ตอบอธิบาย ทางจดหมาย
“ตอนนี้ เรื่องว่า ข้อมูล ในมัชฌิมะฤดูของเรา
พวกเราไม่พัก เราก็จะเห็นได้ว่ามีความหนาแน่นมากขึ้น มากดีบ้างแล้ว
ในเรื่องของข้อมูล ในเรื่องฤดูอันเป็นปรกติ จบลงในทางสม่ำเสมอ
แล้วว่ากันในทางคุณธรรมนั้น อันจะขวนขวาย เช่นครั้งนี้ และต่อไปจากครั้งนี้
ก็คงควรจะได้มีทางเกิดขึ้น, เพราะอย่างน้อยกลุ่มของการปฏิบัติของพวกเราเอง
ก็ต้องให้ได้เข้าใจกันได้เอง อยู่แล้ว ไม่ผิด ”
“เรื่องที่ใครจะทำไปตามอารมณ์นั้น
อย่างนักพูดไม่คิด จะพูดด้วยการไม่กลั่นไม่กรองอะไร
ไม่อดทนเก็บงำและรอเวลา ผิดกันไปกับเรา ซึ่งในพวกเรานี้แล้วไม่มีเลย
คือยังดีอยู่บ้าง เพราะว่าเรารอจะฟังจากสิ่งที่ค้นคว้ามาจริง ๆ
ไม่ใช่พวกไม่รอ แล้วทำเพียงแต่แค่ธรรมเทียม ๆ ต่าง ๆ จะกระทำ
ธรรม!อันประมาท นำมาไว้หลอกลวง มากระทำผิดพลาดต่อพวกเดียวกันเอง,
ซึ่งเปรียบว่า เป็นดั่งพวกเด็กทารก ทำงอแง กระจองงองแงง กับพ่อแม่
อยู่ซ้ำแล้ว ซ้ำเก่า”
“คือดีอยู่แต่ที่พวกเรา ที่ไม่ลืมธาตุ!สะสม
ที่เรียกว่า ปรกติ!ธาตุ อันใหญ่ไกล ไม่น้อยไปกว่า 3 คาบสมุทร
หรือที่เรียกความเก่า ๆ ว่า เป็นสมมุติมันธาตุแห่งมัชฌิมฤดู!,
อันทางที่จะให้ความเพลิดเพลิน พอดี แก่มฤคีตัวสดใส ทุกแห่ง เช่นพวกเรา
ในวัยแข็งแรง อันที่พึงจะเที่ยวเพลินไปได้ตามสบาย โดยจิตใจ
โดยที่ไม่ต้องระวังนายพราน จะมาเห็นอันป่าอันดีอันหมดความพิฆาตแล้วแห่งฤดู
อันดีเช่นอันนี้ ตามอันที่คนรู้น้อย น้อยคนจะรู้
และเข้ายอมรับจะอยู่ในความสังวร เป็นตามปรกติที่ควรระวัง”
“เรื่องที่เคย เรื่องก็เลยพรรษาออกมาแล้ว
ฉะนั้น แต่คนจะให้อธิบายอยู่นั้น ก็มี, เราก็เห็นว่า ไม่เป็นเรื่องคิดเอง
แต่ให้เห็นถนัดได้ เห็นกันเองทุกคนอยู่แล้ว ว่าจะหาเป็นทิชาชาติ
แล้วหากระทำแต่ความสงบออกมา มาสู่โลกของการบรรลุ สืบเอาความไม่เลว
ถือเอาความไม่ชั่ว ฉะนั้น ก็จงให้ถือ เอาปรกติธาตุ! แห่งมันธาตุฤดูเหมือน ๆ
กัน, เพียงแต่ว่าเปรียบไปคนละอย่างแค่เท่านั้น ยังไม่ผิดกัน,
ก็ให้พึงกระทำปลอบใจกันว่า ที่แท้เหมือนกัน ไม่ใช่การต่างลัทธิอะไรเลย,
ไม่ใช่การเกิดหนเดียว การเกิดสองครั้ง แต่ให้เอาคำว่าส่วนหนึ่งนั้น (1/4),
มานั้น จากสี่ส่วน สาธยายให้เขาเห็น เข้าจาก 4 ส่วนเข้าไว้ คือบอกนำ
ส่วนที่ออกมาแล้ว ว่าไม่ใช่โลกที่จะต้องกลับข้องเข้าไปในกาม”
“เอามัชฌิมะเปือกตมนั้น
อันเราทารกปฏิบัติ ไม่ได้ทำสกปรก ได้รับอภิปาลในฟองไข่มาแล้ว พวกทิชาชาติ
