คือเริ่มศึกษาพระธรรมได้มาระยะหนึ่งแล้วครับ เพราะเบื่อโลก ไม่เข้าใจว่าจะมีโลกมีชีวิตทำไม หาแก่นสารอะไรก็ไม่ได้ อยากจะออกไปจากที่นี่สักที จะมีวิธีใดบ้าง
ได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง วัฏสงสารมานานแล้ว ก็พอทราบว่าหมายถึง การเกิดการตายครั้งแล้วครั้งเล่า ไปจุติเป็นกายใหม่ภพนั้นนี้ (ในความหมายที่มักเข้าใจกัน) หากมีเช่นนั้นจริง มรรคผลนิพพานย่อมเป็นหนทางอันประเสริฐแก่การดับวงจรนี้
ทีนี้ หนึ่งในกฏของไตรลักษณ์ที่คนมักกล่าวถึง และแทบจะเป็น หรือเป็น ลักษณะที่เป็นหัวใจของธรรมในพระพุทธศาสนา คือ อนัตตา ความไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหมดล้วนมีอยู่ เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่มีที่เป็นตัวตน
และพอมาวิเคราะห์เรื่องสองเรื่องนี้ชนกันแล้ว ก็ยังทำให้เกิดความสงสัยอยู่ว่า
...หากวัฏสงสารสงสารแบบข้ามภพชาติมีอยู่จริง และลักษณะของอนัตตาก็เป็นเรื่องจริง มันจะไม่ขัดกันหน่อยหรืออย่างไรครับ
ถ้าอัตตาคือตัวเราคือลักษณะจริงๆ อันนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า มีเรามาจากชาติก่อน มีเรามาเกิดในชาตินี้ และเราจะตายไปจุติใหม่ในชาติหน้าเป็นเราคน (หรือสัตว์ หรือเทพเทวดา) ใหม่ แบบนี้การปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานก็ makes sense เพราะ มันมีสายแห่งความเป็นเราเชื่อมกันมาแต่ไหนแต่ไร และเราจะได้เลิกเกิดๆตายๆเสียที จบกัน
แต่เพราะบอกว่าอนัตตา หมายความว่า อัตตา คือ illusion คราวนี้ ทั้งหมดนี้มันหมายความว่าไงครับ ถ้าแล้วไม่มีใครเป็นผู้เกิดผู้ตาย คำว่าสังสารวัฏในเชิงข้ามภพข้ามชาติก็แทบจะหมดความหมายไปเลย คือ ไม่มีสายความเป็นเราที่มาสร้างความเป็น อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ หรือ อนาคตชาติขึ้น มีแต่ธรรมที่ตั้งอยู่และสมมติว่าเป็นบุคคล เมื่อแตกไปแล้ว (อาจจะไม่ได้ขาดสูญ) ก็วนกลับมาสร้างเป็นสิ่งที่สมมติว่าบุคคลใหม่ซึ่งก็เป็นอนัตตา เช่นนี้เราก็อ้างไม่ได้ว่ากลุ่มธรรมที่สร้างขึ้นใหม่นั้นเป็นอนาคตชาติของใคร มีแต่ความเป็นปัจจุบัน ตั้งอยู่โดยแก่นสารของตัวมันเองของธรรมนั้นๆ เพราะไม่มี essence แห่งความเป็นตัวตนให้บอกเช่นนั้นได้
แต่เช่นนี้มันก็ไปขัดกับความจริงที่ว่ามีผู้บรรลุแก่ฌาณหลายๆท่านสามารถระลึกชาติของตนและของคนอื่นได้ เมื่อเรื่องจริงเป็นเช่นนี้ แสดงว่ามันต้องมีความเป็นอัตตา เป็นจิตของ individual หรือเป็นกลุ่มธรรมที่ถูก tag ชื่อไว้ว่าไอนี้ นายนี้ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ
และอีกอย่าง การเกิดมันก็มีอยู่จริงๆ คือเนี่ย มีร่างกายที่เกิดมาจริงๆและเป็นทุกข์จริงๆ มีอัตภาพของความเป็นบุคคลจริงๆ แบบนี้ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ของวัฏสงสารหรอกหรือ
หรือถ้าธรรมทั้งปวงคืออนัตตา แต่ธรรมที่รวมกันขึ้นเป็นบุคคลชอบหลอกตัวเองว่ามีอัตตาอยู่มาตั้งแต่เกิด แบบนี้หมายความว่า มันเป็นหน้าที่ของบุคคลทุกๆคนที่อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ที่ต้องมานั่งศึกษาเพื่อให้ออกจากความเป็นอัตตาอยู่ร่ำไป มีคนเกิดมาเรื่อยๆเป็นแสนเป็นล้านครั้ง อีกกี่ร้อยกี่พันปี ก็ต้องมานั่งศึกษาให้หลุดความเป็นอัตตาไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลยหรอครับ (จนกว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ โลกจะดับไป จักรวาลจะสิ้นไป) แล้วแก่นสารของชีวิตทั้งหมดทั้งมวลนี้คืออะไร จุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน เมื่อธรรมทั้งปวงต้องไหลไปเรื่อยๆ กลายเป็นชีวิตที่ติดอัตตาอยู่ร่ำไป
หรือทั้งหมดนี้คือนรกภูมิใหญ่ๆนี่เอง
ตกลงยังไงกันแน่
ส่วนตัวผมแอบเชียร์ให้วัฏสงสารแบบข้ามภพชาติมีอยู่จริง มันจะได้ makes sense เพราะไม่อยากต้องเกิดอีกแล้ว อยากหายๆไปเสีย เป็นอากาศธาตุเป็นอะไรก็ได้ ไม่ต้องเป็นอะไรที่มีชีวิต
