สวัสดีค่ะทุกท่าน ต่อเนื่องจากกระทู้ที่แล้ว เราเดินทางมาถึงซัปโปโรวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม และเดินเที่ยวในเมืองซัปโปโรยามเย็นท่ามกลางสายฝน
ทริปวันที่ 2 นี้ เราจะออกไปเที่ยวนอกเมืองกันบ้าง ซึ่งเราไปกันแบบไม่เช่ารถขับค่ะ การเที่ยวฮอกไกโดแบบไม่มีรถจะลำบากมั้ย แล้ววันนี้เราจะเจอฝนอีกมั้ยนะ ตามไปดูกันเล้ยยยยยยยยยยยย
รับชมทริป Day 1: พาชมจุดชมเครื่องบิน"สนามบินนาโกย่า" เดินเล่นซัปโปโร ตบท้ายด้วยโซบะแบบยืนกินร้อนๆ ราคาประหยัด
ได้ที่กระทู้นี้ค่ะ >>>
https://ppantip.com/topic/39887675
---- Day 2: วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2562 ----
หลายคนคงมี Dream Destination ว่าสักวันหนึ่งเราจะไปที่นี่ให้ได้ เราเองก็เช่นกันค่ะ โดยเป้าหมายหลักในการเลือกมาฮอกไกโดหน้าร้อนของเรา คือการเที่ยวชมทุ่งลาเวนเดอร์และเนินดอกไม้สีรุ้ง ที่ผ่านมาเรานั่งดูหลายๆ รีวิว แล้วคิดในใจว่าอยากมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง และวันนี้ฝันของเราก็เป็นจริงแล้ว
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เราไม่ได้เช่ารถขับ ดังนั้นการเดินทางของเราจะมีทั้งรถไฟ รถบัส และ "2 ขาของเราเอง" เนี่ยแหละค่ะ บอกเลยว่าใครจะมาแบบไม่เช่ารถขับ ต้องฟิตร่างกายมาดีๆ เลยค่ะ ก่อนจะไปชมทุ่งดอกไม้ จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ "Shirogane Blue Pond" หรือ "บ่อน้ำสีฟ้า" ตั้งอยู่ที่เมือง Biei (บิเอะ) จังหวัดฮอกไกโด ดูจาก Hyperdia แล้ว Susukino ถึง Biei ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที
โดยเราจะใช้พาส "Hokkaido Rail Pass" แบบที่ใช้ต่อเนื่อง 3 วัน (เราใช้วันที่ 27-29 ก.ค.) ราคา 16,500 เยน (ผู้ใหญ่) สำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี จะราคา 8,250 เยน ซึ่งบัตรนี้เราซื้อตั้งแต่วันแรกที่ลงเครื่องที่สนามบิน New Chitose ค่ะ หน้าตาบัตรเป็นแบบนี้
และทำการจองที่นั่งกับเจ้าหน้าที่ตอนซื้อพาสเลยค่ะ ก็จะได้บัตร Reserved Seat หน้าตาแบบนี้มา เวลาจะขึ้นให้ดูที่ต้นทาง-ปลายทาง, ชื่อขบวน, หมายเลขโบกี้ และเลขที่นั่งให้ดีๆ นะคะ จะได้ไม่พลาด
จากสถานี JR Sapporo เราจะต่อรถไฟ JR Limited Express Okhotsk 1 ไปลงที่สถานี Asahikawa ใช้เวลาประมาณ 96 นาที
ภายใน Limited Express Okhotsk 1 ที่นั่งค่อนข้างกว้าง ยืดขาได้สบายค่ะ