ก็ให้เห็นเป็น 9 เดือน เหมือนกัน คือ 21-22 ปีนั้น เหมือนพวกที่เกิดหนเดียว
เหมือนกัน เพราะมูลบทบรรพกิจ อันจะบอกปริวารของนักษัตรนั้น
ต้องบอกไปจากดวงจันทร์ เช่นลัทธิทางพระพุทธศาสนาของเรานี้เหมือนกัน,
เมื่อจะต้องมาอยู่ ก็ให้เห็นทางเข้าใจอย่างเดียวกันเสีย
อย่าเอาดีแต่ทางโวหาร, หากเช่นนั้นจะให้ถือ เอาพวกมฤค เช่นพวกเราในฤดูธาตุ
อันที่ท่องเที่ยวได้ปลอดภัย เป็นทิชาชาติไปเสียก็ได้, แต่พูดอย่างนั้น
มันก็เข้าใจกันยาก, แล้วอาจจะหาว่า เราพูดกันเรื่อง การเกิดหนึ่งหน สองหน,
คือว่าเกิดจากครรภ์ครั้งหนึ่ง ก็คืออยู่ในไข่นั่นแหละ การออกจากครรภ์
ก็คือการออกจากฟองกระเปาะของไข่แล้วนั้นแหละ แต่ครั้ง จะเกิดไป สาม หรือสี่
ครั้ง ห้าครั้ง ก็แล้วย้อนไป หรือคืบหน้ามา มันก็คือมาจากปิตุสรีระนั้น
ก็ต้องไปนับเข้าด้วย 1 ครั้นเกิดมาให้ชื่อ เป็นดั่งนิรมิตก็ไปนับเข้าด้วย 1
แล้วครั้งไปได้ฐานันดร เป็นตำแหน่งชื่ออีก ก็เป็นต้องเกิด 5 ครั้งแล้ว
ครั้งไปเข้าสถาปนามเหศักดิ์สิทธิ์ธำรง คงคู่ครอง ก็เป็นครั้งที่ 6 ไปแล้ว
ตลอดไปถึงครั้งที่ 7 อันที่ตกเป็นสวรรคาลัย ตามดวงจิตหมายปอง
เข้าที่สงบนั่น จบเป็นอันแล้วเสร็จ”
“อย่างนั้น ก็อธิบายเกร่อ ๆ
อยู่, แต่ก็อย่าให้เก้อเลย แต่ให้ยอมรับว่า เป็นเหตุผลชนิดที่ยังดี
ที่แม้ทิชาชาติเกิดสองครั้ง หรือพวกเราเกิดครั้งเดียว ก็ให้พูดได้
เพื่อที่จะให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไปในการร่ำเรียนเขียนอ่านซะทีก่อน
คือสมุติให้รู้วิธีทางการเขียน และให้รู้วิธีอย่างจดหมาย ร่วมกันไปด้วย,
อย่าให้ถือว่า ตามปรกติผิดกัน, ผิว่า ก็อยู่ใน มัชฌิมะธาตุนั่นแหละ
คือในครรภ์ และในเปลือกไข่ ว่าแต่ว่าพวกออกมาแล้ว เข็นกัน
เอาแต่ตรงลัทธิครองบ้านครองเมือง ก็เรียกว่า เป็นน้ำหนึ่ง (จาก 4 สมุทร)
จะเอาครองโลก”
“ถ้าจะเอาครองธรรม น้ำหนึ่งอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า
ที่เหลือ เป็นส่วนของความสิ้นกิเลส, เว้นซะแต่ว่า พวกจะเข็นเอาน้ำหนึ่ง
ใจของตัวคนนั้น เอาตปะ!คุณธรรม ก็จึงเรียกว่า ส่วนที่เหลือ
เกิดมาได้ส่วนของความสิ้นกิเลส, แต่ว่า! หากใคร
ยังคิดใคร่จะครองบ้านครองเรือนอยู่ จริง ๆ คิดจะสืบไปทางนั้นก็ตามใจ
เราก็ใช่ว่าจะต้องเกลียดชังความปรกติธรรมดาอะไรไม่
กับวิธีการอย่างนั้นของพวกเขา ที่ไม่ได้มาคิด มาปฏิบัติ มากระทำตน ตามปรกติ
แบบนี้”
