เท่ มนัทพี กับทริปที่ 2 ของปี 2018 กลับมาแล้วนะค้าบบบ ปีนี้กระซิบเบาๆว่าต้องมี 4 ทริป มีความฝันว่าอยากเที่ยวต่างประเทศปีละ 4 ครั้ง ตอนนี้เห็นภาพแนบใจแล้วและจะต้องทำได้แน่นอน สำหรับทริปแรกของปี "เที่ยวเกาหลีเดือนพฤษภา บรรยากาศดีงามกว่าที่คิด" ติดตามได้ในลิ้งค์นี้
https://ppantip.com/topic/38011981
ครั้งนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรก เคยฝันไว้ตั้งแต่ ม. 4 ว่าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นและไปดูภูเขาไฟฟูจิ และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง "ความฝันไม่เคยทิ้งเรา แต่เราอย่าทิ้งความฝัน ความฝันเป็นจริงเมื่อเราลงมือทำจริง" วางแผนเที่ยวกันทั้งหมด 4 คืน 5 วัน ช่วงวันที่ 11 - 15 ก.ค. เที่ยวโตเกียวกับรอบๆภูเขาไฟฟูจิ และจุดที่เท่ปลื้มใจที่สุดในทริปนี้ แน่นอน คือทุ่งลาเวนเดอร์ที่ Oishi Park ทริปนี้ใช้งบ 20,000 ต้นๆ รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเที่ยว ไม่รวมช็อปปิ้ง เพราะถ้ารวมช็อปปิ้งมันก็จะเจ็บและจุกมาก ก็มีแต่ของน่าซื้ออ่ะ น่ารัก คิกขุ มุ้งมิ้งมาก ตะบะแตก 55
รีวิวนี้จะเล่าตั้งแต่เรื่องตั๋วเครื่องบินไปกลับ การจองที่พัก แลกเงิน ซื้อซิมการ์ด และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสำหรับคนที่มาเยือนโตเกียวครั้งแรกต้องไป โดยเท่จะเล่าเรียงตามวัน อย่างที่เรารู้กันว่าการเดินทางในโตเกียวมันงงมาก เพราะรถไฟก็มีหลายสาย คนก็เยอะ คนหลงกันระเนระนาด คนญี่ปุ่นเองก็ยังหลงเลยจ้า ดังนั้นก่อนไปเราต้องหาข้อมูลกันเยอะมากและต้องเป็นข้อมูลที่อัพเดท เพื่อลดโอกากาสที่เราจะหลงทางให้เหลือน้อยที่สุด เพราะเรามีเวลาเที่ยวอย่างจำกัด จะเข้าเรื่องละนะ พร้อมลุยยย!
จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก แลกเงิน ซื้อซิมการ์ด
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน หลายคนคงกลัวเจอพายุ กลัวฝนตก กลัวร้อน กลัวไปต่างๆนานา แต่เท่ไม่กลัว เพราะราคาตั๋วช่วงนี้ถูกมาก โปรโมชั่นจัดเต็มมาก และสายการบินที่เวลาบินเหมาะกับเท่มากที่สุด ราคาดีที่สุด และมีบริการที่เหมาะกับเท่มากที่สุดก็คือ Flyscoot ครับ (ไม่มีค่าสปอนเซอร์แต่อย่างใด ชอบเอง จ่ายเองอีหลี)
ทำไมมันเหมาะกับเท่น่ะหรือ? ก็เพราะว่าเวลาบินนางดี เท่ทำงานจนถึงเย็น แล้วกลับบ้านไปเก็บของ อาบน้ำ แต่งตัว แล้วออกไปสนามบินประมาณ 3 ทุ่ม แล้วบินเวลา 00:45 ไปถึงสนามบินนาริตะ 08:50 เข้าเมือง เช็คอินที่ที่พัก แล้วออกเที่ยวได้เลย และที่เลือกใช้บริการ Flyscoot ก็เพราะอยากลองนั่ง Boeing 787 Dreamliner เป็นเครื่องรุ่นใหม่ ลำใหญ่ นั่งสบาย