ก่อนขึ้นรถไฟ เราแวะซื้อ Ekiben หรือ "ข้าวกล่อง" ขึ้นมาทานเป็นมื้อเช้าค่ะ ข้าวกล่องนี้มีชื่อว่า "Kaisen Ezo-shomi" เป็นข้าวกล่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของซัปโปโรอันดับ 1 ราคา 1080 เยนค่ะ
เปิดมาหน้าตาเป็นแบบนี้ รสชาติใช้ได้เลย (หรือเป็นเพราะหิว?) จุดเด่นคือสาหร่ายที่วางอยู่กลางกล่อง เค้าตัดเป็นรูปร่างของเกาะฮอกไกโดเลยค่ะ เก๋มาก (ลืมคีบมาให้ดูชัดๆ ขออภัยด้วยนะคะ) อ้อ มีตะเกียบกับทิชชู่เปียกมาให้ด้วยนะคะ
อิ่มหนำสำราญ ชมวิวเพลินๆ หลับๆ ตื่นๆ ก็มาถึงเมือง Asahikawa แล้วค่ะ จากนั้นก็ต่อรถไฟ JR Furano Line for Biei ไปเมืองบิเอะกันค่ะ บรรยากาศภายในรถไฟประมาณนี้ เป็นที่นั่งคู่แบบหันหน้าเข้าหากัน อีกฝั่งเป็นที่นั่งแบบเบาะยาว
ถึง JR Biei Station เวลา 9.23 น. ตรงเวลาเป๊ะ ออกจากสถานี สายฝนก็โปรยปรายมาต้อนรับเราทันที แต่ยังพอเดินได้ ให้เดินเลาะไปทางด้านซ้าย ผ่านร้านสะดวกซื้อ UNO แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ก็จะเจอป้ายรถบัสอยู่หน้าร้านหนังสือ 阿部百貨店 ต้องรีบเดินนิดนึงนะคะ เพราะมีเวลาแค่ 3 นาทีเท่านั้น ไม่งั้นตกรถแล้วจะรออีกนานเลย
เราจะขึ้นรถบัส Dohoku Bus ไปยังบ่อน้ำสีฟ้า ซึ่งรถจะออกตอน 9.26 น. ค่ะ ค่าโดยสารเที่ยวละ 540 เยน จ่ายเงินสดตอนลงรถค่ะ
บรรยากาศภายในรถบัสค่ะ ระหว่างทางฝนตกเรื่อยๆ เลย
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รถบัสก็มาจอดที่ป้ายนี้ ซึ่งเป็นหน้าทางเข้าไปยังบ่อน้ำสีฟ้าค่ะ
เดินเข้ามาจะเจอกับลานจอดรถกว้างๆ จากนั้นก็ขึ้นบันไดมาเลยค่ะ
ขึ้นมาแล้วจะเจอกับบันไดลงไปยังด้านล่าง เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงนำหน้า เดินตามเค้าไปเลยจ้า
บันไดไม่กี่ขั้นเองค่ะ แต่ฝนตกแบบนี้ต้องเกาะดีๆ นะคะ อาจจะลื่นได้ ลงไปก็เจอบ่อน้ำสีฟ้าแล้ว
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรก "บ่อน้ำสีฟ้า"
มันสวยมากจริงๆ ค่ะ สีแบบฟ๊าาาาาาาฟ้าาาา จากที่หาข้อมูลมาเค้าว่าเกิดจากแร่ธาตุอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์สะท้อนกับแสงทำให้เกิดสีฟ้าอย่างที่เห็นนี้
รัวชัตเตอร์กันสักพัก ก็รีบออกมาเพื่อให้ทันรอบรถบัสขากลับ เวลา 10.24 น. เพราะถ้าพลาดรอบนี้ ต้องรออีก 2 ชั่วโมงครึ่งเลยค่ะ ลากันไปด้วยภาพนี้ "บ่อน้ำสีฟ้าในวันฝนตก"
เดินกลับทางเดิม ผ่านลานจอดรถ ป้ายรถบัสขากลับจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับป้ายขามาค่ะ ให้เราข้ามถนนไปรอได้เลย ตอนออกมามีนักท่องเที่ยวยืนรออยู่กลุ่มนึงแล้ว
ระหว่างรอรถบัสก็เดินเก็บภาพดอกไม้ใบหญ้าข้างทางไปเรื่อยๆ ชอบกลิ่นหญ้าตอนฝนตก มันสดชื่นบอกไม่ถูก
รอไปสักพักฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เอาล่ะหว่าไม่มีร่มด้วย หาที่หลบก็ไม่ได้ บังเอิญมีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่อยู่ข้างหน้าเรา เค้าเห็นว่าเรากับแฟนไม่มีร่ม เลยกางร่มให้เรากับแฟนค่ะ น่ารักมากกกกกก เค้ากางให้จนรถบัสมาเลยค่ะ เลยขอบคุณเค้าไปยกใหญ่ เวลาไปเที่ยวแล้วเจออะไรแบบนี้ มันทำให้เราประทับใจกับที่นั้นๆ ไปอีกคูณ 2 เลยค่ะ
เกือบ 11 โมง รถบัสก็มาถึงป้ายหน้าร้านสะดวกซื้อ UNO ที่เดิม เราจะไปทานมื้อเที่ยงกันค่ะ ให้เดินย้อนกลับมาตรงหอนาฬิกา เยื้องๆ กับสถานี Biei มีร้านอาหารชื่อดังของเมืองนี้ที่เค้าว่าห้ามพลาดค่ะ เราจะไปฝากท้องกันที่นั่น
ภาพล่างนี้เราถ่ายหลังจากทานเสร็จออกมาแล้วค่ะ ตอนเราไปถึงร้านเปิดพอดี เข้าได้เลยไม่ต้องรอคิว โชคดีมาก
เมนูตามนี้เลยจ้า
นั่งปุ๊บ พนักงานก็จะเอาน้ำเย็นๆ มาเสิร์ฟ ชื่นจายยยยยยยยย
รอไม่นานอาหารก็มา เราสั่งเป็นเซ็ตเบอร์ 1 "Biei Curry Udon" หรือ "อุด้งแกงกะหรี่แห่งเมืองบิเอะ" เป็นเมนูพื้นเมืองของบิเอะที่ต้องมาลอง ราคา 980 เยน เสิร์ฟพร้อมนมสดที่เค้าว่ามาจากฟาร์มของเมืองนี้เลยค่ะ แกงกะหรี่เต็มไปด้วยสารพัดผัก รสชาติเผ็ดร้อนนิดๆ ทานคู่กับเส้นอุด้งเหนียวนุ่ม ก็แปลกใหม่ดี ตบท้ายด้วยนมสดเย็นๆ หอมมัน ลงตัวมากกกกกกกกก ลืมบอกไปว่าเราสั่งมาเซ็ตเดียวแบ่งกับแฟนค่ะ กลัวกินไม่หมด ทางร้านก็อนุญาตนะคะ แถมให้ชามแบ่งมาด้วย
อิ่มแล้วก็เดินเล่นรอบๆ สถานี Biei รอเวลาขึ้นรถไฟไปสถานี Naka-Furano เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่ 2 นั่นคือ "Choei Lavender Farm"
เราจะขึ้น JR Furano Line for Furano ขบวนนี้ค่ะ
ถึงแล้วสถานี Naka-Furano Station ใช้เวลา 25 นาทีจากบิเอะ ตัวสถานีน่ารักมากๆ
ออกจากสถานีแล้วมองมาทางขวา จะเห็นอุโมงค์สะพานลอย ให้เดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
เปิด Google Map เดินต่อไปยัง Choei Lavender Farm ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ที่นี่อากาศร้อน แดดอ่อนๆ ไม่มีฝนเลยค่ะ เดินได้เหงื่อพอสมควร ^^"
ถึงแล้วจ้า Choei Lavender Farm หรืออีกชื่อนึงว่า Nakafurano Lavender Park เข้าไปกันเล้ยยยยย
เข้ามาแล้วให้เดินไปทางซ้าย จะเป็นที่จำหน่ายตั๋ว Chair Lift หรือ "กระเช้าห้อยขา" เพื่อขึ้นไปชมดอกไม้ด้านบนนั่นเอง
ราคาสำหรับขึ้น-ลง (ไป-กลับ) ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน
ได้ตั๋วมาแล้ว พร้อมลุย!!!
