ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัด Wakayama 2 ช่วงเวลา
โดยโจทย์ของทั้งสองช่วงเวลานี้คือ ครั้งแรก พาคุณพ่อไปชมธรรมชาติที่ญี่ปุ่น
และครั้งที่สอง คือ พาคุณพ่อ คุณแม่ และคุณภริยา ไปชมธรรมชาติที่ญี่ปุ่น
ครั้งแรกที่ได้สัมผัสจังหวัด Wakayama คือเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2557 โดยได้เดินทางไปที่ Koyasan
และครั้งที่สองที่ได้สัมผัสจังหวัด Wakayama คือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เดินทางไปที่ Nachi Taisha
และหวังว่าจะมีครั้งที่ 3 ,4, 5 ไปเรื่อยๆ เพราะจังหวัดนี้มีเสน่ห์ มีธรรมชาติที่น่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่จะพาคุณพ่อไป Wakayama ต้องตอบคำถามคนที่ทราบว่าจะเดินทางไปญี่ปุ่นแทบทุกคนว่า จังหวัดนี้อยู่ตรงไหนเหรอ มีอะไรเที่ยวบ้างอ่ะ ผมเองก็ยอมรับเลยว่ารู้จัก Wakayama แค่ผิวเผินมากในครั้งนั้น รู้แค่ว่ามี Koyasan เท่านั้นเลย
เออ คนอะไร อยากไปเที่ยวสุสานของชาวต่างชาติ ซะงั้น 555
เริ่มด้วยครั้งแรกที่ไปเที่ยวโคยะซัง
การไปเที่ยวโคยะซังในวิธีที่ง่ายที่สุดคือ นั่งรถไฟของบริษัท “Nankai” (เวลาผมคุยกับพ่อ ผมจะเรียกว่ารถไฟ “นั่งไกล”) จากสถานี Namba โดยนั่งรถไฟขบวน Koya Line นั่งรถไฟมาจนถึงสถานี Gokurakubashi (นั่งรถไฟ Limited Express 80 นาที ราคา 1650 yen ถ้าขบวนธรรมดา 100 นาที ราคา 870 yen) แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถเคเบิลคาร์ ( ประมาณ 5 นาที ราคา 390 yen) จากสถานี Koyasan มีรถบัสบริการไปถึงบริเวณสุสาน (ราคา 290 yen)
การจะเที่ยวโคยะซังที่สะดวกที่สุดคือใช้ Kansai Thru Pass เพราะแค่โชว์บัตรก็ขึ้นได้ทุกอย่างที่ผมบอกไปแล้ว
ส่วนใครที่ถือ JR Pass ไม่ว่าจะรุ่นใดก็ตาม ขอเชิญซื้อตั๋วราคาเต็ม ฉะนั้น Trip นี้ผมจึงได้ซื้อ Kansai Thru Pass ใช้ในวันที่จะไป Koyasan (จริงๆแล้ว เป็นเพราะ JR Pass หมดอายุด้วยแหละครับ )
ขบวนรถไฟที่นั่งไปและกลับ Koyasan ที่ผมถ่ายาพนี้ได้ เพราะบริเวณนี้มีรางรถไฟรางเดียว รถที่ผมนั่งมาเขาหยุดเพื่อรอให้รถไฟขบวนนี้แล่นก่อน แล้วพนักงานรถไฟเขาก็บอกเลยว่า ลงมาถ่ายรูปได้ครับ
คนนี้แหละครับ เขาบอกเลยว่าลงมาถ่ายรูปได้ รูปนี้ขออนุญาตถ่ายรูปเขาจณะกำลังทำงานแล้วนะครับ
ภายในเคเบิลคาร์ที่ขึ้นไปสู่ภูเขาโคยะนะครับ