“ข้อมูล ในมัชฌิมะฤดู” (เข้าพรรษา)
“ตอนนี้ เรื่องว่า ข้อมูล ในมัชฌิมะฤดูของเรา
พวกเราไม่พัก เราก็จะเห็นได้ว่ามีความหนาแน่นมากขึ้น มากดีบ้างแล้ว
ในเรื่องของข้อมูล ในเรื่องฤดูอันเป็นปรกติ จบลงในทางสม่ำเสมอ
แล้วว่ากันในทางคุณธรรมนั้น อันจะขวนขวาย เช่นครั้งนี้ และต่อไปจากครั้งนี้
ก็คงควรจะได้มีทางเกิดขึ้น, เพราะอย่างน้อยกลุ่มของการปฏิบัติของพวกเราเอง
ก็ต้องให้ได้เข้าใจกันได้เอง อยู่แล้ว ไม่ผิด ”
“เรื่องที่ใครจะทำไปตามอารมณ์นั้น
อย่างนักพูดไม่คิด จะพูดด้วยการไม่กลั่นไม่กรองอะไร
ไม่อดทนเก็บงำและรอเวลา ผิดกันไปกับเรา ซึ่งในพวกเรานี้แล้วไม่มีเลย
คือยังดีอยู่บ้าง เพราะว่าเรารอจะฟังจากสิ่งที่ค้นคว้ามาจริง ๆ
ไม่ใช่พวกไม่รอ แล้วทำเพียงแต่แค่ธรรมเทียม ๆ ต่าง ๆ จะกระทำ
ธรรม!อันประมาท นำมาไว้หลอกลวง มากระทำผิดพลาดต่อพวกเดียวกันเอง,
ซึ่งเปรียบว่า เป็นดั่งพวกเด็กทารก ทำงอแง กระจองงองแงง กับพ่อแม่
อยู่ซ้ำแล้ว ซ้ำเก่า”
“คือดีอยู่แต่ที่พวกเรา ที่ไม่ลืมธาตุ!สะสม
ที่เรียกว่า ปรกติ!ธาตุ อันใหญ่ไกล ไม่น้อยไปกว่า 3 คาบสมุทร
หรือที่เรียกความเก่า ๆ ว่า เป็นสมมุติมันธาตุแห่งมัชฌิมฤดู!,
อันทางที่จะให้ความเพลิดเพลิน พอดี แก่มฤคีตัวสดใส ทุกแห่ง เช่นพวกเรา
ในวัยแข็งแรง อันที่พึงจะเที่ยวเพลินไปได้ตามสบาย โดยจิตใจ
โดยที่ไม่ต้องระวังนายพราน จะมาเห็นอันป่าอันดีอันหมดความพิฆาตแล้วแห่งฤดู
อันดีเช่นอันนี้ ตามอันที่คนรู้น้อย น้อยคนจะรู้
และเข้ายอมรับจะอยู่ในความสังวร เป็นตามปรกติที่ควรระวัง”
“เรื่องที่เคย เรื่องก็เลยพรรษาออกมาแล้ว
ฉะนั้น แต่คนจะให้อธิบายอยู่นั้น ก็มี, เราก็เห็นว่า ไม่เป็นเรื่องคิดเอง
แต่ให้เห็นถนัดได้ เห็นกันเองทุกคนอยู่แล้ว ว่าจะหาเป็นทิชาชาติ
แล้วหากระทำแต่ความสงบออกมา มาสู่โลกของการบรรลุ สืบเอาความไม่เลว
ถือเอาความไม่ชั่ว ฉะนั้น ก็จงให้ถือ เอาปรกติธาตุ! แห่งมันธาตุฤดูเหมือน ๆ
กัน, เพียงแต่ว่าเปรียบไปคนละอย่างแค่เท่านั้น ยังไม่ผิดกัน,
ก็ให้พึงกระทำปลอบใจกันว่า ที่แท้เหมือนกัน ไม่ใช่การต่างลัทธิอะไรเลย,
ไม่ใช่การเกิดหนเดียว การเกิดสองครั้ง แต่ให้เอาคำว่าส่วนหนึ่งนั้น (1/4),
มานั้น จากสี่ส่วน สาธยายให้เขาเห็น เข้าจาก 4 ส่วนเข้าไว้ คือบอกนำ
ส่วนที่ออกมาแล้ว ว่าไม่ใช่โลกที่จะต้องกลับข้องเข้าไปในกาม”
“เอามัชฌิมะเปือกตมนั้น
อันเราทารกปฏิบัติ ไม่ได้ทำสกปรก ได้รับอภิปาลในฟองไข่มาแล้ว พวกทิชาชาติ
