สวัสดีเพื่อนๆพันทิปทุกๆคนนะ อยากจะแชร์ชีวิตของเราที่เรายังเรียนอยู่ที่นี่ เราเป็นนักศึกษาของมหาลัยนึงที่ประเทศจีน เรียนคณะ ที่เกี่ยวกับร่างกายซึ่งตลอดที่เรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต้องอยู่หอในและก็ต้องมีรูมเมทเรามีรูมเมทจริงๆแล้วก่อนจะมาจีนทางมหาลัยในส่วนของหอแจ้งเรามาว่าเรามีรูมเมทต่างชาตินะเราก็ทราบเรื่องและตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องไปเรียนต่างประเทศและมีรูมเมท พอลงจากเครื่องบินก็มีรุ่นพี่คนไทยที่นั่นมาต้อนรับและพา
กลับมหาลัยระหว่างทางก็นั่งมากับเอเจนซี่ที่พูดไทยได้เค้าก็พูดให้เราย้ายเมทมาคู่กับคนไทยดีกว่าเชื่อเค้าเพราะต่างชาติไม่ค่อยดีเค้าว่างั้น พอมาถึงมหาลัยก็มีรุ่นพี่ชักชวนให้มาเป็นเมทคนไทยเหอะน้องเชื่อพี่(เมทคนไทย=คือเมทของเราคนปัจจุบัน)เมทต่างชาติชาตินี้สกปรกเชื่อพี่เราก็ด้วยเด็กมาใหม่ก็เชื่อและก็ขอเปลี่ยนรูมเมททันที่ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเพราะด้วยคำพูดของพี่ๆที่อยู่มาก่อนก็เลยเชื่อ
ต้องท้าวความก่อนว่าเมทคนไทย(เมทคนปัจจุบันของเรา)เค้าเป็นรุ่นพี่แก่กว่าปีนึงเค้าไม่มีเมทเพราะเมทเก่าเค้าจบขึ้นปี5 ก่อนหน้านี้เมทคนนี้(คนปัจจุบันได้ทักข้อความมาคุยกับเราก่อนล่วงหน้าก่อนมาประมาณชักชวนว่าอยากได้ห้องเดี่ยวไหม? แต่ต้องช่วยกันนะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องอยู่กับพี่เขานะก็ชักชวนให้เราอยู่ห้องเดียวเล่าเรื่องมีพี่คนนั้นคนนี้ก็เคยทำอยากได้หห้องเดี่ยวไหมแถทได้จ่ายค่าหอเท่าเดิมนะเราก็ด้วยความอยากอยู่ห้องเดี่ยวอยู่แล้วก็ดีใจ
แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้ห้องเดี่ยวและต้องมาอยู่กับพี่เขา
กลับมาต่อวันแรกที่เรามาอยู่ก็ไม่ค่อยโอเคเลยห้องเล็กมากของพี่เค้าเยอะมากเดี๊ยวความที่มาใหม่และเราก็รอเจอพี่ที่ห้องในห้องครั้งแรกก็ไม่ประทับใจเลย
ด้วยความที่พี่เขาขึ้นมาเรียกให้ลงไปข้างล่างน้ำเสียงหน้าตาการพูดจาก็ไม่ประทับใจเลยหลังจากเสร็จกิจกรรมก็กลับมาห้องด้วยความหิวเราก็เลยถามหาห้องครัวของชั้นเรา(หอที่นี่ ห้องน้ำรวม ห้องครัวรวม)เราก็ถามพี่เค้า"พี่ค่ะ/ครับตรงข้างๆห้องน้ำใช่ห้องครัวหรือปล่าวค่ะ/ครับ" พี่เค้าก็ตอบมาว่า " อะไร!!(ด้วยน้ำเสียงที่รำคาญ)ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็อยู่ในห้องเงียบๆไม่ได้รบกวนหรือทำอะไรเสียงดัง"เราก็ถามซ้ำแบบเดิม พี่เค้าก็ตอบกลับมา"อะไร อืม ใช่ ทำไม"
เราก็ตอบกับไป"ค่ะ/ครับ" หลังจากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีกนี่คือเหตุการณ์วันแรกที่เรามาถึง คืนนั้นเรารีบโทรแจ้ง เอเจนซี่ ขอย้ายห้องทันที่ซึ่งรู้เลยถ้อยู่ต่อไปก็ไม่โอเคแน่ๆก็ได้แต่คิดในใจ อะลองอยู่ไปก่อนใหม่อยู่ไปก่อนเทอมแรกเราแทบจะไม่ยอมคุยกับเมทเราเลยตัดบทคุยตลอดเพราะไม่อยากสารสัมพันธ์อะไรกับเมทมากเค้าไม่เคยแนะนำอะไรเกี่ยวกับในมหาลัย ในห้องเลยแม้แต่นิดในห้องมีอะไรบ้างของใครบ้างเอากระเป๋าลากไว้ตรงไหนได้บ้างพี่เค้าไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากมาถึงเราต้องหาตู้ว่างๆใส่เสื้อผ้าเราหาตู้ใส่ของกินที่เอามาจากไทยเราก็ได้โซนแคบๆมาก็พออยู่ได้ไม่ได้ลำบากอะไรเลย