ช่วงที่ไปเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งผมเองเคยไปที่เกียวโตมาแล้วในช่วงเดียวกันของปีก่อนๆ แต่อยากจะบอกว่าที่โคยะซัง มีใบไม้เปลี่ยนสีที่แตกต่างจากเกียวโต ให้ความรู้สึก สุขุม นุ่มลึก สงบ ไม่พลุกพล่าน เดินๆไป ท่านอาจจะอยู่บริเวณนั้นเพียงคนเดียว ท่ามกลางสุสานนับร้อย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอยู่ในสุสานก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาดคิดไว้
ผมและคุณพ่อได้ลงที่ป้ายรถบัสบริเวณใกล้ทางเข้าสุสาน แล้วเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ พบสุสานของตระกูลใหญ่ๆมากมาย ยิ่งถ้าใครอ่านภาษาญี่ปุ่นออก คงจะมันส์กับคนที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเลยครับ
องค์พระพุทธรูป
บริเวณสุสาน
ใบไม้เปลี่ยนสี ของจริงสวยกว่านี้มากครับ (ผมถ่ายรูปห่วยเองครับ แหะๆ)
สะพานแดงท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีครับ
สุสานของตระกูลใหญ่
อีกสักรูปครับ พบในลักษณะนี้เยอะมากครับ ของตระกูลใหญ่โต บริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นก็พบได้ครับ
จะพบนักแสวงบุญ สวมชุดลักษณะนี้ตามทางมากมายเลยครับ
ต้นไม้บริเวณใกล้สุสานมีความสูงที่สูงมากครับ และมีการทำป้ายบอกเลขไว้ด้วยครับ ว่าต้นที่เท่าไรครับ
ใบไม้เหลืองๆแดงๆมากมาย แบบที่ไม่มีคนมาแย่งถ่ายรูปด้วยครับ
แล้วผมกับคุณพ่อก็เดินรอบเขตสุสานมา เดินมาเรื่อยๆจนถึงบริเวณตัวเมือง แวะทานมื้อเที่ยงเล็กน้อย ที่นี่มีร้านอาหารไม่มากนักนะครับ แต่ก็ยังพอมีหลายร้านอยู่ครับ คนที่มาทานมื้อเที่ยงก็มีจำนวนพอสมควรเลยครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวญี่ปุ่นเอง และชาวตะวันตกครับ วันที่ผมไป เจอคนไทยด้วยกันอีกสองคนเองครับ)
ทานมื้อเที่ยงแล้วก็เดินต่อมาที่แถว Garan ครับ แวะชม Konpon Daito Pagoda
ระหว่างทางพบพระกำลังทำพิธีด้วยครับ
ในส่วนของ Koyasan มีที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่ผมยังไม่ได้ไปนะครับอีกหลางส่วนเลยครับ และที่น่าสนใจเป็นที่สุดคือ พักบน Koyasan 1 คืนครับ
ทางวัดจะมีที่พักให้และบางแห่งมีออนเซ็นด้วยนะครับ โดยจะมีอาหารมังสวิรัติให้ทานครับ
ในระหว่างนั่งรถไฟกลับ พบวัยรุ่นมาเลเซียคนนึง เขาเล่าให้ฟังครับว่า เขาเพิ่งจะพักในวัดที่โคยะซังแล้วกลับมาในขบวนนี้ เขาชมเลยว่าดีมากๆ สงบ ร่มรื่น และอาหารมังสวิรัติก็อร่อยมากๆด้วยครับ เอาไว้ถ้าได้มีโอกาสจะกลับมาเล่าให้ฟังนะครับ
เกร็ดอื่นๆที่น่าสนใจที่ผมได้พบเจอมาครับ
ระหว่างที่นั่งรถไฟในขาไปโคยะซัง พบคุณลุงชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งครับ พอเขาได้ทราบว่าผมกับคุณพ่อเป็นคนไทย เขาพยายามจะพูดภาษาไทยด้วยครับ แล้วเขาก็หยิบแบบเรียนภาษาไทยขึ้นมา เขียนไทยให้ดูครับ ผมกับคุณพ่อแปลกใจมากๆครับ
แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าครับ ในขบวนที่ผมนั่งรถไฟขากลับที่ผมพบวัยรุ่นมาเลย์น่ะแหละครับ ได้เจอคุณลุงชาวญี่ปุ่นอีกท่านนึง ท่านไปเที่ยวมาแล้วทั้ง ไทย ลาว พม่า และท่านเขียนภาษาไทยได้พอสมควร และยังโชว์รูปบ้านของท่านที่ญี่ปุ่นด้วยนะครับ ท่านออกแบบในลักษณะที่คล้ายบ้านทรงไทยเลยครับ ท่านบอกว่าชอบประเทศไทยมากๆ และยังชื่นชมในหลวงของเราด้วยครับ
ส่วนครั้งที่สอง เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การไปที่นี่จุดมุ่งหมายของผมคือเจดีย์สีแดง เมื่อมองไปทางด้านหลังเจดีย์นั้น จะเป็นภาพน้ำตก Nachi
การไปที่บริเวณ Nachi Taisha เหมาะกับคนที่ใช้ บัตร JR Pass หรือ บัตร JR อื่นๆ ที่นั่งรถไฟในเมือง Wakayama ได้ครับ (ส่วน Kansai Thru Pass เดินทางยากกว่า JR Pass มากๆครับ คือต้องจ่ายเงินเพิ่มเอาด้วยอ่ะครับ)
ผมนั่งรถจากสถานี Shin Osaka มาลงที่สถานี Kii-katsuura ใช้เวลาในการนั่งรถไฟ 4 ชั่วโมง ขอย้ำครับว่า 4 ชั่วโมง หาหนังสือไปอ่านบนรถไฟได้เลยครับ หรือไม่ก็ทำแบบคุณภริยาของผมครับ หลับแล้ว หลับอีก แล้วก็หลับแล้วหลับอีกครับ
รถไฟขบวน Kurashio เป็นขบวนที่แล่นผ่านขอบเกาะ วิวข้างทางด้านหนึ่งจะเป็นทุ่งนา และอีกด้านหนึ่งจะเป็นทะเลเลยครับ วิวสวยงามมากๆครับ แต่เรานั่งกันนานมากๆ ออกจาก Shin Osaka ช่วงเจ็ดโมงเช้า ไปถึงที่สถานี Kii-Katsuura 11 โมง ครับ
ภาพด้านข้างของรถไฟขบวน Ltd. Exp. Kuroshio ครับ
รถไฟแล่นเลียบชายฝั่งเลยครับ
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งนาเลยครับ
บริเวณสถานีรถไฟ Kiikatsuura
เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟ JR จะพบที่ขึ้นรถบัสอยู่บริเวณด้านหน้าของสถานีเลยครับ
ถ้าหันหน้าเข้าร้ากาแฟร้านนี้ตามรูป ที่ขายตั๋วรถบัสจะอยู่ทางขวามือเลยครับติดกับร้านกาแฟร้านนี้ครับ
ถ้ามาถึงเวลาใกล้ๆผม แล้วยังไม่อยากทานข้าวหน้าปลาดิบ ซึ่งมีจำหน่ายหลายร้านมาก ผมแนะนำว่าซื้อแซนด์วิชที่ร้านกาแฟร้านนี้ก็ได้นะครับ ทำสด และอร่อยมากๆครับ
ลืมบอกไปครับ เมือง Katsuura นี้ เป็นแหล่งประมงของญี่ปุ่นเลยนะครับ เคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตว่า ที่นี่ส่งปลาทูน่าไปที่ตลาดปลา Tsukiji ที่โตเกียวด้วยครับ
ผมและครอบครัวก็ฝากกระเป๋าไว้ที่ Locker ที่สถานีครับ แล้วนั่งรถบัสไปที่ป้าย Daimozaka เพื่อเดินทางที่เรียกว่า Kumano kodo เป็นทางเดินหินโบราณ โดยเป็นส่วนที่ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกด้วยครับ
