สวัสดีค่ะ วันนี้ป้าขออนุญาตรีวิวร้านอาหารในโอซาก้า ที่ป้าคิดว่าทั้งอร่อยและราคาดีนะคะ
ส่วนนี่คือ กระทู้ก่อนหน้าที่ป้ารีวิวโรงแรมใจกลางเมืองเกียวโตที่มีออนเซนบนระเบียงส่วนตัวในห้องพักของเราอย่าง Sorinawa Terrace Kyoto Bettei กับโรงแรมแถว Namba ที่คุ้มค่าน่าพักมากอย่าง Onyado Nono Natural Hot Spring Namba
https://m.ppantip.com/topic/42120923?
https://m.ppantip.com/topic/42130930?
บอกตามตรงว่ามาเกียวโตและโอซาก้าครั้งนี้ ป้าค่อนข้างผิดหวังกับทั้งรสชาติ ราคา และคุณภาพของอาหาร โดยเฉพาะตลาดปลาชื่อดังของทั้งสองเมือง ที่ดูเหมือนจะกลายเป็น Tourist trap ไปแล้วสำหรับป้า
โดยส่วนตัวเมื่อเทียบอาหารชนิดเดียวกัน และในราคาที่ใกล้เคียงกัน ป้าให้ซัปโปโรชนะขาดทั้งในเรื่องคุณภาพ รสชาติ และปริมาณค่ะ แต่ที่ซัปโปโรนั้นอาจไม่มีอาหารจำพวก photogenic food ที่โด่งดังและหลากหลายเท่าที่เกียวโตและโอซาก้า
ป้าคุยกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่เคยเรียนด้วยกันมา เขาก็บอกกับป้าว่า โอซาก้านั้นได้ชื่อว่าเป็น National’s kitchen มาตั้งแต่สมัยเอโดะ เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าข้าว และการแลกเปลี่ยนสินค้าจำพวกอาหารต่างๆ แต่ส่วนตัวของเขานั้นคิดว่า ฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยและคุณภาพดีที่สุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของป้าและเพื่อนเท่านั้นนะคะ อีกอย่างอายุป้าก็เยอะแล้ว ต่อมรับรสต่างๆย่อมไม่เหมือนกับคนหนุ่มๆสาวๆ ในกระทู้นี้ป้าจึงขออนุญาตรีวิวเฉพาะร้านอาหารที่ป้าชอบค่ะ
1. Goukai Tachisushi
ร้านนี้เป็นร้านอิซากายะสำหรับกินดื่ม สาขาที่ป้าไปจะอยู่ใกล้ๆสถานี Kintetsu Nipombashi Station ส่วนอีกสาขาหนึ่งเท่าที่ป้าทราบจะอยู่ใกล้ๆ Nankai Namba ค่ะ
วันที่ป้าไปเป็นช่วงเวลาประมาณ 5โมงเย็น มีคิวรออยู่ 1 คิว ป้ายืนต่อคิวไปสักพัก คิวก็เริ่มยาวขึ้นค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่น การต่อคิวไม่ได้มีการลงชื่อไว้แต่ใช้วิธียืนต่อคิวกันค่ะ พอมีลูกค้าที่ทานเสร็จแล้วทยอยออกจากร้าน น้องเด็กเสริฟก็ทำมือทำไม้ให้ป้ารอนอกร้านก่อน เพราะพนักงานทั้งหมดในร้านมีอยู่ด้วยกัน 2 คนถ้วนคือ ตัวเขาและพ่อครัว เข้าใจว่าไม่มีเวลาเก็บโต๊ะ รอจนเกือบครึ่งชั่วโมง เขาถึงได้เชิญป้าเข้าไปนั่งในร้านค่ะ
ภายในร้านพื้นที่ไม่ใหญ่นัก เราไปกัน 2 คน ดังนั้นเราจึงจำใจต้อง “ปีน” ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ที่สูงๆ หน้าเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นที่ๆป้าเกลียดมากที่สุด
(ทำไมน่ะเหรอคะ ก็เพราะป้าเป็นสาวยุค 70 ที่มีส่วนสูงมาตรฐานอยู่ที่ 155 เซนติเมตรน่ะค่ะ ไอ้ที่หลายคนเขาบอกว่าป้าไม่เห็นจะเตี้ยเลย แลดูมีรูปร่างที่สมส่วนนั่นก็มาจากฝีมือตีโป่งยกกระบังเพื่อพรางส่วนสูงที่แท้จริงของป้าล้วนๆค่ะ)