ส่วนขากลับเท่นั่งสายการบิน Nokscoot เครื่องลำใหญ่เหมือนกัน เวลาบินเค้าก็เหมาะกับเราพอดี คือบินกลับไทยเวลา 13:55 ถึงกรุงเทพก็เย็นๆประมาณ 18:35 ทำให้ขากลับไทยเราตื่นสายได้ เช็คเอ้าท์สายๆ กินข้าว ช็อปปิ้งอีกเล็กน้อย แล้วค่อยไปสนามบินนาริตะ ที่สำคัญคือเราได้เที่ยวแบบเต็มที่จริงๆ กลับถึงบ้านก็มีเวลานอนหลับเต็มอิ่มพร้อมตื่นเช้าไปทำงานต่อได้สบายๆ
สรุปราคาตั๋วไปกลับอยู่ที่ 7,760 บาท ของเท่รวมเลือกที่นั่งและโหลดกระเป๋า 20 กิโล ทำให้มีเงินเหลือเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
การจองที่พัก เท่จองผ่าน booking.com เพราะจองง่าย แล้วไปจ่ายเงินที่โน่นตอนเช็คอิน เท่เลือกพักที่ย่าน Ueno เพราะเดินทางจากสนามบินสะดวก นั่งรถไฟต่อเดียวถึงเลย แล้วย่านนี้ราคาไม่แพง ของกินหาง่าย มีของอร่อยๆเยอะมาก แถมยังมีรถไฟหลายสายที่ช่วยให้เดินทางไปจุดท่องเที่ยวอื่นๆสะดวก และที่ฟินมากก็คือ ที่พักของเท่มีออนเซนให้แช่ด้วย สบ๊ายสบาย แก้ผ้าอาบน้ำกับคนแปลกหน้ากลายเป็นเรื่องชิลๆไปแล้ว 55
ต่อมาคือการแลกเงิน แนะนำว่าควรวางแผนค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปแลก อย่าไปคิดว่าแลกไปเท่านั้นเท่านี้ก่อนถ้าไม่พอค่อยกดเพิ่ม เพราะถ้าเราแลกไปเยอะเกิน เราก็จะใช้หมด ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายแล้วกลับมากินแกลบที่บ้าน แต่ถ้าแลกไปไม่พอ มันก็จะเสียค่ากดและได้เรทที่แพง ทำให้เปลืองตังแบบไม่จำเป็น และทุกครั้งที่เท่ไปต่างประเทศ เท่ไปแลกอยู่แต่กับเจ้านี้เจ้าเดียว SuperRich เพราะเรามั่นใจว่าได้เรทดี ไม่โดนเงินปลอมแน่ๆ ไปสะดวกมาก และสาขาประจำของเท่คือ สยามพารากอน หลับตาเดินขึ้นไป 5 วิก็ถึงละ ถ้าไม่ตกบันไดหน้าฟาดพื้นซะก่อน
ส่วนหัวข้อสุดท้ายก่อนที่เราจะบินไปแดนคิกขุก็คือ ซิมการ์ด มันจำเป็นมากไม่แพ้เรื่องเงิน เพราะเราต้องใช้เน็ต ดูแผนที่ อัพรูป หาร้านอาหาร เป็นต้น อย่าไปคิดว่าจะไปหาซื้อซิมที่โน่น เพราะกว่าจะเดินหาเค้าเตอร์ กว่าจะสื่อสารกับพนักงานเข้าใจ เสียเวลาเที่ยวเราเปล่าๆ ซื้อจากไทยไปเลยจ้า และครั้งนี้เท่เลือกใช้ของ AIS Sim2Fly แบบ 8 วัน 4 GB ในความเร็วสูงสุด แล้วจากนั้นก็จะเป็นความเร็วที่ต่ำลงแต่สามารถใช้งานได้ไม่อั้น ซื้อมาในราคา 399 บาท ที่เค้าเตอร์ในสนามบิน
ไปถึงญี่ปุ่นเปลี่ยนซิม เปิดโรมมิ่ง แล้วใช้งานได้ทันที เน็ตเร็วดี ไม่ว่าจะขึ้นเข้าลงห้วยก็มีสัญญาณตลอดทริป ถามว่าเน็ต 4 GB สำหรับทริปนี้พอไหม? ตอบเลยว่า เท่ใช้ไม่ถึง 4 GB เลย ทั้งๆที่เราใช้เน็ตเยอะมาก ทั้งใช้ในการดูแผนที่ อัพรูป ถ่ายไลฟ์เฟสบุ๊ค และโทรไลน์ แอบเสียดาย รู้งี้จะไลฟ์ให้เยอะกว่านี้ 55 ปล. แนะนำให้โหลดแอพ Tokyo Metro จะทำให้เดินทางง่ายขึ้น อย่าไปดูแผนที่เองเลย งงตาแตก ให้แอพนี้ช่วยคำณวนเส้นทางที่สั้นที่สุดดีกว่า แล้วเอาสมองไปจดจำเรื่องราวที่เราประทับใจแทนดีกว่า เอาล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมละ ลุยเลยละกัน 3...4...!!!
