เราหาข้อมูลจาก Pantip เยอะมาก เพื่อเตรียมตัวในการยื่นขอวีซ่าอเมริกา แต่ส่วนใหญ่รีวิวจะเป็นการยื่นขอวีซ่าที่กรุงเทพ เลยอยากแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาที่เชียงใหม่ค่ะ
เรามีแพลนจะไปนิวยอร์กกับบอสตัน 20/4/19-1/5/19 ตอนแรกแพลนไปกันกับแฟน แต่ลูกพี่ลูกน้องเรียนจบ ม.6 พอดี เลยขอไปเที่ยวด้วย สรุปไปกัน 4 คน เรา แฟนเรา (คนเนเธอร์แลนด์ ไม่ต้องขอวีซ่า) ลูกพี่ลูกน้องและน้าเขย (พ่อของลูกพี่ลูกน้อง) ซึ่งสองคนหลังขอวีซ่าไม่ผ่าน นัดสัมภาษณ์พร้อมกัน ขอเข้าสัมภาษณ์ด้วยกัน แต่เจ้าหน้าที่จับแยก บอกว่าคนละนามสกุล เราอ่านเจอในหลายๆ กระทู้ที่เป็นญาติกัน ไปเที่ยว/ไปยื่นวีซ่าด้วยกัน เข้าสัมภาษณ์ที่กรุงเทพและได้สัมภาษณ์พร้อมกัน แต่ที่เชียงใหม่ เคสของเรา เจ้าหน้าที่ให้แยกสัมภาษณ์ วันนั้นเจอพ่อแม่ลูกที่ไปสัมภาษณ์วันเดียวกัน ลูกเป็นนักศึกษาอายุ 20 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้สัมภาษณ์แยกกับพ่อแม่ค่ะ
1. การกรอก DS-160 เตรียมเอกสาร และนัดสัมภาษณ์ เราดูตามเว็บไซด์นี้ค่ะ
>>
https://www.2morrowexplorer.com/blogs/detail/visa-usa
เรา submit DS-160 และจ่ายเงิน 3/3/19 ได้วันนัดสัมภาษณ์ 27/3/19 เท่าที่ดูตารางนัดสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ มีวันให้นัดสัมภาษณ์แค่วันจันทร์กับวันพุธ ใครที่จะสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ แนะนำให้กรอก DS-160 จ่ายเงินและจองคิวสัมภาษณ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องเลือกสถานที่ที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่า Chiang Mai, Thailand ตั้งแต่เริ่มกรอก DS-160 เลยนะคะ
DS-160 เรากรอกไปตามความความจริงค่ะ อายุ 27 ปี โสด ระบุประเภทวีซ่าเป็น Tourism (B2) Intened Length 12 วัน ไป New York กับ Boston ออกค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้เอง Address Where You Will Stay in the U.S. ใส่ที่อยู่โรงแรมที่คาดว่าจะไปพักแถว China Town (ยังไม่ได้จอง) ระบุชื่อคนที่จะไปเที่ยวด้วยทั้ง 3 คน Contact Person or Organization in the U.S. กรอก Royal Thai Consulate General New York พร้อมที่อยู่และเบอร์โทรไปค่ะ
ในส่วนอาชีพ เราเลือก Other แล้วกรอกรายละเอียดของบริษัท ตำแหน่งงานและหน้าที่ความรับผิดชอบคร่าวๆ ใน Briefly Describe of your Duties เราทำงานบริษัททัวร์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย เงินเดือน 28,xxx อายุงาน 3 ปี 4 เดือน ตำแหน่ง Sales Representative and Assistant Manager ฟอร์มที่เรากรอก ไม่ถามว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้างค่ะ แต่ตอนที่เรากรอกให้น้าเขยมีถามค่ะ