เมนูของที่นี่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนนะคะ หากต้องการเมนูภาษาอังกฤษ เราต้องใช้มือถือแสกน QR code ดูเอา ซึ่งในนั้นก็ไม่ได้มีรายละเอียดของอาหารหรือรูปร่างหน้าตากันให้เห็น ป้าเลยใช้วิธีเข้า google ใส่ชื่อร้านแล้วแล้วเลือกเมนูจากรูปถ่ายที่มีคนรีวิวเอาค่ะ
เมนูแรกป้าเห็นคนรีวิวเยอะเชียวนั่นคือ Tuna Sashimi ค่ะ ป้าไม่แน่ใจว่าที่ทางร้านนำมาเสริฟคือ อากามิ หรือชูทาโร่นะคะ ในชีวิตนี้ ป้าแยกออกแค่โอโทโร่ที่ป้าชอบแย่งเพื่อนทานบ่อยๆ เท่านั้นค่ะ
เนื้อปลาถูกเสริฟมาเป็นชิ้นหนาๆ ไม่เท่ากัน แถมยังวางซ้อนกันมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูเผินๆ คล้ายขนมชั้นร้านเจ๊จูซอยละลายทรัพย์ที่ป้าชอบทาน ต่างกันที่เนื้อปลามันมีสีแดงเท่านั้นล่ะค่ะ ในจานไม่มีการตกแต่งใดๆทั้งสิ้น หน้ำซ้ำยังมีการราด วาซาบิ กับ Kizami wasabi (วาซาบิสดสับเป็นชิ้นเล็กๆแล้วปรุงรสด้วย soy sauce) มาด้านบน แลดูเละๆ ไม่ได้ดูสวยสดงดงามตามแบบฉบับอาหารญี่ปุ่นที่เราเห็นในรีวิวส่วนใหญ่
แม้หน้าตาของอาหารจะดูบ้านๆ แต่ทันทีที่ป้าคีบเนื้อปลาขิ้นหนาๆ เข้าปาก ลิ้นของป้าก็รับรู้ถึงความสด ความมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปลา เวลาที่ป้ากัดลงไปนั้น เนื้อปลามันนุ่มมากแต่ยังเด้งสู้ฟัน ยิ่งได้ความเผ็ดหอมและความกรุบกรอบของเนื้อวาซาบิสับ ก็ยิ่งช่วยชูรสความหวานของเนื้อปลา เรียกได้ว่าพอทานเนื้อปลาชิ้นแรกเข้าไป ความหงุดหงิดจากการพยายามปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สูงๆของป้าก็หายไปเลย อร่อยขนาดนี้ต่อให้ต้องปีนขึ้นไปนั่งทานบนหลังคาป้าก็ยอมค่ะ ยิ่งพอเหลือบไปดูราคาป้าก็รีบสั่งซ้ำทันทีเลยค่ะเดี๋ยวมันจะขาดตอน จานนี้แค่ 900 กว่าเยนเท่านั้นค่ะ
ซาชิมิแบบอื่นๆ ก็จัดว่าเด็ดค่ะ ทั้งหวานทั้งสด โดยเฉพาะตัวหอยโฮดาเตะและกุ้งที่เนื้อสัมผัสเด้งสู้ฟันมากๆ
ส่วนซูชิหน้า ikura (ไข่ปลาแซลมอน) และ uni (ไข่หอยเม่น) แบบล้นๆ นั่นคือต้องสั่งค่ะ เพราะมันสดหวานมากๆ ตัว uni ไม่มีกลิ่นคาว หรือกลิ่นเค็มๆของน้ำทะเลเลย จานนี้ป้าไม่ได้สั่งซ้ำนะคะเพราะ มันเข้มข้นและเยอะมาก ทานสองจาน ประเดี๋ยวจะเลี่ยนค่ะ
จานสุดท้ายที่ป้าจะขอแนะนำคือ เนื้อวากิวผัดกับSoy sauce แบบง่ายๆค่ะ ตอนที่พ่อครัวผัดไฟลุกส่งกลิ่นหอมมาก จานนี้พอทานเข้าไปคำแรก ญาติผู้ใหญ่ของป้าก็หันมาบอกเลยว่า อันนี้สั่งกันมาคนละจานละกันนะ จะได้ไม่ต้องแย่งกัน เนื้อจานนี้อร่อยแบบที่เรียกว่าหอมนุ่มละลายในปากเลยค่ะ
ป้าสั่งเครื่องดื่มกันไปคนละสองแก้ว จ่ายไปทั้งหมดประมาณ 10,000 กว่าเยนนิดๆค่ะ ป้าสั่งไม่เยอะมากเพราะเก็บท้องกลับไปทานราเมนฟรีที่โรงแรมค่ะ
สำหรับป้า อาหารร้านนี้อร่อยแบบตะโกนและคุ้มค่าที่สุดในทริปนี้ค่ะ
[CR] โอซาก้า: วันนี้ป้าจะพาไปทานอาหารอร่อย ราคาเป็นมิตรกันค่ะ
ส่วนนี่คือ กระทู้ก่อนหน้าที่ป้ารีวิวโรงแรมใจกลางเมืองเกียวโตที่มีออนเซนบนระเบียงส่วนตัวในห้องพักของเราอย่าง Sorinawa Terrace Kyoto Bettei กับโรงแรมแถว Namba ที่คุ้มค่าน่าพักมากอย่าง Onyado Nono Natural Hot Spring Namba
https://m.ppantip.com/topic/42120923?
https://m.ppantip.com/topic/42130930?
