สวัสดีครับชาว Pantip ทุกคน สำหรับ [Short Review] ฉบับที่ 14 นี้ ผมจะมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวเมือง Wakayama ซึ่งบอกเลยว่าประทับใจมากครับ จริงๆแล้วจะบอกว่ามาเที่ยวก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะผมและเพื่อนๆมาศึกษาดูงานที่ Wakayama Medical University เลยมีโอกาสได้เที่ยวมากกว่าครับ
Wakayama เมืองทางตอนใต้ของภูมิภาคคันไซ นั่งรถไฟจากโอซาก้าใช้เวลาแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจะนั่งรถบัสจากสนามบินคันไซก็แค่ 40 นาทีเองครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า Wakayama เป็นเมืองที่มีความสวยงามและมีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองอื่นในญี่ปุ่นเลย สถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย อาหารทะเลสดและอร่อยมาก ผลไม้ตามฤดูกาลรสเยี่ยม รวมถึงผู้คนก็น่ารักและอัธยาศัยดีด้วย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากสำหรับการมาเมือง Wakayama ในครั้งนี้
ในช่วงวันหยุดพวกผมมีโอกาสได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวหลายที่เลยครับ โดยในวันแรกเริ่มกันที่ Koyasan หรือภูเขาโคยะ หนึ่งในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย บน Koyasan นั้นเต็มไปด้วยพุทธสถานเก่าแก่นับ 1,000 ปี เหมาะกับการมาแสวงบุญหรือท่องเที่ยวเชิงวิถีพุทธอย่างยิ่ง ถ้าใครมีโอกาสแนะนำว่าห้ามพลาดเด็ดขาด
09.00 น. พวกผมออกเดินทางจากสถานี JR Wakayama ไปลงที่สถานี JR Hashimoto ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง กับอีก 3 นาที
จากนั้นก็ต่อ Nankai bus ไปยังสถานี Gokurakubashi แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถบัสอีกต่อ เพื่อขึ้นไปยัง Koyasan สำหรับวันที่ผมเดินทางนั้น อาจจะดูลำบากหน่อยครับ เพราะต้องนั่งรถบัสหลายต่อ เนื่องจาก JR และ cable car เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค จึงไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
พวกผมมาถึงสถานีรถบัส Kongobuji-mae บน Koyasan ประมาณ 11.15 น. พอลงจากรถเท่านั้นแหละ ต้องรีบควานหาเสื้อกันหนาวมาใส่ทันที เพราะที่นี่อากาศเย็นมาก อุณหภูมิประมาณ 0-3 องศา หลังจากใส่เสื้อกันหนาวก็พออุ่นขึ้นบ้าง จากนั้นพวกผมเริ่มต้นจากการเดินชมวัด Kongobuji ก่อน ซึ่งวัด Kongobuji ถือเป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายชินกอน ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1593 โดยท่าน Toyotomi Hideyoshi เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับมารดาที่เสียชีวิต
บริเวณด้านหน้าของวัด Kongobuji จะมีศาลาบ่อน้ำสำหรับล้างมือก่อนที่จะเข้าไปภายในวัด
พอเดินผ่านประตูวัดเข้ามา ก็จะเจอตัวอาคารไม้ ซึ่งเป็นส่วนบริเวณของห้องโถง “โอฮิโรมะ” ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมที่มีความสำคัญ
ภายในวัดยังรายล้อมไปด้วยอาคารไม้น้อยใหญ่ บานประตู หลังคาและผนังของตัวอาคาร ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความปราณีตและความละเมียดละไมของผู้สร้างในสมัยก่อน บอกได้คำเดียวว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากครับ อยากให้ทุกคนได้มาเห็นด้วยกันครับ ส่วนใครอยากเข้าไปข้างในตัวอาคาร ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมคนละ 500 ¥