2. วันสัมภาษณ์นัด 10:00 ไปถึง 9:15 แต่ยามที่สถานกงสุลบอกให้กลับมาใหม่ตอน 9:30 และไม่ให้รอด้านหน้า ต้องไปรออีกฝั่งนึงของถนน สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาที่เชียงใหม่จะอยู่ติดกับสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ค่ะ แต่สถานกงสุลจะมีป้ายแจ้งเลยว่าไม่ให้ผู้ที่มาสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกานำรถเข้าไปจอดในสำนักงานเทศบาล
พอ 9:30 ก็ข้ามถนนกลับไป เจ้าหน้าที่จะขอดูใบนัดและเช็คพาสปอร์ตตัวจริงพร้อมกับเช็คว่าใบหน้าของผู้ที่ไปสัมภาษณ์ตรงกับพาสปอร์ตหรือไม่ แล้วให้ไปผ่านเครื่องสแกน ใช้บัตรประชาชนสำหรับฝากโทรศัพท์มือถือ(ต้องปิดเครื่อง)และกุญแจรถค่ะ ตรงนี้จะได้ป้ายหมายเลขที่ฝากของซึ่งคล้องข้อมือได้ ซองเอกสารและกระเป๋าถือใบเล็กของผู้หญิงที่ผ่านเครื่องสแกนแล้ว วันนั้นเค้าให้เอาติดตัวเข้าไปด้วยได้ค่ะ ไม่ได้บอกให้เอาฝากไว้
หลังจากผ่านจุดสแกนก็เปิดประตูเข้าไปอีกห้องนึงแล้วไปต่อแถวให้เจ้าหน้าที่คนไทยตรวจเอกสารและรับบัตรคิว (เจ้าหน้าที่ที่จัดคิวจะเป็นคนตัดสินว่าจะให้เข้าสัมภาษณ์ด้วยกันหรือต้องแยกกัน เราแจ้งว่าญาติเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะไปเที่ยวด้วยกัน ขอเข้าสัมภาษณ์ด้วยกัน แต่เจ้าหน้าที่จับแยกพร้อมกับแจ้งว่าท่านกงสุลพูดไทยได้ชัดมาก) ตรงจุดรับบัตรคิว เจ้าหน้าที่จะให้กระดาษมา 1 แผ่นที่เขียนหมายเลขติดตาม (EMS Tracking) ให้บนกระดาษแผ่นนั้น แนะนำให้อ่านนะคะ เป็นข้อควรปฏิบัติก่อนการสัมภาษณ์และคำแนะนำกรณีที่วีซ่าผ่านและไม่ผ่านค่ะ หลังจากนั้นก็เข้าไปนั่งรอ จุดที่นั่งรอจะมีวีดีโอให้ดู อธิบายเกี่ยวกับวิธีวางมือในการพิมพ์ลายนิ้วมือ การเข้าสัมภาษณ์ และเบอร์โทรที่สำคัญที่ควรรู้ไว้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในอเมริกาค่ะ
เมื่อถูกเรียกคิวครั้งแรก จะเป็นการสแกนนิ้วมือค่ะ ช่อง 1 จุดนี้เจ้าหน้าที่คนไทยจะสอบถามข้อมูลคร่าวๆ ของเราเจ้าหน้าที่ถามเราว่า เคยไปอเมริกามั้ย (ไม่เคยค่ะ) เคยขอวีซ่าอเมริกามั้ย (ไม่เคยค่ะ) มีคนรู้จักที่อเมริกามั้ย (ไม่มีค่ะ) จะไปที่ไหนบ้าง (นิวยอร์กกับบอสตันค่ะ) เคยเปลี่ยนชื่อมั้ย (ไม่เคยค่ะ) หลังจากนั้นก็กลับมานั่งรอที่ห้องเดิมค่ะ
3. การสัมภาษณ์ วันนั้นช่องสัมภาษณ์เปิดช่องเดียวค่ะ เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงผมบลอนด์ยังดูสาวอยู่ ใบหน้ายิ้มแย้ม สวยและพูดภาษาไทยชัดมาก เมื่อถูกเรียกคิวครั้งที่ 2 เราก็เดินเข้าไปช่อง 2 (จะมีฉากกั้นระหว่างช่อง 2 และช่อง 1 ที่ไปพิมพ์นิ้วมือครั้งแรก) ช่องนี้แหละค่ะที่จะติดสินว่าวีซ่าอนุมัติหรือไม่ จขกท เดินเข้าไปแบบยิ้มแย้มและมั่นใจค่ะ เราพูดภาษาอังกฤษได้คล่องและพร้อมสัมภาษณ์มาก
จขกท - Good morning!