บอกตามตรงว่ามาเกียวโตและโอซาก้าครั้งนี้ ป้าค่อนข้างผิดหวังกับทั้งรสชาติ ราคา และคุณภาพของอาหาร โดยเฉพาะตลาดปลาชื่อดังของทั้งสองเมือง ที่ดูเหมือนจะกลายเป็น Tourist trap ไปแล้วสำหรับป้า
โดยส่วนตัวเมื่อเทียบอาหารชนิดเดียวกัน และในราคาที่ใกล้เคียงกัน ป้าให้ซัปโปโรชนะขาดทั้งในเรื่องคุณภาพ รสชาติ และปริมาณค่ะ แต่ที่ซัปโปโรนั้นอาจไม่มีอาหารจำพวก photogenic food ที่โด่งดังและหลากหลายเท่าที่เกียวโตและโอซาก้า
ป้าคุยกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่เคยเรียนด้วยกันมา เขาก็บอกกับป้าว่า โอซาก้านั้นได้ชื่อว่าเป็น National’s kitchen มาตั้งแต่สมัยเอโดะ เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าข้าว และการแลกเปลี่ยนสินค้าจำพวกอาหารต่างๆ แต่ส่วนตัวของเขานั้นคิดว่า ฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยและคุณภาพดีที่สุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของป้าและเพื่อนเท่านั้นนะคะ อีกอย่างอายุป้าก็เยอะแล้ว ต่อมรับรสต่างๆย่อมไม่เหมือนกับคนหนุ่มๆสาวๆ ในกระทู้นี้ป้าจึงขออนุญาตรีวิวเฉพาะร้านอาหารที่ป้าชอบค่ะ
1. Goukai Tachisushi
ร้านนี้เป็นร้านอิซากายะสำหรับกินดื่ม สาขาที่ป้าไปจะอยู่ใกล้ๆสถานี Kintetsu Nipombashi Station ส่วนอีกสาขาหนึ่งเท่าที่ป้าทราบจะอยู่ใกล้ๆ Nankai Namba ค่ะ
วันที่ป้าไปเป็นช่วงเวลาประมาณ 5โมงเย็น มีคิวรออยู่ 1 คิว ป้ายืนต่อคิวไปสักพัก คิวก็เริ่มยาวขึ้นค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่น การต่อคิวไม่ได้มีการลงชื่อไว้แต่ใช้วิธียืนต่อคิวกันค่ะ พอมีลูกค้าที่ทานเสร็จแล้วทยอยออกจากร้าน น้องเด็กเสริฟก็ทำมือทำไม้ให้ป้ารอนอกร้านก่อน เพราะพนักงานทั้งหมดในร้านมีอยู่ด้วยกัน 2 คนถ้วนคือ ตัวเขาและพ่อครัว เข้าใจว่าไม่มีเวลาเก็บโต๊ะ รอจนเกือบครึ่งชั่วโมง เขาถึงได้เชิญป้าเข้าไปนั่งในร้านค่ะ
ภายในร้านพื้นที่ไม่ใหญ่นัก เราไปกัน 2 คน ดังนั้นเราจึงจำใจต้อง “ปีน” ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ที่สูงๆ หน้าเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นที่ๆป้าเกลียดมากที่สุด
(ทำไมน่ะเหรอคะ ก็เพราะป้าเป็นสาวยุค 70 ที่มีส่วนสูงมาตรฐานอยู่ที่ 155 เซนติเมตรน่ะค่ะ ไอ้ที่หลายคนเขาบอกว่าป้าไม่เห็นจะเตี้ยเลย แลดูมีรูปร่างที่สมส่วนนั่นก็มาจากฝีมือตีโป่งยกกระบังเพื่อพรางส่วนสูงที่แท้จริงของป้าล้วนๆค่ะ)
เมนูของที่นี่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนนะคะ หากต้องการเมนูภาษาอังกฤษ เราต้องใช้มือถือแสกน QR code ดูเอา ซึ่งในนั้นก็ไม่ได้มีรายละเอียดของอาหารหรือรูปร่างหน้าตากันให้เห็น ป้าเลยใช้วิธีเข้า google ใส่ชื่อร้านแล้วแล้วเลือกเมนูจากรูปถ่ายที่มีคนรีวิวเอาค่ะ