เราและเมทเริ่มไม่พอใจกัน ปลายๆเทอมหนึ่ง ขึ้นเทอมสอง ซึ่งนิสัยของเค้าเราก็พอรู้มาบ้างจากโซเชียลต่างๆ ที่เค้าชอบด่ารอยๆ ในเฟสบุ๊ค ในแอพสนทนาคล้ายๆ ไลน์ของที่จีนที่พวกเราใช้กันในจีน ต่อๆๆๆ 555 นอกเรื่องบ่อยเหลือเกิน เมทเราก็ชอบไปมีปัญหาเดือดร้อนแทนคนอื่นแล้วก็ด่ารอยๆบ่อยๆ
ด้วยความที่เราอยู่ในห้องเราก็ไม่ค่อยโอเคที่เห็นพี่เค้าเป็นแบบนั้นเพราะเราจะโดนด่าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้555 เราก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา
ด้วยคณะที่ขึ้นชื่อว่าเรียนยาก เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ด้วยก็คงต้องการที่สงบๆอ่านหนังสือและทุกคนที่นี่ก็คงไม่ได้สนใจเรื่องอะไรของใครเพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันอย่างบ้าคลั่งต่างกับเราที่เราไม่สามารถอ่านหนังสือในห้องได้เลยไม่ใช่ว่าไม่ชอบอ่านในหอนะแต่โดนเมทที่อยู่ด้วยรบกวนตลอดเวลา
จะทำอะไรก็เสียงดังทุ่มหนังสือลงโต๊ะบ้างโยนปากกาบ้างโยนเหรียญลงโต๊ะบ้าง (ย้ำว่าโยน)จริงๆตอนเช้าๆพี่เค้ามีเรียนเช้ากว่าเราก็จะทำทุกอย่างเสียงดังทั้งๆที่รู้ว่าเรานอนอยู่ปิดประตูหลังห้องโครมครามพอแต่งตัวเสร็จจะออกห้องต่างผ่านเตียงเราก่อนพี่เค้าชอบเดินเตะขาเตียงเราเป็นแบบนี้มาสักพักเราก็เริ่มไม่พอใจก็ตื่นก่อนพี่เค้าและออกห้องก่อนเพื่อตัดปัญหาหงุดหงิดรำคาญใจ ซึ่งทุกวันเราเป็นคนอ่านหนังสือนาน(อ่านๆเล่นๆ)อ่านดึกและพี่เค้าจะนอนก่อนเสมอ(ห้องเราไม่เคยเปิดไฟเพราะพี่เค้าบอกเราเองว่าชอบอยู่แบบถ้ำถ้าเราเปิดไฟพี่เค้าจะเดินมาปิด)ซึ่งเราก็เปิดโคมไฟอ่านหนังสือซึ่งเราก็ระมัดระวังเรื่องแสงโคมไฟที่จะสาดไปทางฝั่งพี่เค้า(เตียงพี่เค้ากับเตียงเราติดกันแต่พี่เค้าเอาแผ่นม่านมากั้นไว้)ตลอดเพื่อไม่ให้รบกวนเราอยู่กับรุ่มเมทเราก็ให้เกียรติเค้ามากยิ่งเค้าเป็นพี่เราอีกเราเสียงดังในห้องเราพยายามไม่ให้เกิดเลยเพราะเราคิดตลอดเราให้เกียรติใครให้ความเคารพใครเค้าก็อาจจะให้เรากลับและอีกข้อเราต้องเกรงใจกับรูมเมทเราเพราะเค้าไม่ใช่เพื่อนสมัยมัธยมหรือญาติพี่น้องที่รู้จักกันมาก่อนเราก็ควรให้เกียรติและเคารพและเกรงใจซึ่งกันและกัน ต่อๆๆๆ
เราก็ทำแบบนี้มาตลอดจนมีวันนึงเราไม่ได้กินข้าวกลางวันและข้าวเย็น พออ่านหนังสือตกดึกเราเริ่มหิวและพี่เค้าก็กำลังนอน ด้วยความหิวเราก็หยิบเลย์ค่อยๆหยิบจากในตู้ไปแกะข้างนอกห้องเพราะเสียงมันดังมากกกกกก แล้วกลับมากินในห้องกินหมดก็อ่านหนังสือต่อ อ่านเสร็จก็ราวๆตี2ก็หยิบมือถือมาเช็ค