รถบัสถ้าลงที่ Daimonzaka จะราคา 420 yen และเมื่อเดินไปจนถึงน้ำตก Nachi แล้วนั่งรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟ ราคา 620 เยน แต่ถ้าซื้อตั๋วแบบไปกลับที่ที่ขายตั๋วแถวสถานีรถไฟ จะจ่ายราคา 1000 เยนครับ
ตั๋วรถบัสไปกลับครับ
บนรถบัสไปกลับน้ำตก Nachi ครับ
เมื่อลงบริเวณป้าย Daimonzaka ครับจะเจอแผนที่ให้เราเดินทาง Kumano Kodo ครับ
Kumano Kodo ครับ
ทางนี้ทาง Tourist information แถวสถานีรถไฟ บอกว่า ใช้เวลาเดิน 40 นาที ครับ ค่อนช้างชันนะครับ มีไม้เท้าให้ยืมใช้ฟรีด้วยครับ (เป็นกิ่งไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงครับ) แต่ผมว่าเดินจริงๆ ประมาณ 25 นาที ครับ ถ้าไม่หยุดบ่อยๆนะครับ
ร่มรื่นมากๆครับ
ระหว่างทาง พบชาวญี่ปุ่นประกอบพิธีด้วยครับ
ในขณะที่เดินบริเวณ Kumano Kodo นั้น แสงแดดมีพอควรเลยครับ ผมเนี่ยนึกถึงภาพที่เคยเห็นในเน็ตเลยครับ ภาพเจดีย์สีแดงสวยงาม ฉากหลังเป็นน้ำตกด้านหลังที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นญี่ปุ่น ปรเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะครับ เมื่อผมไปถึงบริเวณศาลเจ้า Nachi ฝนก็ตกลงมาเลยครับ
เมื่อมาถึงบริเวณเจดีย์สีแดงครับ
ภาพในเนตที่นึกถึงเป็นแบบนี้เลยครับ (ขอบคุณภาพจาก internet นะครับ ภาพที่เคยเห็นครับ)
ภาพที่ผมเจอแล้ว คิดไว้เลยครับ ว่าสักวันจะกลับมาใหม่ครับ
แต่ก็ได้อารมณ์แบบธรรมชาติอีกแบบนะครับ
ภาพน้ำตก Nachi Taisha ในระยะใกล้ครับ
แล้วพวกผมก็นั่งรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟครับ
เนื่องจากเดินทางไปกลับใช้เวลารวมกัน 8 ชั่วโมง จึงได้วางแผนที่จะพักบริเวณนั้นกันก่อนแล้วเดินทางกลับวันรุ่งขึ้น โดยไหนๆแล้ว เดินทางก็ใช้เวลามาก ขอพักที่ที่ดีดีเลยแล้วกันนะครับ พักที่ Hotel Urashima ครับต้องนั่งเรือโดยสารข้ามไปยังโรงแรม โดยตัวโรงแรมนั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะนะครับ แต่ตั้งอยู่บนแหลมที่ยื่นออกจากบริเวณ Kii Katsuura ไปครับ
เดี๋ยวจะมารีวิวโรงแรมอีกครั้งนะครับ
รีวิวนี้ เพียงอยากเสนอจังหวัด Wakayama ไว้ให้เป็นตัวเลือกกับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา ในญี่ปุ่นครับ แล้วคุณจะหลงเสน่ห์ Wakayama เช่นเดียวกันกับผมครับ
ปล. RIP ทามะจัง ด้วยนะครับ เสียดาย ไม่ได้ไปเจอเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เผื่อท่านที่เสพติดการเดินทาง รักการเดินทาง เช่นเดียวกับพวกผมครับ เข้ามากด Like เป็นกำลังใจ หรือสอบถามการเดินทาง หรือแบ่งปันการเดินทางกันได้นะครับ ที่ https://www.facebook.com/journeyaholic นะครับ เพราะชีวิตเสพติดการเดินทาง ครับ