ช่วยชี้ทางสว่างให้ผมทีครับ
การเวียนว่ายตายเกิด VS ความไม่ใช่ตัวตน มันมีกลไกยังไงหรอครับ
ได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง วัฏสงสารมานานแล้ว ก็พอทราบว่าหมายถึง การเกิดการตายครั้งแล้วครั้งเล่า ไปจุติเป็นกายใหม่ภพนั้นนี้ (ในความหมายที่มักเข้าใจกัน) หากมีเช่นนั้นจริง มรรคผลนิพพานย่อมเป็นหนทางอันประเสริฐแก่การดับวงจรนี้
ทีนี้ หนึ่งในกฏของไตรลักษณ์ที่คนมักกล่าวถึง และแทบจะเป็น หรือเป็น ลักษณะที่เป็นหัวใจของธรรมในพระพุทธศาสนา คือ อนัตตา ความไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหมดล้วนมีอยู่ เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่มีที่เป็นตัวตน
และพอมาวิเคราะห์เรื่องสองเรื่องนี้ชนกันแล้ว ก็ยังทำให้เกิดความสงสัยอยู่ว่า
...หากวัฏสงสารสงสารแบบข้ามภพชาติมีอยู่จริง และลักษณะของอนัตตาก็เป็นเรื่องจริง มันจะไม่ขัดกันหน่อยหรืออย่างไรครับ
ถ้าอัตตาคือตัวเราคือลักษณะจริงๆ อันนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า มีเรามาจากชาติก่อน มีเรามาเกิดในชาตินี้ และเราจะตายไปจุติใหม่ในชาติหน้าเป็นเราคน (หรือสัตว์ หรือเทพเทวดา) ใหม่ แบบนี้การปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานก็ makes sense เพราะ มันมีสายแห่งความเป็นเราเชื่อมกันมาแต่ไหนแต่ไร และเราจะได้เลิกเกิดๆตายๆเสียที จบกัน
แต่เพราะบอกว่าอนัตตา หมายความว่า อัตตา คือ illusion คราวนี้ ทั้งหมดนี้มันหมายความว่าไงครับ ถ้าแล้วไม่มีใครเป็นผู้เกิดผู้ตาย คำว่าสังสารวัฏในเชิงข้ามภพข้ามชาติก็แทบจะหมดความหมายไปเลย คือ ไม่มีสายความเป็นเราที่มาสร้างความเป็น อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ หรือ อนาคตชาติขึ้น มีแต่ธรรมที่ตั้งอยู่และสมมติว่าเป็นบุคคล เมื่อแตกไปแล้ว (อาจจะไม่ได้ขาดสูญ) ก็วนกลับมาสร้างเป็นสิ่งที่สมมติว่าบุคคลใหม่ซึ่งก็เป็นอนัตตา เช่นนี้เราก็อ้างไม่ได้ว่ากลุ่มธรรมที่สร้างขึ้นใหม่นั้นเป็นอนาคตชาติของใคร มีแต่ความเป็นปัจจุบัน ตั้งอยู่โดยแก่นสารของตัวมันเองของธรรมนั้นๆ เพราะไม่มี essence แห่งความเป็นตัวตนให้บอกเช่นนั้นได้
แต่เช่นนี้มันก็ไปขัดกับความจริงที่ว่ามีผู้บรรลุแก่ฌาณหลายๆท่านสามารถระลึกชาติของตนและของคนอื่นได้ เมื่อเรื่องจริงเป็นเช่นนี้ แสดงว่ามันต้องมีความเป็นอัตตา เป็นจิตของ individual หรือเป็นกลุ่มธรรมที่ถูก tag ชื่อไว้ว่าไอนี้ นายนี้ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ
และอีกอย่าง การเกิดมันก็มีอยู่จริงๆ คือเนี่ย มีร่างกายที่เกิดมาจริงๆและเป็นทุกข์จริงๆ มีอัตภาพของความเป็นบุคคลจริงๆ แบบนี้ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ของวัฏสงสารหรอกหรือ
หรือถ้าธรรมทั้งปวงคืออนัตตา แต่ธรรมที่รวมกันขึ้นเป็นบุคคลชอบหลอกตัวเองว่ามีอัตตาอยู่มาตั้งแต่เกิด แบบนี้หมายความว่า มันเป็นหน้าที่ของบุคคลทุกๆคนที่อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ที่ต้องมานั่งศึกษาเพื่อให้ออกจากความเป็นอัตตาอยู่ร่ำไป มีคนเกิดมาเรื่อยๆเป็นแสนเป็นล้านครั้ง อีกกี่ร้อยกี่พันปี ก็ต้องมานั่งศึกษาให้หลุดความเป็นอัตตาไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลยหรอครับ (จนกว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ โลกจะดับไป จักรวาลจะสิ้นไป) แล้วแก่นสารของชีวิตทั้งหมดทั้งมวลนี้คืออะไร จุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน เมื่อธรรมทั้งปวงต้องไหลไปเรื่อยๆ กลายเป็นชีวิตที่ติดอัตตาอยู่ร่ำไป
หรือทั้งหมดนี้คือนรกภูมิใหญ่ๆนี่เอง
ตกลงยังไงกันแน่
ส่วนตัวผมแอบเชียร์ให้วัฏสงสารแบบข้ามภพชาติมีอยู่จริง มันจะได้ makes sense เพราะไม่อยากต้องเกิดอีกแล้ว อยากหายๆไปเสีย เป็นอากาศธาตุเป็นอะไรก็ได้ ไม่ต้องเป็นอะไรที่มีชีวิต
ช่วยชี้ทางสว่างให้ผมทีครับ