DAY 1 : JAPAN FIRST TIME
หลังจากที่นอนหลับพอพับคอแคงอยู่บนเครื่อง ในที่สุดก็มาถึงซักทีแดนคิกขุ แผ่นดินญี่ปุ่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง ต้นไม้เอย ถนนเอย ท้องฟ้าเอย มันเป็นแบบนี้นี่เอง ความรู้สึกของคนที่ไปที่ไหนครั้งแรกก็จะเป็นแบบนี้ล่ะ คุณก็เป็นใช่ไหม ปลดเข็มขัด ส่องกระจก ซับหนังหน้า จัดทรงผม เดินไปขอบคุณแอร์ Thank you ยิ้มเยอะๆ แล้วก็ลากกระเป๋าเดินออกจากเครื่องไปอย่างหล่อ เอ้า!!! มือถือกุอยู่ไหน 55
ผ่าน ตม. เรียบร้อย ไม่ถามสุขภาพซักคำ แถมสติ๊กเกอร์ที่แปะลงไปในพาสปอร์ตเราก็น่ารักมาก พนง.สุภาพสุดๆ และดูต้อนรับคนไทยมาก เริ่มตกหลุมรักประเทศนี้เข้าแล้วสิ ประทับใจตั้งแต่ที่สนามบินเลยล่ะ ตอนไปเอากระเป๋า ยังไม่ทันจะไปยืนรอเลย กระเป๋ามาวางรออย่างสวยงามแล้วอ่ะ แทบอยากก้มลงกราบ ดีงามพระรามแปด
ทีนี้ถึงเวลาใช้ความรู้ที่ได้สะสมมาในการซื้อบัตรรถไฟเพื่อเดินทางเข้าเมืองกันแล้วล่ะ เราจะเข้าเมืองโดยรถไฟ Keisei Main Line นั่งต่อเดียวถึงสถานี Ueno เลย แม้ว่าจะจอดทุกสถานีโดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. แต่เราไม่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า ไม่ต้องรอรถนาน และราคาประหยัด เดินออกมาแล้วตามป้ายรถไฟมาเรื่อยๆ จะเห็นป้าย Keisei Main Line สีน้ำเงิน เดินมาเรื่อยๆจะเห็นตู้ขายบัตร IC Card ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้ในการเดินทางทั้งรถไฟและรถเมล์ ซื้อบัตรนี้ได้ที่ตู้ จะมีบัตร 2 แบบหลักๆคือ Pasmo กับ Suica เท่ซื้อเป็นบัตร Pasmo เติมเงินในบัตรได้เรื่อยๆ ค่ารถไฟ Keisei Main Line จาก Narita ไปสถานี Ueno โดยใช้บัตร IC Card อยู่ที่ 1,030 เยน ประมาณ 300 บาท ซื้อบัตรแล้วเดินตามป้าย Keisei Mian Line ไปเรื่อยๆ
มายืนรอแปปเดียวรถไฟก็มาละ ตั้งสติก่อนขึ้นด้วย อย่าขึ้นผิดชานชลา อ่านดีๆด้วยก่อนที่จะขึ้นอะไร พอขึ้นมาก็นั่งหลับยาวๆไป ตอนแรกกะว่าจะไม่หลับเพราะอยากดูวิวข้างทางแล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว นั่งไปยังไม่ถึง 3 สถานีก็หลับละ หลับแบบสนิทไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เจอกันที่ปลายทางละกัน นอนก่อนไม่รอแล้วนะ 55
พอถึงสถานี Ueno ก็ยืนงงกันอยู่ว่าจะออกทางออกไหนดี เพราะทางออกแต่ละประตูมันไกลกัน ออกผิดชีวิตเปลี่ยน หาข้อมูลไว้ดีแล้วนะ แต่พอมาหน้างานจริงๆมันงงอ่ะ มาเลยจ้าพระเอกของงาน ล้วงออกมาเลยมือถือของเรา เน็ตพร้อมเปิดดูเลยแผนที่ ออกทางไหนใกล้สุด จากนั้นก็ลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปเช็คอิน เดินทางสะดวกมาก ห่างจากสถานีรถไฟเดินประมาณ 5 นาที เนื่องจากไปถึงเช้า ต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนแล้วมาเช็คอินช่วงบ่ายๆ ไม่มีรอ วางกระเป๋าเสร็จ ซับหน้านิดหน่อย จัดทรงผมนิดหน่อย คว้าได้ร่ม กล้องตัวโปรด น้ำดื่มขวดนึง แล้วออกโลด ไปหากินข้าวอย่างไว โหยหิว
