สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ท่านสอนสำหรับปุถุชน เป็น สัมมาทิฎฐิ อย่างแรกที่มีกิเลส
แต่ถ้าไปถึง สัมมาทิฎฐิ อย่างที่สองที่เป็นอริยะ
แท้ที่จริง แม้แต่กรรมก็ไม่ใช่ของที่จะ ยึดมั่นได้ว่าของตน(อัตตา)
เพราะเข้าใจผิดว่ามีตน จึงมีการรับผลกรรม ไม่ยึดมั่นว่ามีตน มีของตน(อนัตตา)
ถ้าเข้าใจถูกมีเพียง รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณ ที่รับผลกรรม
ไม่มี อุปทานขันธ์ จะเป็นอนัตตา ก็ไม่มีอัตตาที่จะรับผลกรรม
---------------
อ้างอิงตาม
ะไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๗. มหาจัตตารีสกสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/m_siri.php?B=14&siri=17
คือ เรากล่าวสัมมาทิฏฐิว่ามี ๒ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลคืออุปธิ
๒. สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะ ที่ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์
แห่งมรรค
-------
อ้างอิงสอง
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=17&A=2228&Z=2356
แต่ถ้าไปถึง สัมมาทิฎฐิ อย่างที่สองที่เป็นอริยะ
แท้ที่จริง แม้แต่กรรมก็ไม่ใช่ของที่จะ ยึดมั่นได้ว่าของตน(อัตตา)
เพราะเข้าใจผิดว่ามีตน จึงมีการรับผลกรรม ไม่ยึดมั่นว่ามีตน มีของตน(อนัตตา)
ถ้าเข้าใจถูกมีเพียง รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณ ที่รับผลกรรม
ไม่มี อุปทานขันธ์ จะเป็นอนัตตา ก็ไม่มีอัตตาที่จะรับผลกรรม
---------------
อ้างอิงตาม
ะไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๗. มหาจัตตารีสกสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/m_siri.php?B=14&siri=17
คือ เรากล่าวสัมมาทิฏฐิว่ามี ๒ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลคืออุปธิ
๒. สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะ ที่ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์
แห่งมรรค
-------
อ้างอิงสอง
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=17&A=2228&Z=2356
แสดงความคิดเห็น
สัพเพ ธัมมา อนัตตา