สวัสดีค่ะ อยากแชร์ประสบการณ์ดีๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นกำลังใจดีๆ ให้กับคนที่กำลังกังวลเรื่องสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา เข้าใจดีค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะตัวเองก็ถูกปฏิเสธมาแล้ว 2 ครั้งติดเมื่อปีที่แล้ว และ 1 ครั้งก่อนหน้าเมื่อเดือนที่แล้วนี้เองค่ะ
ขอบอกก่อนว่ารอบที่ไปเมื่อปีที่แล้ว ให้คุณแม่เป็นสปอนเซอร์(คุณแม่อยู่นิวซีแลนด์ค่ะ) แต่ไม่เคยไปนิวซีแลนด์เพราะคุณแม่เป็นคนกลับมาที่บ้านตลอดค่ะ พาสปอร์ตมีไปแค่ญี่ปุ่นครั้งเดียวค่ะ และจะไปเมืองไม่ค่อยดัง แถมบอกไปว่ามีคนรู้จักอยู่ด้วย คิดว่านี่คือเหตุผลค่ะ
รอบที่ผ่านมา ห่างกัน 1 ปี เปลี่ยนเมืองไป คุณพ่อเป็นสปอนเซอร์ แต่แปลกมากค่ะรอบนี้ เพราะถามถึงแต่เรื่องของคุณแม่ ถามว่าแม่อยู่ที่ไหน ทำอะไร พอบอกว่าเป็นเจ้าของร้านนวดก็ถามว่านวดเองด้วยไหม พอบอกว่าย้ำว่าเป็นเจ้าของก็ไม่ผ่านค่ะ ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แน่นอนคืออะไรแต่คิดว่าติดที่เรื่องแม่แน่ๆ ทั้งๆที่พ่อเป็นผู้สนับสนุนแค่ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับคุณพ่อเลย
รอบนี้ ต่างจากที่ไปสัมภาษณ์รอบอื่นๆ คือมีคุณพ่อไปด้วยค่ะ และคิดว่าที่ผ่านมาได้ก็เพราะคุณพ่อ (จขกท.ยังเป็นนิสิตอยู่ค่ะ)
เริ่มที่ DS-160 อันนี้จขกท.กรอกให้คุณพ่อและตัวเองค่ะ กรอกความจริงทุกอย่าง คุณพ่อเป็นเจ้าของธุรกิจค่ะ แต่ตอนกรอก ไม่ได้กรอกรายได้นะคะ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ถามด้วยค่ะ
แนะนำว่าให้กรอก DS-160 ด้วยตัวเอง และกรอกความจริงค่ะ ใครแปลไม่ออกหรือไม่มั่นใจ หากระทู้รีวิวได้ค่ะ มีเยอะมาก ที่อัพเดตใหม่ก็มีค่ะ
เสร็จแล้วจ่ายเงินและนัดวันสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ
ขอเข้าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เลยนะคะ
จขกท.กับคุณพ่อนัดสัมภาษณ์รอบ 7.15 น. ค่ะ แต่ไปถึงยังไม่มีเจ้าหน้าที่กงสุลเลยสักคน กว่าจะมาก็เลทมากแล้วค่ะ คิวยาวด้วย พอถึงคิวสัมภาษณ์ ได้สาวเอเชียที่หลายๆคนพูดถึงค่ะ
จขกท.กับคุณพ่อ : สวัสดีค่ะ พร้อมยื่นพาสปอร์ต
จนท. : สวัสดีค่ะ เป็นอะไรกันคะ
จขกท. : พ่อ-ลูกค่ะ
จนท. : ยิงบาร์โค้ดแล้วมองในจอคอมพิวเตอร์ เดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตู้ข้างๆ สักพักเดินไปไหนไม่รู้ กลับมาพร้อมบอกว่า เดี๋ยวนั่งรอก่อนนะคะ แล้วจะเรียกอีกครั้ง
ตอนนั้นใจไม่ดีเลยค่ะว่าเอ๊ะ มีอะไรรึเปล่า รออยู่สักพัก เจ้าหน้าที่คนใหม่ก็เรียกไปค่ะ คราวนี้เป็นฝรั่งตัวใหญ่ๆ
จนท. : เป็นอะไรกันครับ
จขกท.และคุณพ่อ : เป็นพ่อ-ลูกกันครับ/ค่ะ