ก็ให้เห็นเป็น 9 เดือน เหมือนกัน คือ 21-22 ปีนั้น เหมือนพวกที่เกิดหนเดียว
เหมือนกัน เพราะมูลบทบรรพกิจ อันจะบอกปริวารของนักษัตรนั้น
ต้องบอกไปจากดวงจันทร์ เช่นลัทธิทางพระพุทธศาสนาของเรานี้เหมือนกัน,
เมื่อจะต้องมาอยู่ ก็ให้เห็นทางเข้าใจอย่างเดียวกันเสีย
อย่าเอาดีแต่ทางโวหาร, หากเช่นนั้นจะให้ถือ เอาพวกมฤค เช่นพวกเราในฤดูธาตุ
อันที่ท่องเที่ยวได้ปลอดภัย เป็นทิชาชาติไปเสียก็ได้, แต่พูดอย่างนั้น
มันก็เข้าใจกันยาก, แล้วอาจจะหาว่า เราพูดกันเรื่อง การเกิดหนึ่งหน สองหน,
คือว่าเกิดจากครรภ์ครั้งหนึ่ง ก็คืออยู่ในไข่นั่นแหละ การออกจากครรภ์
ก็คือการออกจากฟองกระเปาะของไข่แล้วนั้นแหละ แต่ครั้ง จะเกิดไป สาม หรือสี่
ครั้ง ห้าครั้ง ก็แล้วย้อนไป หรือคืบหน้ามา มันก็คือมาจากปิตุสรีระนั้น
ก็ต้องไปนับเข้าด้วย 1 ครั้นเกิดมาให้ชื่อ เป็นดั่งนิรมิตก็ไปนับเข้าด้วย 1
แล้วครั้งไปได้ฐานันดร เป็นตำแหน่งชื่ออีก ก็เป็นต้องเกิด 5 ครั้งแล้ว
ครั้งไปเข้าสถาปนามเหศักดิ์สิทธิ์ธำรง คงคู่ครอง ก็เป็นครั้งที่ 6 ไปแล้ว
ตลอดไปถึงครั้งที่ 7 อันที่ตกเป็นสวรรคาลัย ตามดวงจิตหมายปอง
เข้าที่สงบนั่น จบเป็นอันแล้วเสร็จ”
“อย่างนั้น ก็อธิบายเกร่อ ๆ
อยู่, แต่ก็อย่าให้เก้อเลย แต่ให้ยอมรับว่า เป็นเหตุผลชนิดที่ยังดี
ที่แม้ทิชาชาติเกิดสองครั้ง หรือพวกเราเกิดครั้งเดียว ก็ให้พูดได้
เพื่อที่จะให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไปในการร่ำเรียนเขียนอ่านซะทีก่อน
คือสมุติให้รู้วิธีทางการเขียน และให้รู้วิธีอย่างจดหมาย ร่วมกันไปด้วย,
อย่าให้ถือว่า ตามปรกติผิดกัน, ผิว่า ก็อยู่ใน มัชฌิมะธาตุนั่นแหละ
คือในครรภ์ และในเปลือกไข่ ว่าแต่ว่าพวกออกมาแล้ว เข็นกัน
เอาแต่ตรงลัทธิครองบ้านครองเมือง ก็เรียกว่า เป็นน้ำหนึ่ง (จาก 4 สมุทร)
จะเอาครองโลก”
“ถ้าจะเอาครองธรรม น้ำหนึ่งอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า
ที่เหลือ เป็นส่วนของความสิ้นกิเลส, เว้นซะแต่ว่า พวกจะเข็นเอาน้ำหนึ่ง
ใจของตัวคนนั้น เอาตปะ!คุณธรรม ก็จึงเรียกว่า ส่วนที่เหลือ
เกิดมาได้ส่วนของความสิ้นกิเลส, แต่ว่า! หากใคร
ยังคิดใคร่จะครองบ้านครองเรือนอยู่ จริง ๆ คิดจะสืบไปทางนั้นก็ตามใจ
เราก็ใช่ว่าจะต้องเกลียดชังความปรกติธรรมดาอะไรไม่
กับวิธีการอย่างนั้นของพวกเขา ที่ไม่ได้มาคิด มาปฏิบัติ มากระทำตน ตามปรกติ
แบบนี้”