จนท กงสุล - สวัสดีค่ะ วางมือซ้ายเลยค่ะ (ให้สแกนนิ้วมือซ้ายสี่นิ้วอีก 1 รอบ)
จขกท - สวัสดีค่ะ (จนท กงสุลพูดภาษาไทยค่ะ เราเลยตอบเป็นภาษาไทย และการสัมภาษณ์ทั้งหมดก็เป็นภาษาไทยไปเลย)
จนท กงสุล - เคยไปอเมริกามั้ยคะ
จขกท - ไม่เคยค่ะ
จนท กงสุล - เคยขอวีซ่าอเมริกามั้ยคะ
จขกท - ไม่เคยค่ะ
จนท กงสุล - จะไปอเมริกาทำไมคะ
จขกท - ไปเที่ยวค่ะ
จนท กงสุล - จะไปที่ไหนคะ
จขกท - นิวยอร์กกับบอสตันค่ะ
จนท กงสุล - ทำงานอะไรคะ
จขกท - ทำบริษัททัวร์ค่ะ ตำแหน่ง Sales Representative and Assistant Manager ค่ะ
จนท กงสุล - จะไปเที่ยวกับใครคะ
จขกท - My boyfriend, ลูกพี่ลูกน้อง และ uncle in law ค่ะ
จนท กงสุล - คนที่ไปด้วยมีวีซ่าหรือยัง
จขกท - ยังค่ะ แฟน from เนเธอร์แลนด์ ไม่ต้องขอวีซ่า ลูกพี่ลูกน้องกับ uncle in law มาขอวีซ่าด้วยกัน กำลังจะสัมภาษณ์เป็นคิวต่อไปค่ะ
จนท กงสุล - คบกับแฟนนานหรือยัง
จขกท - ประมาณสองปีครึ่งค่ะ
จนท กงสุล - แฟนอยู่ไทยหรอ
จขกท - ส่วนใหญ่ก็อยู่ไทยค่ะ เช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน
จนท กงสุล - เคยไปต่างประเทศมั้ย
จขกท - เคยค่ะ
จนท กงสุล - ไปที่ไหนมาบ้าง
จขกท - หลายประเทศนะคะ เอาทั้งหมดเลยหรอคะ
จนท กงสุล - ค่ะ (พร้อมกับพยักหน้า)
จขกท - ฮ่องกง มาเก๊า จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย South Korea ยุโรปมี เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมณี ออสเตรีย ฮังการี โครเอเชีย
จนท กงสุล - ไปกับแฟนด้วยมั้ย
จขกท - ครึ่งครึ่งค่ะ
จนท กงสุล - ยุโรปไปกับแฟนหรอ
จขกท - ค่ะ ยุโรปไปกับแฟนค่ะ
จนท กงสุล - (มองจอคอมพิวเตอร์และพิมพ์ข้อมูล เงียบไปเกือบๆ 1 นาที) วีซ่าผ่านค่ะ
จขกท - ขอบคุณค่ะ (จขกท ยิ้มกว้างมากและเดินออกมา หันไปเจอลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยเข้ามาสัมภาษณ์เป็นคิวต่อไปพอดี จขกท ออกมานั่งรอข้างนอกได้ประมาณ 2 นาที ลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยก็ตามออกมา วีซ่าไม่ผ่านค่ะ)
เราเตรียมเอกสารไปหลายอย่างมาก (เหมือนตอนยื่นขอเชงเก้นเลย) แฟนให้เอาพาสปอร์ตของเค้าไปด้วยเผื่อเจ้าหน้าที่ถาม หนังสือรับรองการทำงาน สเตทเม้นท์ 2 บัญชี (บัญชีเงินเดือนกับเงินเก็บ) พาสปอร์ตทั้ง 2 เล่ม (เล่มเดิมมีเชงเก้น เล่มปัจจุบันเชงเก้นยังใช้ได้ถึงเดือนกันยายน) สัญญาเช่าคอนโดทั้ง 2 ปี ลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปพร้อมวิธีการเดินทาง proof of relationship ของเรากับแฟน เล่มทะเบียนรถ ฯลฯ แต่เค้าไม่ขอดูเอกสารอะไรเลยค่ะ ไม่ขอดูของลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยด้วยค่ะ คู่นั้นเค้าถามแค่ 4 คำถาม จะไปอเมริกาทำไม ไปที่ไหน คุณพ่อทำงานอะไร เคยไปต่างประเทศมั้ย (ทั้งสองคนไม่เคยไปต่างประเทศค่ะ)