และแล้ววันนั้นก็มาถึง เราถูกรูมเมทเราด่าลงในแอพวีแชทจริงๆ ด้วยความสำนึกผิดก็ค่อยปิดไฟและค่อยๆล้มตัวลงนอนเบาๆเพราะเตียงมันติดกันและเป็นแบบเช่นเคยเช้ามาเดินมาเตะขาเตียงจนเราตื่น(เราเรียน 9.40เทียบเวลาไทยก็ 8.40แต่เราต้องตื่นไปอาบน้ำก่อนหนึ่งชั่วโมง ก็ 6-7โมงเช้าในเวลาไทย)และพร้อมกับปิดประตูห้องดังมากจนเราตื่นดีเลย จากนั้นเราก็ไม่เคยกินเลย์ในห้องอีกเลย
ขึ้นเทอมสองยิ่งเรียนหนักขึ้นเรื่อยๆตามสไตน์คณะนี้เราก็เรียนเช้ากลับมานอนเที่ยงบ่ายไปเรียนเริ่มเทอมสองมาไม่นานเราก็รู้สึกไปเรียนเช้าเหนื่อยมากก็เลยกลับห้องมานอนซึ่งเราจะกลับก่อนที่รูมเมทเรามาตลอดเพราะเราเลิกเรียนไว(เป็นบางวันที่เลิกเรียนไวหรือไม่มีคาบเรียน)เรากลับมานอนก่อนบ่ายโมงค่อยตื่นไปกินข้าวและไปเรียนประมาธเที่ยงกว่าๆรูมเมทก็กลับมาก็เหมือนเดิมปิดประตูปั้ง!!!แต่กว่าคือเรานอนอยู่แล้วพี่เค้าผัดกับข้าวหลังห้อง(ห้องนอนหลังห้องเป็นระเบียงเล็กๆมีที่ล้างหน้ากับหน้าต่าง)พี่แกก็ลงมือผัดกับข้าวหุงข้าวหลังห้องโดยไม่เปิดหน้าต่างระเบียงด้วย และก็เปิดประตูหลังห้องอีกด้วยด้วยความที่เรานอนอยู่กลิ่นก็เข้ามาควันก็เข้ามาเต็มห้องส่งกลิ่มเหม็นติดเสื้อผ้าเราที่อยู่ในตู้เสื้อที่แขวนไว้ และที่นอนของเราซึ่งพี่แกก็ไม่สนใจอะไรก็ทำแบบนี้อยู่ซักพักก็เอาข้าวมากินในห้องทำแบบนี้อยู่เกือบจะจบเทอมสอง
ช่วงใกล้จบเทอมสองนั้นต้องบอกเลยว่าไม่มีเวลาว่างเลยเรียนๆๆๆๆๆสอบๆๆๆๆๆอย่างบ้าคลั่งมากบวกกับเราประสบปัญหารูมมเทที่ไม่โอเคมากๆซึ่งเราไม่เคยตอบโต้พี่เค้ากลับ ไม่โอเคก็แค่ออกห้องไปสงบจิตรสงบใจกลับมาใหม่หรืออ่านหนังสือในห้องถ้าพี่เสียงดังก็ยัดหูฟังใส่หูเปิดเพลงอัดดังๆและทำเป็นไม่สนใจไปพี่เค้าก็เริ่มหนักขึ้นๆและเริ่มไม่เกรงใจกันเริ่มวีดิโอคอลกับเพื่อนเสียงดังมากในขณะที่เราอ่านหนังสืออยู่เริ่มทำกิริยาที่เหมือนจะบีบให้เราอยู่ห้องนี้ไม่ได้(ขอไม่เล่าเน้อะเดี๊ยวจะยาวและส่อถึงตัวบุคคลได้ง่าย) เราซึ่งเรียนหนักเครียดกับการเรียนด้วยและต้องอ่านหนังสือด้วยก็เริ่มท้อและไม่ไหวที่จะทนอีกต่อไปโทรกลับมาเล่าให้ที่บ้านฟัง(ที่บ้านรับรู้และเห็นสิ่งที่รูมเมทเค้าทำทั้งหมดเพราะเราชอบวีดิโอคอลให้แม่มานั่งเฝ้าอ่านหนังสืออีกอย่างนึงคืออยากให้ที่บ้านรู้ว่าเราเจอปัญหาแบบนี้อยู่นะให้ที่บ้านได้ทราบและเห็นไปพร้อมๆกันเราไม่ได้จะแอบถ่ายนะเราทำมาตลอดอยู่แล้ว)พ่อแม่ก็ให้กำลังใจอดทนต่อสู้ต่ออย่าให้อะไรมาเป็นปัญหาในการเรียนเราก็โอเคสู้ต่อ(เราวีดิโอคอลหาที่บ้านในห้องใส่หูฟังและไม่พูดออกเสียงใช่วิธีพิมตอบในมือถือเอาเพื่อตัดปัญหาการพูดเสียงดังรบกวนรูมเมทเผื่อเค้าอ่านหนังสืออยู่)หลังจากนั้นได้ไม่กี่วันก็รูมเมทเราก็เริ่มไม่โอเคมากขึ้นๆเรียกกได้ว่าแทบไม่มีสมาธิอ่านตอนดึกๆเลยตอนจะนอนก็หลับไม่สนิทเพราะพี่แกชอบมาปรับแอร์ให้ร้อนมากๆๆๆทั้งๆที่อากาศในห้อง 27องศาแล้ว(พี่แกเดินมาปรับแล้วบอกพี่หนาวแล้วก็ปรับเลย)ครั้งนี้เราไม่ยอมก็ปรับลงอีกให้เหลือ 25 