นี่คือบรรยากาศแถวตลาดบริเวณสถานี Ueno หรือเรียกว่า Ameyoko Market มีร้านอาหารเยอะจริงๆ แต่ตอนกลางวันคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร ส่วนอากาศเป็นไงน่ะหรือ คือร้อนมากแทบกลางร่มไม่ทัน ร้อนไม่แพ้กรุงเทพเลย ไม่ได้เว่อร์ มันร้อนจริงๆ ไปหากินข้าวตากแอร์เย็นๆก่อนดีกว่า เดินไปเดินมา สุดท้ายมาลงเอยกันที่ร้านนี้ ป้ายหน้าร้านมันเตะตา อาหารน่ากิน ราคาดี ใส่เกียร์หมาแล้วเดินขึ้นมาชั้น 2 ยืนดูเค้าสั่งแปปนึง ศึกษาแปปนึง แล้วทำตาม ทำแบบเริ่ดๆราวกับว่าเรามาบ่อยแล้ว อย่าไปงึงะให้เค้าเห็นเป็นอันขาด อย่าปล่อยไก่เชียว 55
เมนูนี้ตกประมาณ 180 บาท คือกินไม่หมด มีน้ำให้กดฟรี มีช้อนไม้ที่ใหญ่มากให้ด้วย อุปกรณ์อะไรที่เราไม่คุ้นเคยก็อย่าไปหยิบ อย่าไปเล่น คงคอนเซ็ฟท์ไว้คืออย่าปล่อยไก่ ไม่เอา ไม่เลี้ยงสัตว์ กินเสร็จเอาถาดไปเก็บด้วย เรื่องมารยาทสำคัญ อันนี้จริงจรัง อยู่ดีๆก็เข้าโหมดสายโหต ออกเที่ยวกันเถอะ ที่เที่ยวแรกของทริปคือจะไปย่าน Asakusa อยู่ใกล้ๆกันนี่ล่ะ อยู่ถัดไปอีก 3 สถานี ลุย!!!
ลงที่สถานี Asakusa แล้วออกที่ทางออก 1 หรือ 3 ก็ได้ เดินตรงมาอีกนิดนึง เลี้ยวขวาแล้วจะเจอที่เที่ยวเลย หายใจลึกๆ ทำหน้าตาให้สดใสแม้ว่าจะนอนไม่ค่อยอิ่มก็เหอะ ร่าเริงแล้วเที่ยวให้สนุก ถ่ายรูปรัวๆไปเลย ตรงนี้จะเป็นจุดก่อนเดินเข้าไปในถนนคนเดิน Nakamise Shopping Street ซึ่งมีชื่อว่า Kaminarimon Gate Sensouji
ตรงประตูคนเยอะมาก แม้ว่าอากาศจะร้อน ทางเรากะบ่ยั่น ยืนถ่ายจนกว่าจะได้ภาพ ยืนถ่ายอยู่ตรงนี้ประมาณ 20 นาทีได้ พอใจแล้วก็ไปต่อ เดินลอดผ่านประตูเข้ามาก็จะเป็นถนนที่ทอดยาวไปจนถึงหน้าวัด Sensoji สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยร้านขายของ และนักท่องเที่ยวทั้งคนญี่ปุ่นเองและต่างชาติ มีคนใส่ชุดยูกะตะมาเดินเยอะมาก น่ารักดี เป็นความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจดี แต่อากาศมันร้อนเหลือเกิน กางร่มแล้วก็แล้ว สงสัยมันต้องหาของเย็นๆกิน แวะโลดแวะ
แก้วละเท่าไรจำไม่ได้ แต่ที่จำได้คือ คนขายหน้าตาดี อิ๊อิ๊ เอาล่ะ ทีนี้โฟกัสเรื่องเที่ยว อย่าวอกแวก สติครับสติ เดินตรงตามทางมาเรื่อยๆ หลับตาเดินก็ไม่หลง แล้วก็จะเห็นเจดีย์สูงๆตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใช่แล้ว มันคือวัด Sensoji ที่เราเห็นในป้ายโฆษณา โปสเตอร์ และนิตยสารท่องเที่ยวต่างๆนั่นเอง
[CR] เที่ยวญี่ปุ่นเดือนกรกฎา โตเกียว + ทุ่งลาเวนเดอร์ + ภูเขาไฟฟูจิ