เสร็จจากวัด Kongobuji พวกผมก็ออกมาทางประตูเดิม แล้วเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเจดีย์ Konpon Daito เจดีย์สีแดงขนาดใหญ่ ที่มีความสูงถึง 48.5 เมตร และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ไฮไลค์ของ Koyasan
เดินผ่านเจดีย์ Konpon Daito มาทางทิศตะวันตก ก็จะเจออาคาร Miedo ซึ่งเป็นห้องโถงของผู้ก่อตั้งในสมัยก่อน
ถัดจากอาคาร Miedo ก็จะเป็นเจดีย์ Saito เจดีย์รูปแบบอินเดีย ที่แตกต่างจากเจดีย์ทั่วไปของญี่ปุ่น อายุเก่าแก่นับ 1000 ปี แต่ยังคงความสวยงามตราบจนถึงทุกวันนี้ครับ
หลังจากใช้เวลาเดินในโซนนี้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ พวกผมก็เดินย้อนกลับมาออกทางประตู chumon gate เพื่อจะเเวะหาอะไรรองท้องก่อน พอผ่านประตู chumon gate ออกมา จะมองเห็นบึงบัวที่มีสระพานสีแดงทอดข้าม สามารถข้ามสะพานแดงไปยังเกาะกลางบึงเพื่อไปไหว้ศาลเจ้าได้ครับ
หลังจากฝากท้องมื้อเที่ยงที่ Family Mart พวกผมก็ออกเดินต่อเพื่อไปยังเขตสุสานโบราณ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูฝั่ง Daimon gate เดินผ่านมาเรื่อยๆจะเจอสมาคมท่องเที่ยวของ Koyasan
เดินผ่านหน้าวัด Kongobuji อีกรอบ เพื่อมุ่งหน้าสู่เขตสุสานโบราณ ระหว่างทางก็จะเป็นเขตชุมชน ที่สองฟากฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกครับ
ตกบ่ายมาฟ้าเริ่มครึ้ม ไม่มีแสงแดดเหมือนช่วงเช้า อากาศที่ว่าหนาวอยู่แล้ว พอไม่มีแดดยิ่งหนาวขึ้นไปอีก ผมจึงแวะจิบชาร้อน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ภายในร้านชาจะขายขนมสดหลากหลายชนิดสำหรับกินคู่กับชาร้อนที่มีบริการฟรี ซึ่งผมชอบมากเลยครับ เวลากินขนมสดพร้อมกับจิบชาร้อนๆ ขนมแทบจะละลายในปากทันที เป็นอะไรที่เข้ากันมากครับ
ภายในร้านชายังขายขนมขบเคี้ยวและของฝากอีกด้วย แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลยครับ แต่เสียดายไม่ได้ซื้อติดไม้ติดมือมาด้วย
หลังจากเเวะดื่มน้ำชาเสร็จ ก็ออกเดินต่อเพื่อไปยังโซนสุสานโบราณ ถึงแม้ระยะทางจะไกลพอสมควร แต่พอได้เห็นความงดงามของอาคารไม้เก่าแก่ตลอดแนวถนน ล้อมรอบด้วยสวนญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ก็ทำให้เพลิดเพลินและหายเหนื่อยไปเลยครับ
ในที่สุดก็มาถึงปากทางเข้าสุสานโบราณแล้วครับ บรรยากาศเงียบสงบ ออกไปทางแนววังเวงซะด้วยซ้ำ แถมฟ้าครึ้มไม่มีแม้แสงแดดส่องผ่าน เหมือนหลุดมาอยู่ในอีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้นเลย
สุสาน Okunoin ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดใน Koyasan ก็ว่าได้ ภายในสุสานเต็มไปด้วยหลุมฝังศพมากกว่า 200,000 หลุม ตลอดแนวระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ภายในโซนสุสานเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน มอสสีเขียวขึ้นตามแนวพื้นหิน ยิ่งทำให้บรรยากาศดูมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ
พวกผมเดินภายในโซนสุสาน Okunoin ได้ประมาณซักครึ่งชั่วโมง ก็เดินกลับออกมาทางเดิม เพราะถึงเวลาที่ต้องกลับ Wakayama แล้ว น่าเสียดายมากที่ไม่ได้เดินไปจนสุดเส้นทาง เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้กลับมาอีก รับรองไม่พลาดแน่นอนครับ จากนั้นผมกลับไปยัง Wakayama ตามเส้นทางเดิม โดยขึ้นรถบัสจากสถานี Kongobuji-mae มาลงที่สถานี Hashimoto จากนั้นนั่ง JR Hashimoto ต่อไปยังสถานี JR Wakayama ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
พวกผมมาถึงหอพักที่ Wakayama ประมาณ 18.30 น. รีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะอาจารย์ชาวญี่ปุ่นจะมารับไปกิน Okonomiyaki ร้านดังของเมือง Wakayama อาจารย์ชาวญี่ปุ่นบอกว่า Okonomiyaki อาจจะหากินที่อื่นได้บ้าง แต่ถ้าอยากกิน Okonomiyaki รสชาติต้นตำรับต้องมาร้านนี้เท่านั้น และต้องจองล่วงหน้าก่อนถึงจะมากินร้านนี้ได้
บรรยากาศภายในร้าน Okonomiyaki จะเป็นโต๊ะสไตล์ญี่ปุ่น 1 โต๊ะนั่งได้ 4 คน ตรงกลางโต๊ะเป็นกระทะร้อนสำหรับทอด Okonomiyaki ซึ่งแต่ละโต๊ะก็จะมีพวกเครื่องปรุง เช่น ซอสหวาน ซอสเผ็ด พริกป่น พริกไทย มายองเนส จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน
พอสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย พนักงานก็จะนำอาหารที่สั่งไว้มาเสริ์ฟที่โต๊ะ หน้าตาของอาหารก็จะมาประมาณนี้เลยครับ
การทอด Okonomiyaki ลำดับแรกให้นำหมูสไลด์ย่างลงบนกระทะให้เหลืองพอประมาณ
ในระหว่างที่รอหมูสไลค์สุก ให้คนส่วนผสมของ Okonomiyaki ให้เข้ากัน จากนั้นก็เทส่วนผสมทั้งหมดลงไปทอดในกระทะ
จับเวลา 5 นาที หลังครบ 5 นาทีแล้ว ก็กลับด้านแผ่น Okonumiyaki
หลังจากกลับด้านแล้ว จับเวลาอีก 5 นาที พอครบเวลาก็กลับด้าน Okonumiyaki อีก 1 รอบ แล้วรออีก 5 นาที ก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นก็ตัดแบ่ง Okonumiyaki ออกเป็น 4 ส่วน แจกจ่ายให้สมาชิกแต่ละคน ใครจะเติมซอส เติมมายองเนส เติมพริกป่น ก็สามารถเติมได้ตามใจชอบ
รสชาติ Okonomiyaki จะออกหวานมัน แต่ก็มีความกลมกล่อมของส่วนผสมซ่อนอยู่ ถามว่าอร่อยไม โดยส่วนตัวผมก็ว่าอร่อยนะครับ ผมกินไปเยอะมาก ประมาณ 4 ชิ้นได้ พอกินไปเยอะๆอาจจะรู้สึกเลี่ยนๆหน่อย จึงแนะนำว่านานๆกินทีน่าจะดีกว่า หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้ว อาจารย์ชาวญี่ปุ่นก็ให้รถมาส่งพวกผมที่หอพัก จากนั้นแยกย้ายกันพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปปราสาท Wakayama และฟาร์มสตอเบอรี่ครับ
วันที่ 2 เวลา 09.00 น. รถที่อาจารย์ชาวญี่ปุ่นจัดเตรียมไว้ให้มารับพวกผมที่หอพัก เพื่อพาไปปราสาท Wakayama โดยรถมาจอดส่งบริเวณทางเข้าสวน Nishinomaru Teien ซึ่งเป็นสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จนได้รับยกย่องให้เป็น Place of Scenic Beauty ของญี่ปุ่นเลยแหละ และสะพานไม้ที่มองเห็นอยู่นั้นคือ สะพานโอฮาชิโอกะ ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับบรรดาเหล่าขุนนางในสมัยก่อน
หลังเดินเล่นในสวน Nishinomaru Teien ประมาณ 30 นาที ผมก็เดินวนหาทางขึ้นปราสาท Wakayama วันนี้อากาศยังหนาวเช่นเดิม แต่โชคดีที่ยังมีแดดอ่อนๆพอให้ความอบอุ่นได้บ้าง ระหว่างทางขึ้นไปยังตัวปราสาทนั้น ก็จะเห็นคุณครูพาเด็กอนุบาลมานั่งปิกนิกรับแสงแดดกัน เด็กๆยิ้มแย้มแจ่มใสและดูมีความสุขมากครับ
[CR] [Short Review] รีวิวประสบการณ์เที่ยว “เมือง Wakayama”