ตัวกระเช้าจะวิ่งตลอดเวลา ไม่มีจังหวะหยุดให้เรานั่ง เราต้องกะจังหวะดีๆ ย่อตัวหย่อนก้นแล้วเกาะให้มั่นเลยค่ะ ที่สำคัญ "ไม่มีเข็มขัดรัด" นะคะ ต้องฝึกกำลังแขนซ้ายมาดีๆ (เว่อร์ไป๊) เอาเป็นว่าต้องระวังกันด้วยนะคะ
วิวบนกระเช้าระหว่างทางขึ้นค่ะ สวยมากกกกกกก
ขึ้นมาถึงบนยอดเขาแล้ว มองลงไปเห็นวิวเมือง ภูเขา และท้องฟ้า
จากด้านบนมีขั้นบันไดสำหรับเดินลงมาชมลาเวนเดอร์อย่างใกล้ชิด
ถ่ายรูปจุใจเลยค่ะ ฟินมากกกกกกกกกกกกก
เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ฝันไว้ ได้เวลาไปยังจุดหมายปลายทางต่อไปของเราแล้ว ขากลับก็ลงกระเช้าห้อยขาเหมือนเดิมค่ะ
รูปกระเช้าชัดๆ ค่ะ
อยากให้มาเที่ยวที่ Choei Lavender Farm กันเยอะๆ นะคะ ทั้งตื่นเต้นและประทับใจสุดๆ
---- ทริปยังไม่จบนะคะ ขออนุญาตลงต่อในช่องความเห็นด้านล่างจ้า ----
[CR] รีวิวเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อน เดือนกรกฎาคม <Day 2> ชมบ่อน้ำสีฟ้า นั่งกระเช้าห้อยขาดูทุ่งลาเวนเดอร์ ชิมเมล่อนที่ฟาร์มโทมิตะ
สวัสดีค่ะทุกท่าน ต่อเนื่องจากกระทู้ที่แล้ว เราเดินทางมาถึงซัปโปโรวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม และเดินเที่ยวในเมืองซัปโปโรยามเย็นท่ามกลางสายฝน
ทริปวันที่ 2 นี้ เราจะออกไปเที่ยวนอกเมืองกันบ้าง ซึ่งเราไปกันแบบไม่เช่ารถขับค่ะ การเที่ยวฮอกไกโดแบบไม่มีรถจะลำบากมั้ย แล้ววันนี้เราจะเจอฝนอีกมั้ยนะ ตามไปดูกันเล้ยยยยยยยยยยยย
รับชมทริป Day 1: พาชมจุดชมเครื่องบิน"สนามบินนาโกย่า" เดินเล่นซัปโปโร ตบท้ายด้วยโซบะแบบยืนกินร้อนๆ ราคาประหยัด
ได้ที่กระทู้นี้ค่ะ >>> https://ppantip.com/topic/39887675
---- Day 2: วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2562 ----
หลายคนคงมี Dream Destination ว่าสักวันหนึ่งเราจะไปที่นี่ให้ได้ เราเองก็เช่นกันค่ะ โดยเป้าหมายหลักในการเลือกมาฮอกไกโดหน้าร้อนของเรา คือการเที่ยวชมทุ่งลาเวนเดอร์และเนินดอกไม้สีรุ้ง ที่ผ่านมาเรานั่งดูหลายๆ รีวิว แล้วคิดในใจว่าอยากมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง และวันนี้ฝันของเราก็เป็นจริงแล้ว