เท่ มนัทพี กับทริปที่ 2 ของปี 2018 กลับมาแล้วนะค้าบบบ ปีนี้กระซิบเบาๆว่าต้องมี 4 ทริป มีความฝันว่าอยากเที่ยวต่างประเทศปีละ 4 ครั้ง ตอนนี้เห็นภาพแนบใจแล้วและจะต้องทำได้แน่นอน สำหรับทริปแรกของปี "เที่ยวเกาหลีเดือนพฤษภา บรรยากาศดีงามกว่าที่คิด" ติดตามได้ในลิ้งค์นี้ https://ppantip.com/topic/38011981
ครั้งนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรก เคยฝันไว้ตั้งแต่ ม. 4 ว่าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นและไปดูภูเขาไฟฟูจิ และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง "ความฝันไม่เคยทิ้งเรา แต่เราอย่าทิ้งความฝัน ความฝันเป็นจริงเมื่อเราลงมือทำจริง" วางแผนเที่ยวกันทั้งหมด 4 คืน 5 วัน ช่วงวันที่ 11 - 15 ก.ค. เที่ยวโตเกียวกับรอบๆภูเขาไฟฟูจิ และจุดที่เท่ปลื้มใจที่สุดในทริปนี้ แน่นอน คือทุ่งลาเวนเดอร์ที่ Oishi Park ทริปนี้ใช้งบ 20,000 ต้นๆ รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเที่ยว ไม่รวมช็อปปิ้ง เพราะถ้ารวมช็อปปิ้งมันก็จะเจ็บและจุกมาก ก็มีแต่ของน่าซื้ออ่ะ น่ารัก คิกขุ มุ้งมิ้งมาก ตะบะแตก 55
รีวิวนี้จะเล่าตั้งแต่เรื่องตั๋วเครื่องบินไปกลับ การจองที่พัก แลกเงิน ซื้อซิมการ์ด และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสำหรับคนที่มาเยือนโตเกียวครั้งแรกต้องไป โดยเท่จะเล่าเรียงตามวัน อย่างที่เรารู้กันว่าการเดินทางในโตเกียวมันงงมาก เพราะรถไฟก็มีหลายสาย คนก็เยอะ คนหลงกันระเนระนาด คนญี่ปุ่นเองก็ยังหลงเลยจ้า ดังนั้นก่อนไปเราต้องหาข้อมูลกันเยอะมากและต้องเป็นข้อมูลที่อัพเดท เพื่อลดโอกากาสที่เราจะหลงทางให้เหลือน้อยที่สุด เพราะเรามีเวลาเที่ยวอย่างจำกัด จะเข้าเรื่องละนะ พร้อมลุยยย!
จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก แลกเงิน ซื้อซิมการ์ด
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน หลายคนคงกลัวเจอพายุ กลัวฝนตก กลัวร้อน กลัวไปต่างๆนานา แต่เท่ไม่กลัว เพราะราคาตั๋วช่วงนี้ถูกมาก โปรโมชั่นจัดเต็มมาก และสายการบินที่เวลาบินเหมาะกับเท่มากที่สุด ราคาดีที่สุด และมีบริการที่เหมาะกับเท่มากที่สุดก็คือ Flyscoot ครับ (ไม่มีค่าสปอนเซอร์แต่อย่างใด ชอบเอง จ่ายเองอีหลี)
ทำไมมันเหมาะกับเท่น่ะหรือ? ก็เพราะว่าเวลาบินนางดี เท่ทำงานจนถึงเย็น แล้วกลับบ้านไปเก็บของ อาบน้ำ แต่งตัว แล้วออกไปสนามบินประมาณ 3 ทุ่ม แล้วบินเวลา 00:45 ไปถึงสนามบินนาริตะ 08:50 เข้าเมือง เช็คอินที่ที่พัก แล้วออกเที่ยวได้เลย และที่เลือกใช้บริการ Flyscoot ก็เพราะอยากลองนั่ง Boeing 787 Dreamliner เป็นเครื่องรุ่นใหม่ ลำใหญ่ นั่งสบาย