พี่แกก็เริ่มไม่พอใจกระชากกเก้าอี้ของเขาเองชนตู้เสื้อผ้าเขาแล้วเดินปรับขึ้นไป 28 ซึ่งเหตุการณ์นั้นแลดูจะเด็กทะเลาะกันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ของที่นี่เลย(ขอไม่เล่าเพราะมันโยงหลายประเด็นหลายคนไม่ใช่เรื่องแอร์แต่เป็นที่รูมเมทเราไปเล่าต่อให้เพื่อนเขาฟัง) เช้าอีกวันเรากลายเป็นเด็กคนไทยที่มีปัญหาทันทีลงหอมาไหว้รุ่นพี่ อื่นๆเค้าก็ไม่มองและไม่สนใจไปทันทีเราก็เฟลและจิตรตกมากแต่เราก็อดทนนะอยู่ต่อให้ไหว
จนมาถึงไกล้สอบไฟนอลวันแห่งความไม่มีห้องอ่านหนังสือและโดนรบกวนหนักมากกกกกก(เผื่อสงสัยกันเราไม่ไปอ่านหนังสือข้างนอกเพราะร้านกาแฟที่นี่ปิด3ทุ่มและห้องสมุดปิดสองทุ่มห้องสมุดคนเยอะมากเสียงดังมากและไม่มีที่อ่านด้วยคนจีนก็ต่างมาอ่านตามบรรไดห้องสมุดกันยาวไปถึงรอบๆอาคาร)เราก็คิดว่าไม่ได้ละทนไม่ได้ละทั้งโดนเมททำกับข้าวตอนเราหลับและเราอ่านหนังสือทั้งตอนเที่ยงและตอนเย็น วันไหนเราตื่นสายพี่แกก็เล่นเสียงดังป่วนเราจนตื่นบางวันเรานอนเร็วก็แทบไม่ได้นอนเพราะพี่แกเห็นเราปิดไฟนอนปุ๊บก็เริ่มสงครามทันที อดทนมาเรื่อยๆจนสอบเสร็จไปหนึ่งตัวเราก็เริ่มที่จะหาห้องเปลี่ยนเพื่อปีต่อไปจะได้ไม่ต้องอยู่ด้วยอีกก็ไปลองคุยๆกับพี่คนไทยชั้นล่างว่าลองเปลี่ยนสลับเมทกันไหมค่ะ/ครับพี่เค้าก็มีปัญหาเรื่องเมทเหมือนกันเราเลยไปลองคุยๆดูจากนั้นไม่นานตกเย็นมีสายแปลกโทรมาหาเรา "ฮาโหลxxxxใช่ไหม พี่ขอคุยด้วยหน่อยเรื่องย้ายห้อง"เราก็ถามกลับ"ทำไมหรอคะ/ครับ" พี่:"xxxจะย้ายห้องหรอมีไอะไรกันทำไมถึงต้องมาสลับเมทกับเมทพี่" เรา:"อ๋อไม่มีอะไรค่ะ/ครับไม่ย้ายแล้วของxxxเยอะค่ะ/ครับ" แล้วก็จบสายนั้นไป
จบเรื่องย้ายห้องซึ่งเราไม่มีทางได้ย้ายไปไหนแน่ๆก็เลยเอ้าวะเข้าไปลองคุยดูก็ปรึกษาพี่ๆรปีอื่นๆดูเค้าก็เตือนมาว่าเยอะไปคุยเลยอดทนเอาน้องพี่เค้าก็เล่าให้ฟังก่อนเรามาเมทเราก็มีปัญหากับคนอื่นและก็พอเรียกไปเคลียเคลียเสร็จก็ไม่จบอีกเมื่อต้นเทอมหนึ่งตอนเรามาเมทเราก้ไปทะเลาะมีปัญหากับรุ่นพี่คนไทยที่อยู่ที่นี่เรื่องด่ากันไปมาในโซเชียลเเคลียกันเสร็จจบแต่ฝั่งเมทเราก็เหมือนจะแขวะๆต่ออีกเราได้ยินมาและพอเห็นเรื่องราวบ้างก็เริ่มไม่อยากไปคุยตรงๆอีกทั้งที่เราเคยโดนพี่เค้าโพสรอยๆว่าอีกก็ตัดใจไม่คุยไม่เคลีย อดทนจนสอบไฟนอลเสร็จแล้วกลับไปพักฟื้นที่บ้าน
เริ่มต้นแห่งการเรียนใหม่ก็ยากขึ้นมากเพราะเจาะลึกลงรายละเอียดต่างๆของร่างกายแล้วก็ต้องกลับมอ่านหนังสือมากขึ้นและเราก็ยังไม่หลุดพ้นห้องนอนและเมทคนนี้ต่อ55555ซึ่เริ่มต้นปีใหม่แห่งการศึกษาใหม่ พี่แกก็เปิดฉากเหมือนเดิมเพราะรู้ว่าเราไม่ย้ายแน่นอนเพิ่มเติมคือปิดประตูกระแทกหน้าเราตอนเราอ่านหนังสือ(โต๊ะเราจะหันเข้าผนังข้างประตูออกห้อง)ซึ่งปิดแรงจนชีทปลิวและของเราตกจากชั้นหนังสือบางวันก็เล่นเกมคอลกับเพื่อนเสียงดังจนเราอ่านหนังสือไม่ได้