[CR] Wakayama เมืองที่คุณต้องลองไปเองสักครั้ง แล้วจะติดใจ (เหมือนผม)
โดยโจทย์ของทั้งสองช่วงเวลานี้คือ ครั้งแรก พาคุณพ่อไปชมธรรมชาติที่ญี่ปุ่น
และครั้งที่สอง คือ พาคุณพ่อ คุณแม่ และคุณภริยา ไปชมธรรมชาติที่ญี่ปุ่น
ครั้งแรกที่ได้สัมผัสจังหวัด Wakayama คือเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2557 โดยได้เดินทางไปที่ Koyasan
และครั้งที่สองที่ได้สัมผัสจังหวัด Wakayama คือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เดินทางไปที่ Nachi Taisha
และหวังว่าจะมีครั้งที่ 3 ,4, 5 ไปเรื่อยๆ เพราะจังหวัดนี้มีเสน่ห์ มีธรรมชาติที่น่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่จะพาคุณพ่อไป Wakayama ต้องตอบคำถามคนที่ทราบว่าจะเดินทางไปญี่ปุ่นแทบทุกคนว่า จังหวัดนี้อยู่ตรงไหนเหรอ มีอะไรเที่ยวบ้างอ่ะ ผมเองก็ยอมรับเลยว่ารู้จัก Wakayama แค่ผิวเผินมากในครั้งนั้น รู้แค่ว่ามี Koyasan เท่านั้นเลย
เออ คนอะไร อยากไปเที่ยวสุสานของชาวต่างชาติ ซะงั้น 555
เริ่มด้วยครั้งแรกที่ไปเที่ยวโคยะซัง
การไปเที่ยวโคยะซังในวิธีที่ง่ายที่สุดคือ นั่งรถไฟของบริษัท “Nankai” (เวลาผมคุยกับพ่อ ผมจะเรียกว่ารถไฟ “นั่งไกล”) จากสถานี Namba โดยนั่งรถไฟขบวน Koya Line นั่งรถไฟมาจนถึงสถานี Gokurakubashi (นั่งรถไฟ Limited Express 80 นาที ราคา 1650 yen ถ้าขบวนธรรมดา 100 นาที ราคา 870 yen) แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถเคเบิลคาร์ ( ประมาณ 5 นาที ราคา 390 yen) จากสถานี Koyasan มีรถบัสบริการไปถึงบริเวณสุสาน (ราคา 290 yen)
การจะเที่ยวโคยะซังที่สะดวกที่สุดคือใช้ Kansai Thru Pass เพราะแค่โชว์บัตรก็ขึ้นได้ทุกอย่างที่ผมบอกไปแล้ว
ส่วนใครที่ถือ JR Pass ไม่ว่าจะรุ่นใดก็ตาม ขอเชิญซื้อตั๋วราคาเต็ม ฉะนั้น Trip นี้ผมจึงได้ซื้อ Kansai Thru Pass ใช้ในวันที่จะไป Koyasan (จริงๆแล้ว เป็นเพราะ JR Pass หมดอายุด้วยแหละครับ )
ขบวนรถไฟที่นั่งไปและกลับ Koyasan ที่ผมถ่ายาพนี้ได้ เพราะบริเวณนี้มีรางรถไฟรางเดียว รถที่ผมนั่งมาเขาหยุดเพื่อรอให้รถไฟขบวนนี้แล่นก่อน แล้วพนักงานรถไฟเขาก็บอกเลยว่า ลงมาถ่ายรูปได้ครับ
คนนี้แหละครับ เขาบอกเลยว่าลงมาถ่ายรูปได้ รูปนี้ขออนุญาตถ่ายรูปเขาจณะกำลังทำงานแล้วนะครับ
ภายในเคเบิลคาร์ที่ขึ้นไปสู่ภูเขาโคยะนะครับ