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกคน สำหรับ [Short Review] ฉบับที่ 14 นี้ ผมจะมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวเมือง Wakayama ซึ่งบอกเลยว่าประทับใจมากครับ จริงๆแล้วจะบอกว่ามาเที่ยวก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะผมและเพื่อนๆมาศึกษาดูงานที่ Wakayama Medical University เลยมีโอกาสได้เที่ยวมากกว่าครับ
Wakayama เมืองทางตอนใต้ของภูมิภาคคันไซ นั่งรถไฟจากโอซาก้าใช้เวลาแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจะนั่งรถบัสจากสนามบินคันไซก็แค่ 40 นาทีเองครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า Wakayama เป็นเมืองที่มีความสวยงามและมีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองอื่นในญี่ปุ่นเลย สถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย อาหารทะเลสดและอร่อยมาก ผลไม้ตามฤดูกาลรสเยี่ยม รวมถึงผู้คนก็น่ารักและอัธยาศัยดีด้วย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากสำหรับการมาเมือง Wakayama ในครั้งนี้
ในช่วงวันหยุดพวกผมมีโอกาสได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวหลายที่เลยครับ โดยในวันแรกเริ่มกันที่ Koyasan หรือภูเขาโคยะ หนึ่งในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย บน Koyasan นั้นเต็มไปด้วยพุทธสถานเก่าแก่นับ 1,000 ปี เหมาะกับการมาแสวงบุญหรือท่องเที่ยวเชิงวิถีพุทธอย่างยิ่ง ถ้าใครมีโอกาสแนะนำว่าห้ามพลาดเด็ดขาด
09.00 น. พวกผมออกเดินทางจากสถานี JR Wakayama ไปลงที่สถานี JR Hashimoto ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง กับอีก 3 นาที
จากนั้นก็ต่อ Nankai bus ไปยังสถานี Gokurakubashi แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถบัสอีกต่อ เพื่อขึ้นไปยัง Koyasan สำหรับวันที่ผมเดินทางนั้น อาจจะดูลำบากหน่อยครับ เพราะต้องนั่งรถบัสหลายต่อ เนื่องจาก JR และ cable car เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค จึงไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
พวกผมมาถึงสถานีรถบัส Kongobuji-mae บน Koyasan ประมาณ 11.15 น. พอลงจากรถเท่านั้นแหละ ต้องรีบควานหาเสื้อกันหนาวมาใส่ทันที เพราะที่นี่อากาศเย็นมาก อุณหภูมิประมาณ 0-3 องศา หลังจากใส่เสื้อกันหนาวก็พออุ่นขึ้นบ้าง จากนั้นพวกผมเริ่มต้นจากการเดินชมวัด Kongobuji ก่อน ซึ่งวัด Kongobuji ถือเป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายชินกอน ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1593 โดยท่าน Toyotomi Hideyoshi เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับมารดาที่เสียชีวิต
บริเวณด้านหน้าของวัด Kongobuji จะมีศาลาบ่อน้ำสำหรับล้างมือก่อนที่จะเข้าไปภายในวัด
พอเดินผ่านประตูวัดเข้ามา ก็จะเจอตัวอาคารไม้ ซึ่งเป็นส่วนบริเวณของห้องโถง “โอฮิโรมะ” ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมที่มีความสำคัญ
ภายในวัดยังรายล้อมไปด้วยอาคารไม้น้อยใหญ่ บานประตู หลังคาและผนังของตัวอาคาร ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความปราณีตและความละเมียดละไมของผู้สร้างในสมัยก่อน บอกได้คำเดียวว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากครับ อยากให้ทุกคนได้มาเห็นด้วยกันครับ ส่วนใครอยากเข้าไปข้างในตัวอาคาร ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมคนละ 500 ¥