เหมือนไม่ได้มาถาม55555เหมือนมาแชร์ประสบการณ์แย่ๆของเรามากกว่า เราขอใช้(ค่ะ/ครับเผื่อไม่ระบุตัวตนละกันเน้อะเพราะมีปัญหามาเราจะถูกคนที่นี่บีบกดดันบูลรี่เราเหมือนเหตุการณ์ที่เล่าไปด้านบน) เพื่อนๆคิดว่าเราควรจะปรับปรุงตัวยังไงหรืออดทนต่อไปหรือมีวิธีรับมือยังไงลองมาแนะนำกัน ลองมาแชร์ๆกับเรากันหน่อยจิ
ถ้าเป็นคุณจะอดทนกับเรื่องนี้อีกนานแค่ไหน
กลับมหาลัยระหว่างทางก็นั่งมากับเอเจนซี่ที่พูดไทยได้เค้าก็พูดให้เราย้ายเมทมาคู่กับคนไทยดีกว่าเชื่อเค้าเพราะต่างชาติไม่ค่อยดีเค้าว่างั้น พอมาถึงมหาลัยก็มีรุ่นพี่ชักชวนให้มาเป็นเมทคนไทยเหอะน้องเชื่อพี่(เมทคนไทย=คือเมทของเราคนปัจจุบัน)เมทต่างชาติชาตินี้สกปรกเชื่อพี่เราก็ด้วยเด็กมาใหม่ก็เชื่อและก็ขอเปลี่ยนรูมเมททันที่ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเพราะด้วยคำพูดของพี่ๆที่อยู่มาก่อนก็เลยเชื่อ
ต้องท้าวความก่อนว่าเมทคนไทย(เมทคนปัจจุบันของเรา)เค้าเป็นรุ่นพี่แก่กว่าปีนึงเค้าไม่มีเมทเพราะเมทเก่าเค้าจบขึ้นปี5 ก่อนหน้านี้เมทคนนี้(คนปัจจุบันได้ทักข้อความมาคุยกับเราก่อนล่วงหน้าก่อนมาประมาณชักชวนว่าอยากได้ห้องเดี่ยวไหม? แต่ต้องช่วยกันนะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องอยู่กับพี่เขานะก็ชักชวนให้เราอยู่ห้องเดียวเล่าเรื่องมีพี่คนนั้นคนนี้ก็เคยทำอยากได้หห้องเดี่ยวไหมแถทได้จ่ายค่าหอเท่าเดิมนะเราก็ด้วยความอยากอยู่ห้องเดี่ยวอยู่แล้วก็ดีใจ
แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้ห้องเดี่ยวและต้องมาอยู่กับพี่เขา
กลับมาต่อวันแรกที่เรามาอยู่ก็ไม่ค่อยโอเคเลยห้องเล็กมากของพี่เค้าเยอะมากเดี๊ยวความที่มาใหม่และเราก็รอเจอพี่ที่ห้องในห้องครั้งแรกก็ไม่ประทับใจเลย
ด้วยความที่พี่เขาขึ้นมาเรียกให้ลงไปข้างล่างน้ำเสียงหน้าตาการพูดจาก็ไม่ประทับใจเลยหลังจากเสร็จกิจกรรมก็กลับมาห้องด้วยความหิวเราก็เลยถามหาห้องครัวของชั้นเรา(หอที่นี่ ห้องน้ำรวม ห้องครัวรวม)เราก็ถามพี่เค้า"พี่ค่ะ/ครับตรงข้างๆห้องน้ำใช่ห้องครัวหรือปล่าวค่ะ/ครับ" พี่เค้าก็ตอบมาว่า " อะไร!!(ด้วยน้ำเสียงที่รำคาญ)ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็อยู่ในห้องเงียบๆไม่ได้รบกวนหรือทำอะไรเสียงดัง"เราก็ถามซ้ำแบบเดิม พี่เค้าก็ตอบกลับมา"อะไร อืม ใช่ ทำไม"
เราก็ตอบกับไป"ค่ะ/ครับ" หลังจากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีกนี่คือเหตุการณ์วันแรกที่เรามาถึง คืนนั้นเรารีบโทรแจ้ง เอเจนซี่ ขอย้ายห้องทันที่ซึ่งรู้เลยถ้อยู่ต่อไปก็ไม่โอเคแน่ๆก็ได้แต่คิดในใจ อะลองอยู่ไปก่อนใหม่อยู่ไปก่อนเทอมแรกเราแทบจะไม่ยอมคุยกับเมทเราเลยตัดบทคุยตลอดเพราะไม่อยากสารสัมพันธ์อะไรกับเมทมากเค้าไม่เคยแนะนำอะไรเกี่ยวกับในมหาลัย ในห้องเลยแม้แต่นิดในห้องมีอะไรบ้างของใครบ้างเอากระเป๋าลากไว้ตรงไหนได้บ้างพี่เค้าไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากมาถึงเราต้องหาตู้ว่างๆใส่เสื้อผ้าเราหาตู้ใส่ของกินที่เอามาจากไทยเราก็ได้โซนแคบๆมาก็พออยู่ได้ไม่ได้ลำบากอะไรเลย