เราไม่ทราบนะคะว่าเจ้าหน้าที่ใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน เพราะเค้าอ่านจาก DS-160 อย่างเดียว เราเป็นคนกรอก DS-160 ให้ลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขย กรอกเหมือนกันยกเว้นข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคน แฟนเราบอกว่าเค้าเดาได้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าของเราจะผ่านเพราะเรามีประวัติการท่องเที่ยวมาพอสมควรและถ้าเราจะย้ายประเทศ ไปอยู่เนเธอร์แลนด์บ้านเค้าดีกว่าและไปได้แบบถูกกฎหมายด้วย ส่วนของลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยแฟนก็ลุ้นอยู่เหมือนกันเพราะไม่เคยไปต่างประเทศเลย คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่วีซ่าจะผ่าน
เราไปสัมภาษณ์ 27/3/19 ได้พาสปอร์ตคืน 29/3/19 ตอนสายๆ บุรุษไปรษณีย์เอามาส่งที่ออฟฟิศที่ทำงานในเมืองเชียงใหม่ เราลุ้นตอนเปิดซองมากเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้หลายคนได้แค่ระยะสั้น บางทีก็มี Annotation มาด้วย แต่สุดท้ายก็ได้มา 10 ปีค่ะ
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่จะไปยื่นวีซ่าอเมริกาที่เชียงใหม่นะคะ
แชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกาที่เชียงใหม่
เรามีแพลนจะไปนิวยอร์กกับบอสตัน 20/4/19-1/5/19 ตอนแรกแพลนไปกันกับแฟน แต่ลูกพี่ลูกน้องเรียนจบ ม.6 พอดี เลยขอไปเที่ยวด้วย สรุปไปกัน 4 คน เรา แฟนเรา (คนเนเธอร์แลนด์ ไม่ต้องขอวีซ่า) ลูกพี่ลูกน้องและน้าเขย (พ่อของลูกพี่ลูกน้อง) ซึ่งสองคนหลังขอวีซ่าไม่ผ่าน นัดสัมภาษณ์พร้อมกัน ขอเข้าสัมภาษณ์ด้วยกัน แต่เจ้าหน้าที่จับแยก บอกว่าคนละนามสกุล เราอ่านเจอในหลายๆ กระทู้ที่เป็นญาติกัน ไปเที่ยว/ไปยื่นวีซ่าด้วยกัน เข้าสัมภาษณ์ที่กรุงเทพและได้สัมภาษณ์พร้อมกัน แต่ที่เชียงใหม่ เคสของเรา เจ้าหน้าที่ให้แยกสัมภาษณ์ วันนั้นเจอพ่อแม่ลูกที่ไปสัมภาษณ์วันเดียวกัน ลูกเป็นนักศึกษาอายุ 20 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้สัมภาษณ์แยกกับพ่อแม่ค่ะ
1. การกรอก DS-160 เตรียมเอกสาร และนัดสัมภาษณ์ เราดูตามเว็บไซด์นี้ค่ะ
>> https://www.2morrowexplorer.com/blogs/detail/visa-usa
เรา submit DS-160 และจ่ายเงิน 3/3/19 ได้วันนัดสัมภาษณ์ 27/3/19 เท่าที่ดูตารางนัดสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ มีวันให้นัดสัมภาษณ์แค่วันจันทร์กับวันพุธ ใครที่จะสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ แนะนำให้กรอก DS-160 จ่ายเงินและจองคิวสัมภาษณ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องเลือกสถานที่ที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่า Chiang Mai, Thailand ตั้งแต่เริ่มกรอก DS-160 เลยนะคะ