ช่วงที่ไปเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งผมเองเคยไปที่เกียวโตมาแล้วในช่วงเดียวกันของปีก่อนๆ แต่อยากจะบอกว่าที่โคยะซัง มีใบไม้เปลี่ยนสีที่แตกต่างจากเกียวโต ให้ความรู้สึก สุขุม นุ่มลึก สงบ ไม่พลุกพล่าน เดินๆไป ท่านอาจจะอยู่บริเวณนั้นเพียงคนเดียว ท่ามกลางสุสานนับร้อย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอยู่ในสุสานก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาดคิดไว้
ผมและคุณพ่อได้ลงที่ป้ายรถบัสบริเวณใกล้ทางเข้าสุสาน แล้วเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ พบสุสานของตระกูลใหญ่ๆมากมาย ยิ่งถ้าใครอ่านภาษาญี่ปุ่นออก คงจะมันส์กับคนที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเลยครับ
องค์พระพุทธรูป
บริเวณสุสาน
ใบไม้เปลี่ยนสี ของจริงสวยกว่านี้มากครับ (ผมถ่ายรูปห่วยเองครับ แหะๆ)
สะพานแดงท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีครับ
สุสานของตระกูลใหญ่
อีกสักรูปครับ พบในลักษณะนี้เยอะมากครับ ของตระกูลใหญ่โต บริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นก็พบได้ครับ
จะพบนักแสวงบุญ สวมชุดลักษณะนี้ตามทางมากมายเลยครับ
ต้นไม้บริเวณใกล้สุสานมีความสูงที่สูงมากครับ และมีการทำป้ายบอกเลขไว้ด้วยครับ ว่าต้นที่เท่าไรครับ
ใบไม้เหลืองๆแดงๆมากมาย แบบที่ไม่มีคนมาแย่งถ่ายรูปด้วยครับ
แล้วผมกับคุณพ่อก็เดินรอบเขตสุสานมา เดินมาเรื่อยๆจนถึงบริเวณตัวเมือง แวะทานมื้อเที่ยงเล็กน้อย ที่นี่มีร้านอาหารไม่มากนักนะครับ แต่ก็ยังพอมีหลายร้านอยู่ครับ คนที่มาทานมื้อเที่ยงก็มีจำนวนพอสมควรเลยครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวญี่ปุ่นเอง และชาวตะวันตกครับ วันที่ผมไป เจอคนไทยด้วยกันอีกสองคนเองครับ)
ทานมื้อเที่ยงแล้วก็เดินต่อมาที่แถว Garan ครับ แวะชม Konpon Daito Pagoda
ระหว่างทางพบพระกำลังทำพิธีด้วยครับ
ในส่วนของ Koyasan มีที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่ผมยังไม่ได้ไปนะครับอีกหลางส่วนเลยครับ และที่น่าสนใจเป็นที่สุดคือ พักบน Koyasan 1 คืนครับ
ทางวัดจะมีที่พักให้และบางแห่งมีออนเซ็นด้วยนะครับ โดยจะมีอาหารมังสวิรัติให้ทานครับ
ในระหว่างนั่งรถไฟกลับ พบวัยรุ่นมาเลเซียคนนึง เขาเล่าให้ฟังครับว่า เขาเพิ่งจะพักในวัดที่โคยะซังแล้วกลับมาในขบวนนี้ เขาชมเลยว่าดีมากๆ สงบ ร่มรื่น และอาหารมังสวิรัติก็อร่อยมากๆด้วยครับ เอาไว้ถ้าได้มีโอกาสจะกลับมาเล่าให้ฟังนะครับ
เกร็ดอื่นๆที่น่าสนใจที่ผมได้พบเจอมาครับ