อย่างที่บอกว่าทริปนี้เราไม่ได้เช่ารถขับ ดังนั้นการเดินทางของเราจะมีทั้งรถไฟ รถบัส และ "2 ขาของเราเอง" เนี่ยแหละค่ะ บอกเลยว่าใครจะมาแบบไม่เช่ารถขับ ต้องฟิตร่างกายมาดีๆ เลยค่ะ ก่อนจะไปชมทุ่งดอกไม้ จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ "Shirogane Blue Pond" หรือ "บ่อน้ำสีฟ้า" ตั้งอยู่ที่เมือง Biei (บิเอะ) จังหวัดฮอกไกโด ดูจาก Hyperdia แล้ว Susukino ถึง Biei ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที
โดยเราจะใช้พาส "Hokkaido Rail Pass" แบบที่ใช้ต่อเนื่อง 3 วัน (เราใช้วันที่ 27-29 ก.ค.) ราคา 16,500 เยน (ผู้ใหญ่) สำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี จะราคา 8,250 เยน ซึ่งบัตรนี้เราซื้อตั้งแต่วันแรกที่ลงเครื่องที่สนามบิน New Chitose ค่ะ หน้าตาบัตรเป็นแบบนี้
และทำการจองที่นั่งกับเจ้าหน้าที่ตอนซื้อพาสเลยค่ะ ก็จะได้บัตร Reserved Seat หน้าตาแบบนี้มา เวลาจะขึ้นให้ดูที่ต้นทาง-ปลายทาง, ชื่อขบวน, หมายเลขโบกี้ และเลขที่นั่งให้ดีๆ นะคะ จะได้ไม่พลาด
จากสถานี JR Sapporo เราจะต่อรถไฟ JR Limited Express Okhotsk 1 ไปลงที่สถานี Asahikawa ใช้เวลาประมาณ 96 นาที
ภายใน Limited Express Okhotsk 1 ที่นั่งค่อนข้างกว้าง ยืดขาได้สบายค่ะ
ก่อนขึ้นรถไฟ เราแวะซื้อ Ekiben หรือ "ข้าวกล่อง" ขึ้นมาทานเป็นมื้อเช้าค่ะ ข้าวกล่องนี้มีชื่อว่า "Kaisen Ezo-shomi" เป็นข้าวกล่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของซัปโปโรอันดับ 1 ราคา 1080 เยนค่ะ
เปิดมาหน้าตาเป็นแบบนี้ รสชาติใช้ได้เลย (หรือเป็นเพราะหิว?) จุดเด่นคือสาหร่ายที่วางอยู่กลางกล่อง เค้าตัดเป็นรูปร่างของเกาะฮอกไกโดเลยค่ะ เก๋มาก (ลืมคีบมาให้ดูชัดๆ ขออภัยด้วยนะคะ) อ้อ มีตะเกียบกับทิชชู่เปียกมาให้ด้วยนะคะ
อิ่มหนำสำราญ ชมวิวเพลินๆ หลับๆ ตื่นๆ ก็มาถึงเมือง Asahikawa แล้วค่ะ จากนั้นก็ต่อรถไฟ JR Furano Line for Biei ไปเมืองบิเอะกันค่ะ บรรยากาศภายในรถไฟประมาณนี้ เป็นที่นั่งคู่แบบหันหน้าเข้าหากัน อีกฝั่งเป็นที่นั่งแบบเบาะยาว
ถึง JR Biei Station เวลา 9.23 น. ตรงเวลาเป๊ะ ออกจากสถานี สายฝนก็โปรยปรายมาต้อนรับเราทันที แต่ยังพอเดินได้ ให้เดินเลาะไปทางด้านซ้าย ผ่านร้านสะดวกซื้อ UNO แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ก็จะเจอป้ายรถบัสอยู่หน้าร้านหนังสือ 阿部百貨店 ต้องรีบเดินนิดนึงนะคะ เพราะมีเวลาแค่ 3 นาทีเท่านั้น ไม่งั้นตกรถแล้วจะรออีกนานเลย
เราจะขึ้นรถบัส Dohoku Bus ไปยังบ่อน้ำสีฟ้า ซึ่งรถจะออกตอน 9.26 น. ค่ะ ค่าโดยสารเที่ยวละ 540 เยน จ่ายเงินสดตอนลงรถค่ะ