ส่วนขากลับเท่นั่งสายการบิน Nokscoot เครื่องลำใหญ่เหมือนกัน เวลาบินเค้าก็เหมาะกับเราพอดี คือบินกลับไทยเวลา 13:55 ถึงกรุงเทพก็เย็นๆประมาณ 18:35 ทำให้ขากลับไทยเราตื่นสายได้ เช็คเอ้าท์สายๆ กินข้าว ช็อปปิ้งอีกเล็กน้อย แล้วค่อยไปสนามบินนาริตะ ที่สำคัญคือเราได้เที่ยวแบบเต็มที่จริงๆ กลับถึงบ้านก็มีเวลานอนหลับเต็มอิ่มพร้อมตื่นเช้าไปทำงานต่อได้สบายๆ สรุปราคาตั๋วไปกลับอยู่ที่ 7,760 บาท ของเท่รวมเลือกที่นั่งและโหลดกระเป๋า 20 กิโล ทำให้มีเงินเหลือเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
การจองที่พัก เท่จองผ่าน booking.com เพราะจองง่าย แล้วไปจ่ายเงินที่โน่นตอนเช็คอิน เท่เลือกพักที่ย่าน Ueno เพราะเดินทางจากสนามบินสะดวก นั่งรถไฟต่อเดียวถึงเลย แล้วย่านนี้ราคาไม่แพง ของกินหาง่าย มีของอร่อยๆเยอะมาก แถมยังมีรถไฟหลายสายที่ช่วยให้เดินทางไปจุดท่องเที่ยวอื่นๆสะดวก และที่ฟินมากก็คือ ที่พักของเท่มีออนเซนให้แช่ด้วย สบ๊ายสบาย แก้ผ้าอาบน้ำกับคนแปลกหน้ากลายเป็นเรื่องชิลๆไปแล้ว 55
ต่อมาคือการแลกเงิน แนะนำว่าควรวางแผนค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปแลก อย่าไปคิดว่าแลกไปเท่านั้นเท่านี้ก่อนถ้าไม่พอค่อยกดเพิ่ม เพราะถ้าเราแลกไปเยอะเกิน เราก็จะใช้หมด ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายแล้วกลับมากินแกลบที่บ้าน แต่ถ้าแลกไปไม่พอ มันก็จะเสียค่ากดและได้เรทที่แพง ทำให้เปลืองตังแบบไม่จำเป็น และทุกครั้งที่เท่ไปต่างประเทศ เท่ไปแลกอยู่แต่กับเจ้านี้เจ้าเดียว SuperRich เพราะเรามั่นใจว่าได้เรทดี ไม่โดนเงินปลอมแน่ๆ ไปสะดวกมาก และสาขาประจำของเท่คือ สยามพารากอน หลับตาเดินขึ้นไป 5 วิก็ถึงละ ถ้าไม่ตกบันไดหน้าฟาดพื้นซะก่อน
ส่วนหัวข้อสุดท้ายก่อนที่เราจะบินไปแดนคิกขุก็คือ ซิมการ์ด มันจำเป็นมากไม่แพ้เรื่องเงิน เพราะเราต้องใช้เน็ต ดูแผนที่ อัพรูป หาร้านอาหาร เป็นต้น อย่าไปคิดว่าจะไปหาซื้อซิมที่โน่น เพราะกว่าจะเดินหาเค้าเตอร์ กว่าจะสื่อสารกับพนักงานเข้าใจ เสียเวลาเที่ยวเราเปล่าๆ ซื้อจากไทยไปเลยจ้า และครั้งนี้เท่เลือกใช้ของ AIS Sim2Fly แบบ 8 วัน 4 GB ในความเร็วสูงสุด แล้วจากนั้นก็จะเป็นความเร็วที่ต่ำลงแต่สามารถใช้งานได้ไม่อั้น ซื้อมาในราคา 399 บาท ที่เค้าเตอร์ในสนามบิน
ไปถึงญี่ปุ่นเปลี่ยนซิม เปิดโรมมิ่ง แล้วใช้งานได้ทันที เน็ตเร็วดี ไม่ว่าจะขึ้นเข้าลงห้วยก็มีสัญญาณตลอดทริป ถามว่าเน็ต 4 GB สำหรับทริปนี้พอไหม? ตอบเลยว่า เท่ใช้ไม่ถึง 4 GB เลย ทั้งๆที่เราใช้เน็ตเยอะมาก ทั้งใช้ในการดูแผนที่ อัพรูป ถ่ายไลฟ์เฟสบุ๊ค และโทรไลน์ แอบเสียดาย รู้งี้จะไลฟ์ให้เยอะกว่านี้ 55 ปล. แนะนำให้โหลดแอพ Tokyo Metro จะทำให้เดินทางง่ายขึ้น อย่าไปดูแผนที่เองเลย งงตาแตก ให้แอพนี้ช่วยคำณวนเส้นทางที่สั้นที่สุดดีกว่า แล้วเอาสมองไปจดจำเรื่องราวที่เราประทับใจแทนดีกว่า เอาล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมละ ลุยเลยละกัน 3...4...!!!