DS-160 เรากรอกไปตามความความจริงค่ะ อายุ 27 ปี โสด ระบุประเภทวีซ่าเป็น Tourism (B2) Intened Length 12 วัน ไป New York กับ Boston ออกค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้เอง Address Where You Will Stay in the U.S. ใส่ที่อยู่โรงแรมที่คาดว่าจะไปพักแถว China Town (ยังไม่ได้จอง) ระบุชื่อคนที่จะไปเที่ยวด้วยทั้ง 3 คน Contact Person or Organization in the U.S. กรอก Royal Thai Consulate General New York พร้อมที่อยู่และเบอร์โทรไปค่ะ
ในส่วนอาชีพ เราเลือก Other แล้วกรอกรายละเอียดของบริษัท ตำแหน่งงานและหน้าที่ความรับผิดชอบคร่าวๆ ใน Briefly Describe of your Duties เราทำงานบริษัททัวร์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย เงินเดือน 28,xxx อายุงาน 3 ปี 4 เดือน ตำแหน่ง Sales Representative and Assistant Manager ฟอร์มที่เรากรอก ไม่ถามว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้างค่ะ แต่ตอนที่เรากรอกให้น้าเขยมีถามค่ะ
2. วันสัมภาษณ์นัด 10:00 ไปถึง 9:15 แต่ยามที่สถานกงสุลบอกให้กลับมาใหม่ตอน 9:30 และไม่ให้รอด้านหน้า ต้องไปรออีกฝั่งนึงของถนน สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาที่เชียงใหม่จะอยู่ติดกับสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ค่ะ แต่สถานกงสุลจะมีป้ายแจ้งเลยว่าไม่ให้ผู้ที่มาสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกานำรถเข้าไปจอดในสำนักงานเทศบาล
พอ 9:30 ก็ข้ามถนนกลับไป เจ้าหน้าที่จะขอดูใบนัดและเช็คพาสปอร์ตตัวจริงพร้อมกับเช็คว่าใบหน้าของผู้ที่ไปสัมภาษณ์ตรงกับพาสปอร์ตหรือไม่ แล้วให้ไปผ่านเครื่องสแกน ใช้บัตรประชาชนสำหรับฝากโทรศัพท์มือถือ(ต้องปิดเครื่อง)และกุญแจรถค่ะ ตรงนี้จะได้ป้ายหมายเลขที่ฝากของซึ่งคล้องข้อมือได้ ซองเอกสารและกระเป๋าถือใบเล็กของผู้หญิงที่ผ่านเครื่องสแกนแล้ว วันนั้นเค้าให้เอาติดตัวเข้าไปด้วยได้ค่ะ ไม่ได้บอกให้เอาฝากไว้
หลังจากผ่านจุดสแกนก็เปิดประตูเข้าไปอีกห้องนึงแล้วไปต่อแถวให้เจ้าหน้าที่คนไทยตรวจเอกสารและรับบัตรคิว (เจ้าหน้าที่ที่จัดคิวจะเป็นคนตัดสินว่าจะให้เข้าสัมภาษณ์ด้วยกันหรือต้องแยกกัน เราแจ้งว่าญาติเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะไปเที่ยวด้วยกัน ขอเข้าสัมภาษณ์ด้วยกัน แต่เจ้าหน้าที่จับแยกพร้อมกับแจ้งว่าท่านกงสุลพูดไทยได้ชัดมาก) ตรงจุดรับบัตรคิว เจ้าหน้าที่จะให้กระดาษมา 