จนท. : จะไปทำอะไรที่สหรัฐฯครับ
จขกท. : ไปเที่ยวค่ะ
จนท. ถามคุณพ่อ : ที่ทำงานมีกี่คนครับ
คุณพ่อ : 50 คนครับ (ตอนนั้นใจไม่ดีอีกแล้วค่ะ จขกท.กรอกไปว่ามีประมาณ 100 คน เพราะไม่ทราบและไม่ได้ถามคุณพ่อ จำได้คุณพ่อเคยโม้ไว้ก็กรอกไปค่ะ 5555)
จนท. : (พิมพ์ๆไปสักพัก) ภรรยาใช่แม่รึเปล่าครับ
คุณพ่อ : ไม่ใช่ครับ (จขกท.กรอกข้อมูลภรรยาใหม่คุณพ่อ และบอกไว้ด้วยค่ะว่าทำธุรกิจกับภรรยา)
จนท. : (ดูพาสปอร์ต) เคยไปที่ไหนมาบ้างครับ
คุณพ่อ : ไปญี่ปุ่นครับ
จนท. เรียกชื่อเราแล้วถาม : เคยไปที่ไหนมาบ้างครับ
จขกท. : ญี่ปุ่นกับนิวซีแลนด์ค่ะ
จนท. : เพราะแม่อยู่ที่นั่นใช่ไหมครับ
จขกท. : ใช่ค่ะ
จนท. : (พิมพ์ๆไปอยู่สักพัก) วีซ่าผ่านแล้วครับ โชคดีครับ
ตอนนั้นดีใจมากค่ะ กอดคุณพ่ออยู่หลายรอบ ดีใจมากๆ ได้ไปเที่ยวสักที ไปได้เพราะคุณพ่อแท้ๆ ร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกจริงๆ แอบเอ๊ะในใจว่า แค่นี้จริงๆหรอ หลอกกันไหมเนี่ย 55555
หลังจากนี้ก็รอดูค่ะว่าจะได้วีซ่ากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี ยังไงจะมาอัพเดตนะคะ
อยากบอกคนที่เคยถูกปฏิเสธมาแล้วว่า อย่ายอมแพ้ค่ะ มันมีทางออก และมันต้องมีวิธีที่ทำให้เราผ่านไปได้แน่ๆ อย่าให้เจ้าหน้าที่หยุดการท่องเที่ยวของเราได้ 5555 หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้หลายๆคนได้นะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
สวัสดีค่ะ
แชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา ฉบับคนถูกปฏิเสธมาแล้ว 3 ครั้งติดๆกัน
ขอบอกก่อนว่ารอบที่ไปเมื่อปีที่แล้ว ให้คุณแม่เป็นสปอนเซอร์(คุณแม่อยู่นิวซีแลนด์ค่ะ) แต่ไม่เคยไปนิวซีแลนด์เพราะคุณแม่เป็นคนกลับมาที่บ้านตลอดค่ะ พาสปอร์ตมีไปแค่ญี่ปุ่นครั้งเดียวค่ะ และจะไปเมืองไม่ค่อยดัง แถมบอกไปว่ามีคนรู้จักอยู่ด้วย คิดว่านี่คือเหตุผลค่ะ
รอบที่ผ่านมา ห่างกัน 1 ปี เปลี่ยนเมืองไป คุณพ่อเป็นสปอนเซอร์ แต่แปลกมากค่ะรอบนี้ เพราะถามถึงแต่เรื่องของคุณแม่ ถามว่าแม่อยู่ที่ไหน ทำอะไร พอบอกว่าเป็นเจ้าของร้านนวดก็ถามว่านวดเองด้วยไหม พอบอกว่าย้ำว่าเป็นเจ้าของก็ไม่ผ่านค่ะ ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แน่นอนคืออะไรแต่คิดว่าติดที่เรื่องแม่แน่ๆ ทั้งๆที่พ่อเป็นผู้สนับสนุนแค่ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับคุณพ่อเลย
รอบนี้ ต่างจากที่ไปสัมภาษณ์รอบอื่นๆ คือมีคุณพ่อไปด้วยค่ะ และคิดว่าที่ผ่านมาได้ก็เพราะคุณพ่อ (จขกท.ยังเป็นนิสิตอยู่ค่ะ)
เริ่มที่ DS-160 อันนี้จขกท.กรอกให้คุณพ่อและตัวเองค่ะ กรอกความจริงทุกอย่าง คุณพ่อเป็นเจ้าของธุรกิจค่ะ แต่ตอนกรอก ไม่ได้กรอกรายได้นะคะ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ถามด้วยค่ะ