เราและเมทเริ่มไม่พอใจกัน ปลายๆเทอมหนึ่ง ขึ้นเทอมสอง ซึ่งนิสัยของเค้าเราก็พอรู้มาบ้างจากโซเชียลต่างๆ ที่เค้าชอบด่ารอยๆ ในเฟสบุ๊ค ในแอพสนทนาคล้ายๆ ไลน์ของที่จีนที่พวกเราใช้กันในจีน ต่อๆๆๆ 555 นอกเรื่องบ่อยเหลือเกิน เมทเราก็ชอบไปมีปัญหาเดือดร้อนแทนคนอื่นแล้วก็ด่ารอยๆบ่อยๆ
ด้วยความที่เราอยู่ในห้องเราก็ไม่ค่อยโอเคที่เห็นพี่เค้าเป็นแบบนั้นเพราะเราจะโดนด่าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้555 เราก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา
ด้วยคณะที่ขึ้นชื่อว่าเรียนยาก เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ด้วยก็คงต้องการที่สงบๆอ่านหนังสือและทุกคนที่นี่ก็คงไม่ได้สนใจเรื่องอะไรของใครเพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันอย่างบ้าคลั่งต่างกับเราที่เราไม่สามารถอ่านหนังสือในห้องได้เลยไม่ใช่ว่าไม่ชอบอ่านในหอนะแต่โดนเมทที่อยู่ด้วยรบกวนตลอดเวลา
จะทำอะไรก็เสียงดังทุ่มหนังสือลงโต๊ะบ้างโยนปากกาบ้างโยนเหรียญลงโต๊ะบ้าง (ย้ำว่าโยน)จริงๆตอนเช้าๆพี่เค้ามีเรียนเช้ากว่าเราก็จะทำทุกอย่างเสียงดังทั้งๆที่รู้ว่าเรานอนอยู่ปิดประตูหลังห้องโครมครามพอแต่งตัวเสร็จจะออกห้องต่างผ่านเตียงเราก่อนพี่เค้าชอบเดินเตะขาเตียงเราเป็นแบบนี้มาสักพักเราก็เริ่มไม่พอใจก็ตื่นก่อนพี่เค้าและออกห้องก่อนเพื่อตัดปัญหาหงุดหงิดรำคาญใจ ซึ่งทุกวันเราเป็นคนอ่านหนังสือนาน(อ่านๆเล่นๆ)อ่านดึกและพี่เค้าจะนอนก่อนเสมอ(ห้องเราไม่เคยเปิดไฟเพราะพี่เค้าบอกเราเองว่าชอบอยู่แบบถ้ำถ้าเราเปิดไฟพี่เค้าจะเดินมาปิด)ซึ่งเราก็เปิดโคมไฟอ่านหนังสือซึ่งเราก็ระมัดระวังเรื่องแสงโคมไฟที่จะสาดไปทางฝั่งพี่เค้า(เตียงพี่เค้ากับเตียงเราติดกันแต่พี่เค้าเอาแผ่นม่านมากั้นไว้)ตลอดเพื่อไม่ให้รบกวนเราอยู่กับรุ่มเมทเราก็ให้เกียรติเค้ามากยิ่งเค้าเป็นพี่เราอีกเราเสียงดังในห้องเราพยายามไม่ให้เกิดเลยเพราะเราคิดตลอดเราให้เกียรติใครให้ความเคารพใครเค้าก็อาจจะให้เรากลับและอีกข้อเราต้องเกรงใจกับรูมเมทเราเพราะเค้าไม่ใช่เพื่อนสมัยมัธยมหรือญาติพี่น้องที่รู้จักกันมาก่อนเราก็ควรให้เกียรติและเคารพและเกรงใจซึ่งกันและกัน ต่อๆๆๆ
เราก็ทำแบบนี้มาตลอดจนมีวันนึงเราไม่ได้กินข้าวกลางวันและข้าวเย็น พออ่านหนังสือตกดึกเราเริ่มหิวและพี่เค้าก็กำลังนอน ด้วยความหิวเราก็หยิบเลย์ค่อยๆหยิบจากในตู้ไปแกะข้างนอกห้องเพราะเสียงมันดังมากกกกกก แล้วกลับมากินในห้องกินหมดก็อ่านหนังสือต่อ อ่านเสร็จก็ราวๆตี2ก็หยิบมือถือมาเช็ค
และแล้ววันนั้นก็มาถึง เราถูกรูมเมทเราด่าลงในแอพวีแชทจริงๆ ด้วยความสำนึกผิดก็ค่อยปิดไฟและค่อยๆล้มตัวลงนอนเบาๆเพราะเตียงมันติดกันและเป็นแบบเช่นเคยเช้ามาเดินมาเตะขาเตียงจนเราตื่น(เราเรียน 9.40เทียบเวลาไทยก็ 8.40แต่เราต้องตื่นไปอาบน้ำก่อนหนึ่งชั่วโมง ก็ 6-7โมงเช้าในเวลาไทย)และพร้อมกับปิดประตูห้องดังมากจนเราตื่นดีเลย จากนั้นเราก็ไม่เคยกินเลย์ในห้องอีกเลย