1 แผ่นที่เขียนหมายเลขติดตาม (EMS Tracking) ให้บนกระดาษแผ่นนั้น แนะนำให้อ่านนะคะ เป็นข้อควรปฏิบัติก่อนการสัมภาษณ์และคำแนะนำกรณีที่วีซ่าผ่านและไม่ผ่านค่ะ หลังจากนั้นก็เข้าไปนั่งรอ จุดที่นั่งรอจะมีวีดีโอให้ดู อธิบายเกี่ยวกับวิธีวางมือในการพิมพ์ลายนิ้วมือ การเข้าสัมภาษณ์ และเบอร์โทรที่สำคัญที่ควรรู้ไว้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในอเมริกาค่ะ
เมื่อถูกเรียกคิวครั้งแรก จะเป็นการสแกนนิ้วมือค่ะ ช่อง 1 จุดนี้เจ้าหน้าที่คนไทยจะสอบถามข้อมูลคร่าวๆ ของเราเจ้าหน้าที่ถามเราว่า เคยไปอเมริกามั้ย (ไม่เคยค่ะ) เคยขอวีซ่าอเมริกามั้ย (ไม่เคยค่ะ) มีคนรู้จักที่อเมริกามั้ย (ไม่มีค่ะ) จะไปที่ไหนบ้าง (นิวยอร์กกับบอสตันค่ะ) เคยเปลี่ยนชื่อมั้ย (ไม่เคยค่ะ) หลังจากนั้นก็กลับมานั่งรอที่ห้องเดิมค่ะ
3. การสัมภาษณ์ วันนั้นช่องสัมภาษณ์เปิดช่องเดียวค่ะ เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงผมบลอนด์ยังดูสาวอยู่ ใบหน้ายิ้มแย้ม สวยและพูดภาษาไทยชัดมาก เมื่อถูกเรียกคิวครั้งที่ 2 เราก็เดินเข้าไปช่อง 2 (จะมีฉากกั้นระหว่างช่อง 2 และช่อง 1 ที่ไปพิมพ์นิ้วมือครั้งแรก) ช่องนี้แหละค่ะที่จะติดสินว่าวีซ่าอนุมัติหรือไม่ จขกท เดินเข้าไปแบบยิ้มแย้มและมั่นใจค่ะ เราพูดภาษาอังกฤษได้คล่องและพร้อมสัมภาษณ์มาก
จขกท - Good morning!
จนท กงสุล - สวัสดีค่ะ วางมือซ้ายเลยค่ะ (ให้สแกนนิ้วมือซ้ายสี่นิ้วอีก 1 รอบ)
จขกท - สวัสดีค่ะ (จนท กงสุลพูดภาษาไทยค่ะ เราเลยตอบเป็นภาษาไทย และการสัมภาษณ์ทั้งหมดก็เป็นภาษาไทยไปเลย)
จนท กงสุล - เคยไปอเมริกามั้ยคะ
จขกท - ไม่เคยค่ะ
จนท กงสุล - เคยขอวีซ่าอเมริกามั้ยคะ
จขกท - ไม่เคยค่ะ
จนท กงสุล - จะไปอเมริกาทำไมคะ
จขกท - ไปเที่ยวค่ะ
จนท กงสุล - จะไปที่ไหนคะ
จขกท - นิวยอร์กกับบอสตันค่ะ
จนท กงสุล - ทำงานอะไรคะ
จขกท - ทำบริษัททัวร์ค่ะ ตำแหน่ง Sales Representative and Assistant Manager ค่ะ
จนท กงสุล - จะไปเที่ยวกับใครคะ
จขกท - My boyfriend, ลูกพี่ลูกน้อง และ uncle in law ค่ะ
จนท กงสุล - คนที่ไปด้วยมีวีซ่าหรือยัง
จขกท - ยังค่ะ แฟน from เนเธอร์แลนด์ ไม่ต้องขอวีซ่า ลูกพี่ลูกน้องกับ uncle in law มาขอวีซ่าด้วยกัน กำลังจะสัมภาษณ์เป็นคิวต่อไปค่ะ
จนท กงสุล - คบกับแฟนนานหรือยัง
จขกท - ประมาณสองปีครึ่งค่ะ
จนท กงสุล - แฟนอยู่ไทยหรอ
จขกท - ส่วนใหญ่ก็อยู่ไทยค่ะ เช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน
จนท กงสุล - เคยไปต่างประเทศมั้ย
จขกท - เคยค่ะ
จนท กงสุล - ไปที่ไหนมาบ้าง
จขกท - หลายประเทศนะคะ เอาทั้งหมดเลยหรอคะ
จนท กงสุล - ค่ะ (พร้อมกับพยักหน้า)
