโฟกัสไม่ได้ แนะนำให้นอนครับ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. ครับ สำหรับใครที่จะมาให้เช็คเวลารถไฟดีๆนะครับ เพราะรถ exp มันไม่ได้วิ่งตลอดครับ อาจจะต้องวางแผนเรื่องเวลานิดนึงครับ เพราะถ้าพลาดมาจะลำบากครับ
เรามาถึงที่สถานี Kii-Katsuura ทุ่มกว่าๆ คือออกมาจากรถไฟมันมืดหมดแล้วครับแถมฝนยังตกอีก เราเดินฝ่าฝนไปที่โรงแรมครับ โรงแรมของเราในคืนนี้คือ Hotel Charmant โรงแรมดีมากเลยครับเตรียมข้อมูลทุกอย่างไว้ให้หมดแล้วครับทั้งแผนที่และวิธีการเดินทางไปเจดีย์ Sunjutono แต่คุณป้าแกก็จะบรีฟให้เราฟังอีกครั้งนึงครับ ว่าจะต้องไปขึ้นลงที่สถานีไหน ไปยังไง ตารางรถบัสให้ขึ้นเที่ยวไหน ร้านสะดวกซื้อใกล้โรงแรมอยู่ตรงไหน คุณป้าที่ดูแลโรงแรมแกจะพูดอังกฤษกะญี่ปุ่นผสมกันนะครับอาจจะฟังยากนิดนึงครับ
ข้อมูลที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ครับ
เราเข้าไปเก็บของที่ห้องพักก่อนครับ ก่อนออกไปกินข้าว ห้องดูเล็กๆน่ารัก ราคาตกอยู่ที่คืนละ 3442 บาทครับ
อันนี้หน้าตาที่พักครับ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง ในตู้เย็นมีของกินให้ด้วยครับ
ห้องน้ำครับ
เราขอให้คุณป้าช่วยแนะนำร้านอาหารให้ครับ แกแนะนำร้าน Takehara มาครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเดินไปประมาณ 50 เมตรก็ถึงแล้วครับร้านจะอยู่ตรงหัวมุมเลย ภายในร้านมีที่นั่งไม่กี่ที่นะครับ มีเพียงเคาร์เตอร์หน้าเชฟเท่านั้น เมนูไม่มีภาษาอังกฤษเลยครับ โชคดีที่พี่ผู้ช่วยเชฟแกเป็นคนไทยครับ เลยสั่งอาหารกันง่ายหน่อย
เราเริ่มต้นด้วย Maguro Set ครับ ราคาอยู่ที่จานละ 1600 เยนครับ เราสั่งมาคนละจานครับ ใน 1 จานจะมีเนื้อทั้งสามแบบเลยครับ ทั้งอาคามิ ชูโทโร่ และ โอโทโร่ ครับ
ซูมให้ดูโอโทโร่ชัดๆครับ
สำหรับโอโทโร่นะครับ บอกเลยว่าฟินมากครับ มันละลายไปเลยครับ ละเนื้อแบบยังเย็นๆอยู่เลย อร่อยมากๆครับ ไม่ใช่แค่โอโทโร่นะครับที่อร่อย ทั้งชูโทโร่และอาคามิ ก็เนื้อหวานรสชาติดีมากๆครับ แต่โดนโอโทโร่ไปสองชิ้นก็แอบเลี่ยนเหมือนกันครับ
นอกจากมากุโร่แล้ว ผมสั่งหอยซาซาเอะมาด้วยครับ ทั้งแบบซาซิมิและแบบย่างครับ
จานนี้เป็นแบบซาซิมิครับ เชฟจะหั่นเนื้อเป็นชิ้นพอดีคำมาให้ครับ และแยกส่วนของเครื่องในหอยไว้ต่างหากครับ เนื้อหวานกรอบดีครับ แต่ส่วนที่อยู่ใกล้ส่วนเครื่องในก็มีรสขมบางๆครับ
ส่วนของเครื่องในครับ บอกเลยครับว่าขมหน้าเบี้ยวกันเลยทีเดียว แต่พี่ผู้ช่วยเชฟบอกว่า เค้าว่ามันเป็นยานะ โอเคครับจัดไปตามนั้น
ในส่วนของหอยซาซาเอะย่างครับ
อันนี้เราต้องเปิดฝามันและแงะออกมาเองครับ ผมตัดส่วนที่มันขมเก็บไว้ก่อนครับ ลองกินแค่เนื้อมันก่อนครับ
หน้าตาของเนื้อเป็นแบบนี้ครับ
อันนี้ผมว่าเนื้อมันก็ขมนะ เหมือนพอมันย่างละน้ำมันออกมาทำให้มันขมไปทั้งหมดครับ จานนี้ไม่ค่อยอร่อยครับ แต่สั่งมาแล้วก็ต้องจัดให้หมดครับ ถ้ามีน้ำจิ้มซีฟู๊ดน่าจะพอล้างความขมได้บ้างครับ
เชฟแกเอารูปคุณฮิโระให้ดูด้วยครับว่าแกเคยมาเมื่อนานมาแล้วครับ
สำหรับค่าอาหารในมื้อนี้ตกอยู่ที่ 6264 เยนครับ แต่คุ้มค่ามากๆครับ สำหรับการได้กิน Maguro ที่รสชาติแบบนั้น ผมบอกได้เลยครับ สำหรับผมมันคือทูน่าที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาแล้วครับ ยังคิดถึงความละลายในปากตราบจนทุกวันนี้ครับ
<<กลับไปกระทู้หลัก>>
รีวิวเที่ยวโซนคันไซ 7 วัน (คิโนซากิออนเซน, โกเบ, เกียวโต, วากายาม่า, คุมาโนะ, และ โอซาก้า) เดินทางโดยสายการบิน Jal
https://ppantip.com/topic/38339283
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้