ขึ้นเทอมสองยิ่งเรียนหนักขึ้นเรื่อยๆตามสไตน์คณะนี้เราก็เรียนเช้ากลับมานอนเที่ยงบ่ายไปเรียนเริ่มเทอมสองมาไม่นานเราก็รู้สึกไปเรียนเช้าเหนื่อยมากก็เลยกลับห้องมานอนซึ่งเราจะกลับก่อนที่รูมเมทเรามาตลอดเพราะเราเลิกเรียนไว(เป็นบางวันที่เลิกเรียนไวหรือไม่มีคาบเรียน)เรากลับมานอนก่อนบ่ายโมงค่อยตื่นไปกินข้าวและไปเรียนประมาธเที่ยงกว่าๆรูมเมทก็กลับมาก็เหมือนเดิมปิดประตูปั้ง!!!แต่กว่าคือเรานอนอยู่แล้วพี่เค้าผัดกับข้าวหลังห้อง(ห้องนอนหลังห้องเป็นระเบียงเล็กๆมีที่ล้างหน้ากับหน้าต่าง)พี่แกก็ลงมือผัดกับข้าวหุงข้าวหลังห้องโดยไม่เปิดหน้าต่างระเบียงด้วย และก็เปิดประตูหลังห้องอีกด้วยด้วยความที่เรานอนอยู่กลิ่นก็เข้ามาควันก็เข้ามาเต็มห้องส่งกลิ่มเหม็นติดเสื้อผ้าเราที่อยู่ในตู้เสื้อที่แขวนไว้ และที่นอนของเราซึ่งพี่แกก็ไม่สนใจอะไรก็ทำแบบนี้อยู่ซักพักก็เอาข้าวมากินในห้องทำแบบนี้อยู่เกือบจะจบเทอมสอง
ช่วงใกล้จบเทอมสองนั้นต้องบอกเลยว่าไม่มีเวลาว่างเลยเรียนๆๆๆๆๆสอบๆๆๆๆๆอย่างบ้าคลั่งมากบวกกับเราประสบปัญหารูมมเทที่ไม่โอเคมากๆซึ่งเราไม่เคยตอบโต้พี่เค้ากลับ ไม่โอเคก็แค่ออกห้องไปสงบจิตรสงบใจกลับมาใหม่หรืออ่านหนังสือในห้องถ้าพี่เสียงดังก็ยัดหูฟังใส่หูเปิดเพลงอัดดังๆและทำเป็นไม่สนใจไปพี่เค้าก็เริ่มหนักขึ้นๆและเริ่มไม่เกรงใจกันเริ่มวีดิโอคอลกับเพื่อนเสียงดังมากในขณะที่เราอ่านหนังสืออยู่เริ่มทำกิริยาที่เหมือนจะบีบให้เราอยู่ห้องนี้ไม่ได้(ขอไม่เล่าเน้อะเดี๊ยวจะยาวและส่อถึงตัวบุคคลได้ง่าย) เราซึ่งเรียนหนักเครียดกับการเรียนด้วยและต้องอ่านหนังสือด้วยก็เริ่มท้อและไม่ไหวที่จะทนอีกต่อไปโทรกลับมาเล่าให้ที่บ้านฟัง(ที่บ้านรับรู้และเห็นสิ่งที่รูมเมทเค้าทำทั้งหมดเพราะเราชอบวีดิโอคอลให้แม่มานั่งเฝ้าอ่านหนังสืออีกอย่างนึงคืออยากให้ที่บ้านรู้ว่าเราเจอปัญหาแบบนี้อยู่นะให้ที่บ้านได้ทราบและเห็นไปพร้อมๆกันเราไม่ได้จะแอบถ่ายนะเราทำมาตลอดอยู่แล้ว)พ่อแม่ก็ให้กำลังใจอดทนต่อสู้ต่ออย่าให้อะไรมาเป็นปัญหาในการเรียนเราก็โอเคสู้ต่อ(เราวีดิโอคอลหาที่บ้านในห้องใส่หูฟังและไม่พูดออกเสียงใช่วิธีพิมตอบในมือถือเอาเพื่อตัดปัญหาการพูดเสียงดังรบกวนรูมเมทเผื่อเค้าอ่านหนังสืออยู่)หลังจากนั้นได้ไม่กี่วันก็รูมเมทเราก็เริ่มไม่โอเคมากขึ้นๆเรียกกได้ว่าแทบไม่มีสมาธิอ่านตอนดึกๆเลยตอนจะนอนก็หลับไม่สนิทเพราะพี่แกชอบมาปรับแอร์ให้ร้อนมากๆๆๆทั้งๆที่อากาศในห้อง 27องศาแล้ว(พี่แกเดินมาปรับแล้วบอกพี่หนาวแล้วก็ปรับเลย)ครั้งนี้เราไม่ยอมก็ปรับลงอีกให้เหลือ 25 พี่แกก็เริ่มไม่พอใจกระชากกเก้าอี้ของเขาเองชนตู้เสื้อผ้าเขาแล้วเดินปรับขึ้นไป 28 ซึ่งเหตุการณ์นั้นแลดูจะเด็กทะเลาะกันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ของที่นี่เลย(ขอไม่เล่าเพราะมันโยงหลายประเด็นหลายคนไม่ใช่เรื่องแอร์แต่เป็นที่รูมเมทเราไปเล่าต่อให้เพื่อนเขาฟัง) เช้าอีกวันเรากลายเป็นเด็กคนไทยที่มีปัญหาทันทีลงหอมาไหว้รุ่นพี่ อื่นๆเค้าก็ไม่มองและไม่สนใจไปทันทีเราก็เฟลและจิตรตกมากแต่เราก็อดทนนะอยู่ต่อให้ไหว