แนะนำว่าให้กรอก DS-160 ด้วยตัวเอง และกรอกความจริงค่ะ ใครแปลไม่ออกหรือไม่มั่นใจ หากระทู้รีวิวได้ค่ะ มีเยอะมาก ที่อัพเดตใหม่ก็มีค่ะ
เสร็จแล้วจ่ายเงินและนัดวันสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ
ขอเข้าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เลยนะคะ
จขกท.กับคุณพ่อนัดสัมภาษณ์รอบ 7.15 น. ค่ะ แต่ไปถึงยังไม่มีเจ้าหน้าที่กงสุลเลยสักคน กว่าจะมาก็เลทมากแล้วค่ะ คิวยาวด้วย พอถึงคิวสัมภาษณ์ ได้สาวเอเชียที่หลายๆคนพูดถึงค่ะ
จขกท.กับคุณพ่อ : สวัสดีค่ะ พร้อมยื่นพาสปอร์ต
จนท. : สวัสดีค่ะ เป็นอะไรกันคะ
จขกท. : พ่อ-ลูกค่ะ
จนท. : ยิงบาร์โค้ดแล้วมองในจอคอมพิวเตอร์ เดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตู้ข้างๆ สักพักเดินไปไหนไม่รู้ กลับมาพร้อมบอกว่า เดี๋ยวนั่งรอก่อนนะคะ แล้วจะเรียกอีกครั้ง
ตอนนั้นใจไม่ดีเลยค่ะว่าเอ๊ะ มีอะไรรึเปล่า รออยู่สักพัก เจ้าหน้าที่คนใหม่ก็เรียกไปค่ะ คราวนี้เป็นฝรั่งตัวใหญ่ๆ
จนท. : เป็นอะไรกันครับ
จขกท.และคุณพ่อ : เป็นพ่อ-ลูกกันครับ/ค่ะ
จนท. : จะไปทำอะไรที่สหรัฐฯครับ
จขกท. : ไปเที่ยวค่ะ
จนท. ถามคุณพ่อ : ที่ทำงานมีกี่คนครับ
คุณพ่อ : 50 คนครับ (ตอนนั้นใจไม่ดีอีกแล้วค่ะ จขกท.กรอกไปว่ามีประมาณ 100 คน เพราะไม่ทราบและไม่ได้ถามคุณพ่อ จำได้คุณพ่อเคยโม้ไว้ก็กรอกไปค่ะ 5555)
จนท. : (พิมพ์ๆไปสักพัก) ภรรยาใช่แม่รึเปล่าครับ
คุณพ่อ : ไม่ใช่ครับ (จขกท.กรอกข้อมูลภรรยาใหม่คุณพ่อ และบอกไว้ด้วยค่ะว่าทำธุรกิจกับภรรยา)
จนท. : (ดูพาสปอร์ต) เคยไปที่ไหนมาบ้างครับ
คุณพ่อ : ไปญี่ปุ่นครับ
จนท. เรียกชื่อเราแล้วถาม : เคยไปที่ไหนมาบ้างครับ
จขกท. : ญี่ปุ่นกับนิวซีแลนด์ค่ะ
จนท. : เพราะแม่อยู่ที่นั่นใช่ไหมครับ
จขกท. : ใช่ค่ะ
จนท. : (พิมพ์ๆไปอยู่สักพัก) วีซ่าผ่านแล้วครับ โชคดีครับ
ตอนนั้นดีใจมากค่ะ กอดคุณพ่ออยู่หลายรอบ ดีใจมากๆ ได้ไปเที่ยวสักที ไปได้เพราะคุณพ่อแท้ๆ ร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกจริงๆ แอบเอ๊ะในใจว่า แค่นี้จริงๆหรอ หลอกกันไหมเนี่ย 55555
หลังจากนี้ก็รอดูค่ะว่าจะได้วีซ่ากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี ยังไงจะมาอัพเดตนะคะ
อยากบอกคนที่เคยถูกปฏิเสธมาแล้วว่า อย่ายอมแพ้ค่ะ มันมีทางออก และมันต้องมีวิธีที่ทำให้เราผ่านไปได้แน่ๆ อย่าให้เจ้าหน้าที่หยุดการท่องเที่ยวของเราได้ 5555 หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้หลายๆคนได้นะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
สวัสดีค่ะ