จขกท - ฮ่องกง มาเก๊า จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย South Korea ยุโรปมี เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมณี ออสเตรีย ฮังการี โครเอเชีย
จนท กงสุล - ไปกับแฟนด้วยมั้ย
จขกท - ครึ่งครึ่งค่ะ
จนท กงสุล - ยุโรปไปกับแฟนหรอ
จขกท - ค่ะ ยุโรปไปกับแฟนค่ะ
จนท กงสุล - (มองจอคอมพิวเตอร์และพิมพ์ข้อมูล เงียบไปเกือบๆ 1 นาที) วีซ่าผ่านค่ะ
จขกท - ขอบคุณค่ะ (จขกท ยิ้มกว้างมากและเดินออกมา หันไปเจอลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยเข้ามาสัมภาษณ์เป็นคิวต่อไปพอดี จขกท ออกมานั่งรอข้างนอกได้ประมาณ 2 นาที ลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยก็ตามออกมา วีซ่าไม่ผ่านค่ะ)
เราเตรียมเอกสารไปหลายอย่างมาก (เหมือนตอนยื่นขอเชงเก้นเลย) แฟนให้เอาพาสปอร์ตของเค้าไปด้วยเผื่อเจ้าหน้าที่ถาม หนังสือรับรองการทำงาน สเตทเม้นท์ 2 บัญชี (บัญชีเงินเดือนกับเงินเก็บ) พาสปอร์ตทั้ง 2 เล่ม (เล่มเดิมมีเชงเก้น เล่มปัจจุบันเชงเก้นยังใช้ได้ถึงเดือนกันยายน) สัญญาเช่าคอนโดทั้ง 2 ปี ลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปพร้อมวิธีการเดินทาง proof of relationship ของเรากับแฟน เล่มทะเบียนรถ ฯลฯ แต่เค้าไม่ขอดูเอกสารอะไรเลยค่ะ ไม่ขอดูของลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยด้วยค่ะ คู่นั้นเค้าถามแค่ 4 คำถาม จะไปอเมริกาทำไม ไปที่ไหน คุณพ่อทำงานอะไร เคยไปต่างประเทศมั้ย (ทั้งสองคนไม่เคยไปต่างประเทศค่ะ)
เราไม่ทราบนะคะว่าเจ้าหน้าที่ใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน เพราะเค้าอ่านจาก DS-160 อย่างเดียว เราเป็นคนกรอก DS-160 ให้ลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขย กรอกเหมือนกันยกเว้นข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคน แฟนเราบอกว่าเค้าเดาได้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าของเราจะผ่านเพราะเรามีประวัติการท่องเที่ยวมาพอสมควรและถ้าเราจะย้ายประเทศ ไปอยู่เนเธอร์แลนด์บ้านเค้าดีกว่าและไปได้แบบถูกกฎหมายด้วย ส่วนของลูกพี่ลูกน้องกับน้าเขยแฟนก็ลุ้นอยู่เหมือนกันเพราะไม่เคยไปต่างประเทศเลย คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่วีซ่าจะผ่าน
เราไปสัมภาษณ์ 27/3/19 ได้พาสปอร์ตคืน 29/3/19 ตอนสายๆ บุรุษไปรษณีย์เอามาส่งที่ออฟฟิศที่ทำงานในเมืองเชียงใหม่ เราลุ้นตอนเปิดซองมากเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้หลายคนได้แค่ระยะสั้น บางทีก็มี Annotation มาด้วย แต่สุดท้ายก็ได้มา 10 ปีค่ะ
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่จะไปยื่นวีซ่าอเมริกาที่เชียงใหม่นะคะ