ระหว่างที่นั่งรถไฟในขาไปโคยะซัง พบคุณลุงชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งครับ พอเขาได้ทราบว่าผมกับคุณพ่อเป็นคนไทย เขาพยายามจะพูดภาษาไทยด้วยครับ แล้วเขาก็หยิบแบบเรียนภาษาไทยขึ้นมา เขียนไทยให้ดูครับ ผมกับคุณพ่อแปลกใจมากๆครับ
แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าครับ ในขบวนที่ผมนั่งรถไฟขากลับที่ผมพบวัยรุ่นมาเลย์น่ะแหละครับ ได้เจอคุณลุงชาวญี่ปุ่นอีกท่านนึง ท่านไปเที่ยวมาแล้วทั้ง ไทย ลาว พม่า และท่านเขียนภาษาไทยได้พอสมควร และยังโชว์รูปบ้านของท่านที่ญี่ปุ่นด้วยนะครับ ท่านออกแบบในลักษณะที่คล้ายบ้านทรงไทยเลยครับ ท่านบอกว่าชอบประเทศไทยมากๆ และยังชื่นชมในหลวงของเราด้วยครับ
ส่วนครั้งที่สอง เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การไปที่นี่จุดมุ่งหมายของผมคือเจดีย์สีแดง เมื่อมองไปทางด้านหลังเจดีย์นั้น จะเป็นภาพน้ำตก Nachi
การไปที่บริเวณ Nachi Taisha เหมาะกับคนที่ใช้ บัตร JR Pass หรือ บัตร JR อื่นๆ ที่นั่งรถไฟในเมือง Wakayama ได้ครับ (ส่วน Kansai Thru Pass เดินทางยากกว่า JR Pass มากๆครับ คือต้องจ่ายเงินเพิ่มเอาด้วยอ่ะครับ)
ผมนั่งรถจากสถานี Shin Osaka มาลงที่สถานี Kii-katsuura ใช้เวลาในการนั่งรถไฟ 4 ชั่วโมง ขอย้ำครับว่า 4 ชั่วโมง หาหนังสือไปอ่านบนรถไฟได้เลยครับ หรือไม่ก็ทำแบบคุณภริยาของผมครับ หลับแล้ว หลับอีก แล้วก็หลับแล้วหลับอีกครับ
รถไฟขบวน Kurashio เป็นขบวนที่แล่นผ่านขอบเกาะ วิวข้างทางด้านหนึ่งจะเป็นทุ่งนา และอีกด้านหนึ่งจะเป็นทะเลเลยครับ วิวสวยงามมากๆครับ แต่เรานั่งกันนานมากๆ ออกจาก Shin Osaka ช่วงเจ็ดโมงเช้า ไปถึงที่สถานี Kii-Katsuura 11 โมง ครับ
ภาพด้านข้างของรถไฟขบวน Ltd. Exp. Kuroshio ครับ
รถไฟแล่นเลียบชายฝั่งเลยครับ
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งนาเลยครับ
บริเวณสถานีรถไฟ Kiikatsuura
เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟ JR จะพบที่ขึ้นรถบัสอยู่บริเวณด้านหน้าของสถานีเลยครับ
ถ้าหันหน้าเข้าร้ากาแฟร้านนี้ตามรูป ที่ขายตั๋วรถบัสจะอยู่ทางขวามือเลยครับติดกับร้านกาแฟร้านนี้ครับ
ถ้ามาถึงเวลาใกล้ๆผม แล้วยังไม่อยากทานข้าวหน้าปลาดิบ ซึ่งมีจำหน่ายหลายร้านมาก ผมแนะนำว่าซื้อแซนด์วิชที่ร้านกาแฟร้านนี้ก็ได้นะครับ ทำสด และอร่อยมากๆครับ
ลืมบอกไปครับ เมือง Katsuura นี้ เป็นแหล่งประมงของญี่ปุ่นเลยนะครับ เคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตว่า ที่นี่ส่งปลาทูน่าไปที่ตลาดปลา Tsukiji ที่โตเกียวด้วยครับ