DAY 1 : JAPAN FIRST TIME
หลังจากที่นอนหลับพอพับคอแคงอยู่บนเครื่อง ในที่สุดก็มาถึงซักทีแดนคิกขุ แผ่นดินญี่ปุ่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง ต้นไม้เอย ถนนเอย ท้องฟ้าเอย มันเป็นแบบนี้นี่เอง ความรู้สึกของคนที่ไปที่ไหนครั้งแรกก็จะเป็นแบบนี้ล่ะ คุณก็เป็นใช่ไหม ปลดเข็มขัด ส่องกระจก ซับหนังหน้า จัดทรงผม เดินไปขอบคุณแอร์ Thank you ยิ้มเยอะๆ แล้วก็ลากกระเป๋าเดินออกจากเครื่องไปอย่างหล่อ เอ้า!!! มือถือกุอยู่ไหน 55
ผ่าน ตม. เรียบร้อย ไม่ถามสุขภาพซักคำ แถมสติ๊กเกอร์ที่แปะลงไปในพาสปอร์ตเราก็น่ารักมาก พนง.สุภาพสุดๆ และดูต้อนรับคนไทยมาก เริ่มตกหลุมรักประเทศนี้เข้าแล้วสิ ประทับใจตั้งแต่ที่สนามบินเลยล่ะ ตอนไปเอากระเป๋า ยังไม่ทันจะไปยืนรอเลย กระเป๋ามาวางรออย่างสวยงามแล้วอ่ะ แทบอยากก้มลงกราบ ดีงามพระรามแปด
ทีนี้ถึงเวลาใช้ความรู้ที่ได้สะสมมาในการซื้อบัตรรถไฟเพื่อเดินทางเข้าเมืองกันแล้วล่ะ เราจะเข้าเมืองโดยรถไฟ Keisei Main Line นั่งต่อเดียวถึงสถานี Ueno เลย แม้ว่าจะจอดทุกสถานีโดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. แต่เราไม่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า ไม่ต้องรอรถนาน และราคาประหยัด เดินออกมาแล้วตามป้ายรถไฟมาเรื่อยๆ จะเห็นป้าย Keisei Main Line สีน้ำเงิน เดินมาเรื่อยๆจะเห็นตู้ขายบัตร IC Card ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้ในการเดินทางทั้งรถไฟและรถเมล์ ซื้อบัตรนี้ได้ที่ตู้ จะมีบัตร 2 แบบหลักๆคือ Pasmo กับ Suica เท่ซื้อเป็นบัตร Pasmo เติมเงินในบัตรได้เรื่อยๆ ค่ารถไฟ Keisei Main Line จาก Narita ไปสถานี Ueno โดยใช้บัตร IC Card อยู่ที่ 1,030 เยน ประมาณ 300 บาท ซื้อบัตรแล้วเดินตามป้าย Keisei Mian Line ไปเรื่อยๆ
มายืนรอแปปเดียวรถไฟก็มาละ ตั้งสติก่อนขึ้นด้วย อย่าขึ้นผิดชานชลา อ่านดีๆด้วยก่อนที่จะขึ้นอะไร พอขึ้นมาก็นั่งหลับยาวๆไป ตอนแรกกะว่าจะไม่หลับเพราะอยากดูวิวข้างทางแล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว นั่งไปยังไม่ถึง 3 สถานีก็หลับละ หลับแบบสนิทไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เจอกันที่ปลายทางละกัน นอนก่อนไม่รอแล้วนะ 55
พอถึงสถานี Ueno ก็ยืนงงกันอยู่ว่าจะออกทางออกไหนดี เพราะทางออกแต่ละประตูมันไกลกัน ออกผิดชีวิตเปลี่ยน หาข้อมูลไว้ดีแล้วนะ แต่พอมาหน้างานจริงๆมันงงอ่ะ มาเลยจ้าพระเอกของงาน ล้วงออกมาเลยมือถือของเรา เน็ตพร้อมเปิดดูเลยแผนที่ ออกทางไหนใกล้สุด จากนั้นก็ลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปเช็คอิน เดินทางสะดวกมาก ห่างจากสถานีรถไฟเดินประมาณ 5 นาที เนื่องจากไปถึงเช้า ต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนแล้วมาเช็คอินช่วงบ่ายๆ ไม่มีรอ วางกระเป๋าเสร็จ ซับหน้านิดหน่อย จัดทรงผมนิดหน่อย คว้าได้ร่ม กล้องตัวโปรด น้ำดื่มขวดนึง แล้วออกโลด ไปหากินข้าวอย่างไว โหยหิว