เมนูแรกป้าเห็นคนรีวิวเยอะเชียวนั่นคือ Tuna Sashimi ค่ะ ป้าไม่แน่ใจว่าที่ทางร้านนำมาเสริฟคือ อากามิ หรือชูทาโร่นะคะ ในชีวิตนี้ ป้าแยกออกแค่โอโทโร่ที่ป้าชอบแย่งเพื่อนทานบ่อยๆ เท่านั้นค่ะ
เนื้อปลาถูกเสริฟมาเป็นชิ้นหนาๆ ไม่เท่ากัน แถมยังวางซ้อนกันมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูเผินๆ คล้ายขนมชั้นร้านเจ๊จูซอยละลายทรัพย์ที่ป้าชอบทาน ต่างกันที่เนื้อปลามันมีสีแดงเท่านั้นล่ะค่ะ ในจานไม่มีการตกแต่งใดๆทั้งสิ้น หน้ำซ้ำยังมีการราด วาซาบิ กับ Kizami wasabi (วาซาบิสดสับเป็นชิ้นเล็กๆแล้วปรุงรสด้วย soy sauce) มาด้านบน แลดูเละๆ ไม่ได้ดูสวยสดงดงามตามแบบฉบับอาหารญี่ปุ่นที่เราเห็นในรีวิวส่วนใหญ่
แม้หน้าตาของอาหารจะดูบ้านๆ แต่ทันทีที่ป้าคีบเนื้อปลาขิ้นหนาๆ เข้าปาก ลิ้นของป้าก็รับรู้ถึงความสด ความมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปลา เวลาที่ป้ากัดลงไปนั้น เนื้อปลามันนุ่มมากแต่ยังเด้งสู้ฟัน ยิ่งได้ความเผ็ดหอมและความกรุบกรอบของเนื้อวาซาบิสับ ก็ยิ่งช่วยชูรสความหวานของเนื้อปลา เรียกได้ว่าพอทานเนื้อปลาชิ้นแรกเข้าไป ความหงุดหงิดจากการพยายามปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สูงๆของป้าก็หายไปเลย อร่อยขนาดนี้ต่อให้ต้องปีนขึ้นไปนั่งทานบนหลังคาป้าก็ยอมค่ะ ยิ่งพอเหลือบไปดูราคาป้าก็รีบสั่งซ้ำทันทีเลยค่ะเดี๋ยวมันจะขาดตอน จานนี้แค่ 900 กว่าเยนเท่านั้นค่ะ
ซาชิมิแบบอื่นๆ ก็จัดว่าเด็ดค่ะ ทั้งหวานทั้งสด โดยเฉพาะตัวหอยโฮดาเตะและกุ้งที่เนื้อสัมผัสเด้งสู้ฟันมากๆ
ส่วนซูชิหน้า ikura (ไข่ปลาแซลมอน) และ uni (ไข่หอยเม่น) แบบล้นๆ นั่นคือต้องสั่งค่ะ เพราะมันสดหวานมากๆ ตัว uni ไม่มีกลิ่นคาว หรือกลิ่นเค็มๆของน้ำทะเลเลย จานนี้ป้าไม่ได้สั่งซ้ำนะคะเพราะ มันเข้มข้นและเยอะมาก ทานสองจาน ประเดี๋ยวจะเลี่ยนค่ะ
จานสุดท้ายที่ป้าจะขอแนะนำคือ เนื้อวากิวผัดกับSoy sauce แบบง่ายๆค่ะ ตอนที่พ่อครัวผัดไฟลุกส่งกลิ่นหอมมาก จานนี้พอทานเข้าไปคำแรก ญาติผู้ใหญ่ของป้าก็หันมาบอกเลยว่า อันนี้สั่งกันมาคนละจานละกันนะ จะได้ไม่ต้องแย่งกัน เนื้อจานนี้อร่อยแบบที่เรียกว่าหอมนุ่มละลายในปากเลยค่ะ
ป้าสั่งเครื่องดื่มกันไปคนละสองแก้ว จ่ายไปทั้งหมดประมาณ 10,000 กว่าเยนนิดๆค่ะ ป้าสั่งไม่เยอะมากเพราะเก็บท้องกลับไปทานราเมนฟรีที่โรงแรมค่ะ
สำหรับป้า อาหารร้านนี้อร่อยแบบตะโกนและคุ้มค่าที่สุดในทริปนี้ค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้