ผมและครอบครัวก็ฝากกระเป๋าไว้ที่ Locker ที่สถานีครับ แล้วนั่งรถบัสไปที่ป้าย Daimozaka เพื่อเดินทางที่เรียกว่า Kumano kodo เป็นทางเดินหินโบราณ โดยเป็นส่วนที่ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกด้วยครับ
รถบัสถ้าลงที่ Daimonzaka จะราคา 420 yen และเมื่อเดินไปจนถึงน้ำตก Nachi แล้วนั่งรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟ ราคา 620 เยน แต่ถ้าซื้อตั๋วแบบไปกลับที่ที่ขายตั๋วแถวสถานีรถไฟ จะจ่ายราคา 1000 เยนครับ
ตั๋วรถบัสไปกลับครับ
บนรถบัสไปกลับน้ำตก Nachi ครับ
เมื่อลงบริเวณป้าย Daimonzaka ครับจะเจอแผนที่ให้เราเดินทาง Kumano Kodo ครับ
Kumano Kodo ครับ
ทางนี้ทาง Tourist information แถวสถานีรถไฟ บอกว่า ใช้เวลาเดิน 40 นาที ครับ ค่อนช้างชันนะครับ มีไม้เท้าให้ยืมใช้ฟรีด้วยครับ (เป็นกิ่งไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงครับ) แต่ผมว่าเดินจริงๆ ประมาณ 25 นาที ครับ ถ้าไม่หยุดบ่อยๆนะครับ
ร่มรื่นมากๆครับ
ระหว่างทาง พบชาวญี่ปุ่นประกอบพิธีด้วยครับ
ในขณะที่เดินบริเวณ Kumano Kodo นั้น แสงแดดมีพอควรเลยครับ ผมเนี่ยนึกถึงภาพที่เคยเห็นในเน็ตเลยครับ ภาพเจดีย์สีแดงสวยงาม ฉากหลังเป็นน้ำตกด้านหลังที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นญี่ปุ่น ปรเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะครับ เมื่อผมไปถึงบริเวณศาลเจ้า Nachi ฝนก็ตกลงมาเลยครับ
เมื่อมาถึงบริเวณเจดีย์สีแดงครับ
ภาพในเนตที่นึกถึงเป็นแบบนี้เลยครับ (ขอบคุณภาพจาก internet นะครับ ภาพที่เคยเห็นครับ)
ภาพที่ผมเจอแล้ว คิดไว้เลยครับ ว่าสักวันจะกลับมาใหม่ครับ
แต่ก็ได้อารมณ์แบบธรรมชาติอีกแบบนะครับ
ภาพน้ำตก Nachi Taisha ในระยะใกล้ครับ
แล้วพวกผมก็นั่งรถบัสกลับมาที่สถานีรถไฟครับ
เนื่องจากเดินทางไปกลับใช้เวลารวมกัน 8 ชั่วโมง จึงได้วางแผนที่จะพักบริเวณนั้นกันก่อนแล้วเดินทางกลับวันรุ่งขึ้น โดยไหนๆแล้ว เดินทางก็ใช้เวลามาก ขอพักที่ที่ดีดีเลยแล้วกันนะครับ พักที่ Hotel Urashima ครับต้องนั่งเรือโดยสารข้ามไปยังโรงแรม โดยตัวโรงแรมนั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะนะครับ แต่ตั้งอยู่บนแหลมที่ยื่นออกจากบริเวณ Kii Katsuura ไปครับ
เดี๋ยวจะมารีวิวโรงแรมอีกครั้งนะครับ
รีวิวนี้ เพียงอยากเสนอจังหวัด Wakayama ไว้ให้เป็นตัวเลือกกับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา ในญี่ปุ่นครับ แล้วคุณจะหลงเสน่ห์ Wakayama เช่นเดียวกันกับผมครับ
ปล. RIP ทามะจัง ด้วยนะครับ เสียดาย ไม่ได้ไปเจอเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น