เสร็จจากวัด Kongobuji พวกผมก็ออกมาทางประตูเดิม แล้วเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเจดีย์ Konpon Daito เจดีย์สีแดงขนาดใหญ่ ที่มีความสูงถึง 48.5 เมตร และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ไฮไลค์ของ Koyasan
เดินผ่านเจดีย์ Konpon Daito มาทางทิศตะวันตก ก็จะเจออาคาร Miedo ซึ่งเป็นห้องโถงของผู้ก่อตั้งในสมัยก่อน
ถัดจากอาคาร Miedo ก็จะเป็นเจดีย์ Saito เจดีย์รูปแบบอินเดีย ที่แตกต่างจากเจดีย์ทั่วไปของญี่ปุ่น อายุเก่าแก่นับ 1000 ปี แต่ยังคงความสวยงามตราบจนถึงทุกวันนี้ครับ
หลังจากใช้เวลาเดินในโซนนี้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ พวกผมก็เดินย้อนกลับมาออกทางประตู chumon gate เพื่อจะเเวะหาอะไรรองท้องก่อน พอผ่านประตู chumon gate ออกมา จะมองเห็นบึงบัวที่มีสระพานสีแดงทอดข้าม สามารถข้ามสะพานแดงไปยังเกาะกลางบึงเพื่อไปไหว้ศาลเจ้าได้ครับ
หลังจากฝากท้องมื้อเที่ยงที่ Family Mart พวกผมก็ออกเดินต่อเพื่อไปยังเขตสุสานโบราณ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูฝั่ง Daimon gate เดินผ่านมาเรื่อยๆจะเจอสมาคมท่องเที่ยวของ Koyasan
เดินผ่านหน้าวัด Kongobuji อีกรอบ เพื่อมุ่งหน้าสู่เขตสุสานโบราณ ระหว่างทางก็จะเป็นเขตชุมชน ที่สองฟากฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกครับ
ตกบ่ายมาฟ้าเริ่มครึ้ม ไม่มีแสงแดดเหมือนช่วงเช้า อากาศที่ว่าหนาวอยู่แล้ว พอไม่มีแดดยิ่งหนาวขึ้นไปอีก ผมจึงแวะจิบชาร้อน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ภายในร้านชาจะขายขนมสดหลากหลายชนิดสำหรับกินคู่กับชาร้อนที่มีบริการฟรี ซึ่งผมชอบมากเลยครับ เวลากินขนมสดพร้อมกับจิบชาร้อนๆ ขนมแทบจะละลายในปากทันที เป็นอะไรที่เข้ากันมากครับ
ภายในร้านชายังขายขนมขบเคี้ยวและของฝากอีกด้วย แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลยครับ แต่เสียดายไม่ได้ซื้อติดไม้ติดมือมาด้วย
หลังจากเเวะดื่มน้ำชาเสร็จ ก็ออกเดินต่อเพื่อไปยังโซนสุสานโบราณ ถึงแม้ระยะทางจะไกลพอสมควร แต่พอได้เห็นความงดงามของอาคารไม้เก่าแก่ตลอดแนวถนน ล้อมรอบด้วยสวนญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ก็ทำให้เพลิดเพลินและหายเหนื่อยไปเลยครับ
ในที่สุดก็มาถึงปากทางเข้าสุสานโบราณแล้วครับ บรรยากาศเงียบสงบ ออกไปทางแนววังเวงซะด้วยซ้ำ แถมฟ้าครึ้มไม่มีแม้แสงแดดส่องผ่าน เหมือนหลุดมาอยู่ในอีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้นเลย
สุสาน Okunoin ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดใน Koyasan ก็ว่าได้ ภายในสุสานเต็มไปด้วยหลุมฝังศพมากกว่า 200,000 หลุม ตลอดแนวระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ภายในโซนสุสานเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน มอสสีเขียวขึ้นตามแนวพื้นหิน ยิ่งทำให้บรรยากาศดูมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ
พวกผมเดินภายในโซนสุสาน Okunoin ได้ประมาณซักครึ่งชั่วโมง ก็เดินกลับออกมาทางเดิม เพราะถึงเวลาที่ต้องกลับ Wakayama แล้ว น่าเสียดายมากที่ไม่ได้เดินไปจนสุดเส้นทาง เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้กลับมาอีก รับรองไม่พลาดแน่นอนครับ จากนั้นผมกลับไปยัง Wakayama ตามเส้นทางเดิม โดยขึ้นรถบัสจากสถานี Kongobuji-mae มาลงที่สถานี Hashimoto จากนั้นนั่ง JR Hashimoto ต่อไปยังสถานี JR Wakayama ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
พวกผมมาถึงหอพักที่ Wakayama ประมาณ 18.30 น. รีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะอาจารย์ชาวญี่ปุ่นจะมารับไปกิน Okonomiyaki ร้านดังของเมือง Wakayama อาจารย์ชาวญี่ปุ่นบอกว่า Okonomiyaki อาจจะหากินที่อื่นได้บ้าง แต่ถ้าอยากกิน Okonomiyaki รสชาติต้นตำรับต้องมาร้านนี้เท่านั้น และต้องจองล่วงหน้าก่อนถึงจะมากินร้านนี้ได้
บรรยากาศภายในร้าน Okonomiyaki จะเป็นโต๊ะสไตล์ญี่ปุ่น 1 โต๊ะนั่งได้ 4 คน ตรงกลางโต๊ะเป็นกระทะร้อนสำหรับทอด Okonomiyaki ซึ่งแต่ละโต๊ะก็จะมีพวกเครื่องปรุง เช่น ซอสหวาน ซอสเผ็ด พริกป่น พริกไทย มายองเนส จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน
พอสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย พนักงานก็จะนำอาหารที่สั่งไว้มาเสริ์ฟที่โต๊ะ หน้าตาของอาหารก็จะมาประมาณนี้เลยครับ
การทอด Okonomiyaki ลำดับแรกให้นำหมูสไลด์ย่างลงบนกระทะให้เหลืองพอประมาณ
ในระหว่างที่รอหมูสไลค์สุก ให้คนส่วนผสมของ Okonomiyaki ให้เข้ากัน จากนั้นก็เทส่วนผสมทั้งหมดลงไปทอดในกระทะ
จับเวลา 5 นาที หลังครบ 5 นาทีแล้ว ก็กลับด้านแผ่น Okonumiyaki
หลังจากกลับด้านแล้ว จับเวลาอีก 5 นาที พอครบเวลาก็กลับด้าน Okonumiyaki อีก 1 รอบ แล้วรออีก 5 นาที ก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นก็ตัดแบ่ง Okonumiyaki ออกเป็น 4 ส่วน แจกจ่ายให้สมาชิกแต่ละคน ใครจะเติมซอส เติมมายองเนส เติมพริกป่น ก็สามารถเติมได้ตามใจชอบ
รสชาติ Okonomiyaki จะออกหวานมัน แต่ก็มีความกลมกล่อมของส่วนผสมซ่อนอยู่ ถามว่าอร่อยไม โดยส่วนตัวผมก็ว่าอร่อยนะครับ ผมกินไปเยอะมาก ประมาณ 4 ชิ้นได้ พอกินไปเยอะๆอาจจะรู้สึกเลี่ยนๆหน่อย จึงแนะนำว่านานๆกินทีน่าจะดีกว่า หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้ว อาจารย์ชาวญี่ปุ่นก็ให้รถมาส่งพวกผมที่หอพัก จากนั้นแยกย้ายกันพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปปราสาท Wakayama และฟาร์มสตอเบอรี่ครับ
วันที่ 2 เวลา 09.00 น. รถที่อาจารย์ชาวญี่ปุ่นจัดเตรียมไว้ให้มารับพวกผมที่หอพัก เพื่อพาไปปราสาท Wakayama โดยรถมาจอดส่งบริเวณทางเข้าสวน Nishinomaru Teien ซึ่งเป็นสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จนได้รับยกย่องให้เป็น Place of Scenic Beauty ของญี่ปุ่นเลยแหละ และสะพานไม้ที่มองเห็นอยู่นั้นคือ สะพานโอฮาชิโอกะ ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับบรรดาเหล่าขุนนางในสมัยก่อน
หลังเดินเล่นในสวน Nishinomaru Teien ประมาณ 30 นาที ผมก็เดินวนหาทางขึ้นปราสาท Wakayama วันนี้อากาศยังหนาวเช่นเดิม แต่โชคดีที่ยังมีแดดอ่อนๆพอให้ความอบอุ่นได้บ้าง ระหว่างทางขึ้นไปยังตัวปราสาทนั้น ก็จะเห็นคุณครูพาเด็กอนุบาลมานั่งปิกนิกรับแสงแดดกัน เด็กๆยิ้มแย้มแจ่มใสและดูมีความสุขมากครับ