นี่คือบรรยากาศแถวตลาดบริเวณสถานี Ueno หรือเรียกว่า Ameyoko Market มีร้านอาหารเยอะจริงๆ แต่ตอนกลางวันคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร ส่วนอากาศเป็นไงน่ะหรือ คือร้อนมากแทบกลางร่มไม่ทัน ร้อนไม่แพ้กรุงเทพเลย ไม่ได้เว่อร์ มันร้อนจริงๆ ไปหากินข้าวตากแอร์เย็นๆก่อนดีกว่า เดินไปเดินมา สุดท้ายมาลงเอยกันที่ร้านนี้ ป้ายหน้าร้านมันเตะตา อาหารน่ากิน ราคาดี ใส่เกียร์หมาแล้วเดินขึ้นมาชั้น 2 ยืนดูเค้าสั่งแปปนึง ศึกษาแปปนึง แล้วทำตาม ทำแบบเริ่ดๆราวกับว่าเรามาบ่อยแล้ว อย่าไปงึงะให้เค้าเห็นเป็นอันขาด อย่าปล่อยไก่เชียว 55
เมนูนี้ตกประมาณ 180 บาท คือกินไม่หมด มีน้ำให้กดฟรี มีช้อนไม้ที่ใหญ่มากให้ด้วย อุปกรณ์อะไรที่เราไม่คุ้นเคยก็อย่าไปหยิบ อย่าไปเล่น คงคอนเซ็ฟท์ไว้คืออย่าปล่อยไก่ ไม่เอา ไม่เลี้ยงสัตว์ กินเสร็จเอาถาดไปเก็บด้วย เรื่องมารยาทสำคัญ อันนี้จริงจรัง อยู่ดีๆก็เข้าโหมดสายโหต ออกเที่ยวกันเถอะ ที่เที่ยวแรกของทริปคือจะไปย่าน Asakusa อยู่ใกล้ๆกันนี่ล่ะ อยู่ถัดไปอีก 3 สถานี ลุย!!!
ลงที่สถานี Asakusa แล้วออกที่ทางออก 1 หรือ 3 ก็ได้ เดินตรงมาอีกนิดนึง เลี้ยวขวาแล้วจะเจอที่เที่ยวเลย หายใจลึกๆ ทำหน้าตาให้สดใสแม้ว่าจะนอนไม่ค่อยอิ่มก็เหอะ ร่าเริงแล้วเที่ยวให้สนุก ถ่ายรูปรัวๆไปเลย ตรงนี้จะเป็นจุดก่อนเดินเข้าไปในถนนคนเดิน Nakamise Shopping Street ซึ่งมีชื่อว่า Kaminarimon Gate Sensouji
ตรงประตูคนเยอะมาก แม้ว่าอากาศจะร้อน ทางเรากะบ่ยั่น ยืนถ่ายจนกว่าจะได้ภาพ ยืนถ่ายอยู่ตรงนี้ประมาณ 20 นาทีได้ พอใจแล้วก็ไปต่อ เดินลอดผ่านประตูเข้ามาก็จะเป็นถนนที่ทอดยาวไปจนถึงหน้าวัด Sensoji สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยร้านขายของ และนักท่องเที่ยวทั้งคนญี่ปุ่นเองและต่างชาติ มีคนใส่ชุดยูกะตะมาเดินเยอะมาก น่ารักดี เป็นความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจดี แต่อากาศมันร้อนเหลือเกิน กางร่มแล้วก็แล้ว สงสัยมันต้องหาของเย็นๆกิน แวะโลดแวะ
แก้วละเท่าไรจำไม่ได้ แต่ที่จำได้คือ คนขายหน้าตาดี อิ๊อิ๊ เอาล่ะ ทีนี้โฟกัสเรื่องเที่ยว อย่าวอกแวก สติครับสติ เดินตรงตามทางมาเรื่อยๆ หลับตาเดินก็ไม่หลง แล้วก็จะเห็นเจดีย์สูงๆตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ใช่แล้ว มันคือวัด Sensoji ที่เราเห็นในป้ายโฆษณา โปสเตอร์ และนิตยสารท่องเที่ยวต่างๆนั่นเอง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้