บรรยากาศภายในรถบัสค่ะ ระหว่างทางฝนตกเรื่อยๆ เลย
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รถบัสก็มาจอดที่ป้ายนี้ ซึ่งเป็นหน้าทางเข้าไปยังบ่อน้ำสีฟ้าค่ะ
เดินเข้ามาจะเจอกับลานจอดรถกว้างๆ จากนั้นก็ขึ้นบันไดมาเลยค่ะ
ขึ้นมาแล้วจะเจอกับบันไดลงไปยังด้านล่าง เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงนำหน้า เดินตามเค้าไปเลยจ้า
บันไดไม่กี่ขั้นเองค่ะ แต่ฝนตกแบบนี้ต้องเกาะดีๆ นะคะ อาจจะลื่นได้ ลงไปก็เจอบ่อน้ำสีฟ้าแล้ว
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรก "บ่อน้ำสีฟ้า" มันสวยมากจริงๆ ค่ะ สีแบบฟ๊าาาาาาาฟ้าาาา จากที่หาข้อมูลมาเค้าว่าเกิดจากแร่ธาตุอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์สะท้อนกับแสงทำให้เกิดสีฟ้าอย่างที่เห็นนี้
รัวชัตเตอร์กันสักพัก ก็รีบออกมาเพื่อให้ทันรอบรถบัสขากลับ เวลา 10.24 น. เพราะถ้าพลาดรอบนี้ ต้องรออีก 2 ชั่วโมงครึ่งเลยค่ะ ลากันไปด้วยภาพนี้ "บ่อน้ำสีฟ้าในวันฝนตก"
เดินกลับทางเดิม ผ่านลานจอดรถ ป้ายรถบัสขากลับจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับป้ายขามาค่ะ ให้เราข้ามถนนไปรอได้เลย ตอนออกมามีนักท่องเที่ยวยืนรออยู่กลุ่มนึงแล้ว
ระหว่างรอรถบัสก็เดินเก็บภาพดอกไม้ใบหญ้าข้างทางไปเรื่อยๆ ชอบกลิ่นหญ้าตอนฝนตก มันสดชื่นบอกไม่ถูก
รอไปสักพักฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เอาล่ะหว่าไม่มีร่มด้วย หาที่หลบก็ไม่ได้ บังเอิญมีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่อยู่ข้างหน้าเรา เค้าเห็นว่าเรากับแฟนไม่มีร่ม เลยกางร่มให้เรากับแฟนค่ะ น่ารักมากกกกกก เค้ากางให้จนรถบัสมาเลยค่ะ เลยขอบคุณเค้าไปยกใหญ่ เวลาไปเที่ยวแล้วเจออะไรแบบนี้ มันทำให้เราประทับใจกับที่นั้นๆ ไปอีกคูณ 2 เลยค่ะ
เกือบ 11 โมง รถบัสก็มาถึงป้ายหน้าร้านสะดวกซื้อ UNO ที่เดิม เราจะไปทานมื้อเที่ยงกันค่ะ ให้เดินย้อนกลับมาตรงหอนาฬิกา เยื้องๆ กับสถานี Biei มีร้านอาหารชื่อดังของเมืองนี้ที่เค้าว่าห้ามพลาดค่ะ เราจะไปฝากท้องกันที่นั่น
ภาพล่างนี้เราถ่ายหลังจากทานเสร็จออกมาแล้วค่ะ ตอนเราไปถึงร้านเปิดพอดี เข้าได้เลยไม่ต้องรอคิว โชคดีมาก
เมนูตามนี้เลยจ้า
นั่งปุ๊บ พนักงานก็จะเอาน้ำเย็นๆ มาเสิร์ฟ ชื่นจายยยยยยยยย