จนมาถึงไกล้สอบไฟนอลวันแห่งความไม่มีห้องอ่านหนังสือและโดนรบกวนหนักมากกกกกก(เผื่อสงสัยกันเราไม่ไปอ่านหนังสือข้างนอกเพราะร้านกาแฟที่นี่ปิด3ทุ่มและห้องสมุดปิดสองทุ่มห้องสมุดคนเยอะมากเสียงดังมากและไม่มีที่อ่านด้วยคนจีนก็ต่างมาอ่านตามบรรไดห้องสมุดกันยาวไปถึงรอบๆอาคาร)เราก็คิดว่าไม่ได้ละทนไม่ได้ละทั้งโดนเมททำกับข้าวตอนเราหลับและเราอ่านหนังสือทั้งตอนเที่ยงและตอนเย็น วันไหนเราตื่นสายพี่แกก็เล่นเสียงดังป่วนเราจนตื่นบางวันเรานอนเร็วก็แทบไม่ได้นอนเพราะพี่แกเห็นเราปิดไฟนอนปุ๊บก็เริ่มสงครามทันที อดทนมาเรื่อยๆจนสอบเสร็จไปหนึ่งตัวเราก็เริ่มที่จะหาห้องเปลี่ยนเพื่อปีต่อไปจะได้ไม่ต้องอยู่ด้วยอีกก็ไปลองคุยๆกับพี่คนไทยชั้นล่างว่าลองเปลี่ยนสลับเมทกันไหมค่ะ/ครับพี่เค้าก็มีปัญหาเรื่องเมทเหมือนกันเราเลยไปลองคุยๆดูจากนั้นไม่นานตกเย็นมีสายแปลกโทรมาหาเรา "ฮาโหลxxxxใช่ไหม พี่ขอคุยด้วยหน่อยเรื่องย้ายห้อง"เราก็ถามกลับ"ทำไมหรอคะ/ครับ" พี่:"xxxจะย้ายห้องหรอมีไอะไรกันทำไมถึงต้องมาสลับเมทกับเมทพี่" เรา:"อ๋อไม่มีอะไรค่ะ/ครับไม่ย้ายแล้วของxxxเยอะค่ะ/ครับ" แล้วก็จบสายนั้นไป
จบเรื่องย้ายห้องซึ่งเราไม่มีทางได้ย้ายไปไหนแน่ๆก็เลยเอ้าวะเข้าไปลองคุยดูก็ปรึกษาพี่ๆรปีอื่นๆดูเค้าก็เตือนมาว่าเยอะไปคุยเลยอดทนเอาน้องพี่เค้าก็เล่าให้ฟังก่อนเรามาเมทเราก็มีปัญหากับคนอื่นและก็พอเรียกไปเคลียเคลียเสร็จก็ไม่จบอีกเมื่อต้นเทอมหนึ่งตอนเรามาเมทเราก้ไปทะเลาะมีปัญหากับรุ่นพี่คนไทยที่อยู่ที่นี่เรื่องด่ากันไปมาในโซเชียลเเคลียกันเสร็จจบแต่ฝั่งเมทเราก็เหมือนจะแขวะๆต่ออีกเราได้ยินมาและพอเห็นเรื่องราวบ้างก็เริ่มไม่อยากไปคุยตรงๆอีกทั้งที่เราเคยโดนพี่เค้าโพสรอยๆว่าอีกก็ตัดใจไม่คุยไม่เคลีย อดทนจนสอบไฟนอลเสร็จแล้วกลับไปพักฟื้นที่บ้าน
เริ่มต้นแห่งการเรียนใหม่ก็ยากขึ้นมากเพราะเจาะลึกลงรายละเอียดต่างๆของร่างกายแล้วก็ต้องกลับมอ่านหนังสือมากขึ้นและเราก็ยังไม่หลุดพ้นห้องนอนและเมทคนนี้ต่อ55555ซึ่เริ่มต้นปีใหม่แห่งการศึกษาใหม่ พี่แกก็เปิดฉากเหมือนเดิมเพราะรู้ว่าเราไม่ย้ายแน่นอนเพิ่มเติมคือปิดประตูกระแทกหน้าเราตอนเราอ่านหนังสือ(โต๊ะเราจะหันเข้าผนังข้างประตูออกห้อง)ซึ่งปิดแรงจนชีทปลิวและของเราตกจากชั้นหนังสือบางวันก็เล่นเกมคอลกับเพื่อนเสียงดังจนเราอ่านหนังสือไม่ได้
เหมือนไม่ได้มาถาม55555เหมือนมาแชร์ประสบการณ์แย่ๆของเรามากกว่า เราขอใช้(ค่ะ/ครับเผื่อไม่ระบุตัวตนละกันเน้อะเพราะมีปัญหามาเราจะถูกคนที่นี่บีบกดดันบูลรี่เราเหมือนเหตุการณ์ที่เล่าไปด้านบน) เพื่อนๆคิดว่าเราควรจะปรับปรุงตัวยังไงหรืออดทนต่อไปหรือมีวิธีรับมือยังไงลองมาแนะนำกัน ลองมาแชร์ๆกับเรากันหน่อยจิ