รอไม่นานอาหารก็มา เราสั่งเป็นเซ็ตเบอร์ 1 "Biei Curry Udon" หรือ "อุด้งแกงกะหรี่แห่งเมืองบิเอะ" เป็นเมนูพื้นเมืองของบิเอะที่ต้องมาลอง ราคา 980 เยน เสิร์ฟพร้อมนมสดที่เค้าว่ามาจากฟาร์มของเมืองนี้เลยค่ะ แกงกะหรี่เต็มไปด้วยสารพัดผัก รสชาติเผ็ดร้อนนิดๆ ทานคู่กับเส้นอุด้งเหนียวนุ่ม ก็แปลกใหม่ดี ตบท้ายด้วยนมสดเย็นๆ หอมมัน ลงตัวมากกกกกกกกก ลืมบอกไปว่าเราสั่งมาเซ็ตเดียวแบ่งกับแฟนค่ะ กลัวกินไม่หมด ทางร้านก็อนุญาตนะคะ แถมให้ชามแบ่งมาด้วย
อิ่มแล้วก็เดินเล่นรอบๆ สถานี Biei รอเวลาขึ้นรถไฟไปสถานี Naka-Furano เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่ 2 นั่นคือ "Choei Lavender Farm"
เราจะขึ้น JR Furano Line for Furano ขบวนนี้ค่ะ
ถึงแล้วสถานี Naka-Furano Station ใช้เวลา 25 นาทีจากบิเอะ ตัวสถานีน่ารักมากๆ
ออกจากสถานีแล้วมองมาทางขวา จะเห็นอุโมงค์สะพานลอย ให้เดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
เปิด Google Map เดินต่อไปยัง Choei Lavender Farm ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ที่นี่อากาศร้อน แดดอ่อนๆ ไม่มีฝนเลยค่ะ เดินได้เหงื่อพอสมควร ^^"
ถึงแล้วจ้า Choei Lavender Farm หรืออีกชื่อนึงว่า Nakafurano Lavender Park เข้าไปกันเล้ยยยยย
เข้ามาแล้วให้เดินไปทางซ้าย จะเป็นที่จำหน่ายตั๋ว Chair Lift หรือ "กระเช้าห้อยขา" เพื่อขึ้นไปชมดอกไม้ด้านบนนั่นเอง
ราคาสำหรับขึ้น-ลง (ไป-กลับ) ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน
ได้ตั๋วมาแล้ว พร้อมลุย!!!
ตัวกระเช้าจะวิ่งตลอดเวลา ไม่มีจังหวะหยุดให้เรานั่ง เราต้องกะจังหวะดีๆ ย่อตัวหย่อนก้นแล้วเกาะให้มั่นเลยค่ะ ที่สำคัญ "ไม่มีเข็มขัดรัด" นะคะ ต้องฝึกกำลังแขนซ้ายมาดีๆ (เว่อร์ไป๊) เอาเป็นว่าต้องระวังกันด้วยนะคะ
วิวบนกระเช้าระหว่างทางขึ้นค่ะ สวยมากกกกกกก
ขึ้นมาถึงบนยอดเขาแล้ว มองลงไปเห็นวิวเมือง ภูเขา และท้องฟ้า
จากด้านบนมีขั้นบันไดสำหรับเดินลงมาชมลาเวนเดอร์อย่างใกล้ชิด
ถ่ายรูปจุใจเลยค่ะ ฟินมากกกกกกกกกกกกก
เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ฝันไว้ ได้เวลาไปยังจุดหมายปลายทางต่อไปของเราแล้ว ขากลับก็ลงกระเช้าห้อยขาเหมือนเดิมค่ะ
รูปกระเช้าชัดๆ ค่ะ
อยากให้มาเที่ยวที่ Choei Lavender Farm กันเยอะๆ นะคะ ทั้งตื่นเต้นและประทับใจสุดๆ
---- ทริปยังไม่จบนะคะ ขออนุญาตลงต่อในช่องความเห็นด้านล่างจ้า ----
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้