การทำให้ภาพศัตรูหายไปคือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของ Stalin




คู่แข่งทางการเมืองของ Joseph Stalin
ไม่ใช่เพียงแค่ตายเท่านั้น
แต่ร่องรอยตัวตนในอดีตของผู้ตาย
จะถูกลบล้างออกให้หมดให้หายไปจากโลก
รวมทั้งใบหน้าบนรูปถ่ายของผู้ตายเท่าที่มี


เมื่อ George Orwell ตีพิมพ์ผลงานชิ้นเอก
เรื่อง ของ Dystopian 1984
(สังคมที่ไม่พึงประสงค์หรือน่าหวาดกลัว
ปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ)
ท่านได้รับแรงบันดาลใจจาก Joseph Stalin ในสหภาพโซเวียต
เรื่องราวหนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องโลกอนาคตในปี 1984
และ Stalin ของรัสเซีย คือ หนึ่งในเรื่องราวที่เป็นตัวชูโรง
ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องแผนพัฒนาประเทศ 5 ปีของ Stalin
ที่มีการกวาดล้างและขจัดฝ่ายตรงข้ามจำนวนมาก
ใน 1984 จึงจำลองแบบและเรื่องราวว่า
บรรดาคนที่ทำงานใน Ministry of Truth
ผู้ทำงานในเรื่องการทบทวนประวัติชาวบ้าน
และลบร่องรอยทุกคนที่ไม่เป็นที่โปรดของนายหัว/พี่ใหญ่ Big Brother


เหตุการณ์เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตยุคของสตาลิน
วันใดที่นักการเมืองคนใดที่ไม่เป็นที่โปรดปรานต่อไป
ก็อาจจะถูกนำตัวไปยิงเป้าด้วยข้อหาศัตรูของประชาชน
แล้วลบรายชื่อ/ใบหน้าบุคคลดังกล่าว
ออกจากประวัติศาสตร์โซเวียตรัสเซีย  เช่น






ตั้งแต่ปี 1906 Isaac Zelensky คือผู้ปฏิบัติงานที่กระตือรือล้นของ Bolshevik Party
แต่ความจงรักภักดีที่มีต่อ Stalin ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
Isaac Zelensky อดีตแกนนำพรรคในเขต Uzbekistan
ถูกยิงเป้าในปี 1938 และภาพทั้งหมดก็ถูกลบออก
แม้แต่ Alexander Rodchenko ศิลปินและช่างภาพผู้มีชื่อเสียงของโซเวียต
ก็ยังถูกคำสั่งให้ลบ  Issac Zelensky ออกจากภาพถ่าย
ด้วยการป้ายหมึกดำบนใบหน้าของ Issac Zelensky







ส่วนรูปภาพที่เป็นทางการจะถูกปรับแต่งด้วยความระมัดระวัง
ภาพประวัติศาสตร์นี้แสดงให้เห็นนักสังคมนิยมช่วงแรกในปี 1897
ก่อนที่บางคนจะเถลิงสู่อำนาจในโซเวียตรัสเซีย
Vladimir Lenin (อยู่ตรงกลาง) ตอนวัยหนุ่ม
แน่นอนท่านยังคงรักษาอำนาจและตำแหน่งไว้ได้
แต่ Alexander Malchenko (คนยืนอยู่ด้านซ้าย)
กลายเป็นคนโชคร้ายในบั้นปลายชีวิต
ในปี 1930 Alexander Malchenko
ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ/ทรยศต่อประชาชน
หลังจากถูกจับตัวไปประหารชีวิตแล้ว
ภาพเดิมก็ถูกทำให้พร่ามัวเลือนหายไป







การแก้ไขภาพถ่ายในประวัติศาสตร์โซเวียต
บางครั้งไม่ใช่เป็นการลบภาพออกไปแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่นภาพการชุมนุมทางการเมืองในปี 1917
ยังถือว่า  ยังปลุกเร้าการฏิวัติที่ไม่เพียงพอ
เพราะด้านข้างมีป้ายเครื่องหมายการค้า
ที่ด้านซ้ายระบุว่า  นาฬิกา ทอง และเงิน
และข้อความบนธงไม่สามารถอ่านได้ชัด

จึงมีการแก้ไข/ทับข้อความเดิมเพียงเล็กน้อย
นั่นคือ มายากล/การโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์
ที่แก้ไขภาพในภายหลังโดยมีข้อความใหม่อ่านว่า
" ใช้อะไรก็ได้ในการปฏิวัติ "
และบนธงเขียนว่า - " ล้มเจ้า ! "







นักการเมืองบางคนถึงจุดจบจะต้องหายไปจากทุกหนทุกแห่ง
Leon Trotsky อดีตมือขวาของ Lenin ผู้ชี้นำทฤษฏีพรรคคอมมิวนิสต์
ก่อนที่จะถูก Stalin แย่งชิงการนำและจัดการ Trotsky ให้พ้นออกไป
Leon Trotsky ก็หนีไม่พ้นจากความทุกข์ทรมานในชะตากรรมแบบนี้
แม้ว่าจะมีภาพถ่ายของ Leon Trotsky ไม่มากนัก
ในภาพปี 1920  Leon Trotsky สวมหมวกยืนอยู่ใกล้ Lenin
Lenin ที่กำลังปลุกระดมมวลชนให้สู้เพื่อจะชนะ
ภาพในหลาย ๆ ปีต่อมาจะไม่เห็น Leon Trotsky อีกแล้ว

ในปี 1929 Leon Trotsky ถูกเนรเทศออกจากโซเวียตรัสเซีย
หนีไปพำนักลี้ภัยในเม็กซิโก  แต่ก็ยังชี้นำทฤษฏีทางการเมือง
และเขียนหนังสือโจมตีวิพากษ์ทฤษฏีชี้นำของ Stalin
ว่าขัดแย้งกับหลักการแนวคิดคอมมิวนิสต์

ในปี 1940  Leon Trotsky ถูกสายลับรัสเซียที่ตีสนิทด้วย
ใช้ขวานเจาะน้ำแข็งจามศีรษะในบ้านพักจนบาดเจ็บสาหัส
แล้วทนทุกข์ทรมานหลายชั่วโมงก่อนตาย







Lenin ผู้ซึ่งกลายเป็นเทพเจ้า
ของบรรดานักสังคมนิยมหลังมตะในปี 1924
ยังอยู่ยงคงกระพันในภาพถ่ายทั้งหมด
แต่บริวารและผู้คนที่ห้อมล้อมรอบ Lenin
มักจะพบจุดจบที่ไม่ดี  ดังบุคคลในภาพกลุ่มนี้ในปี 1920
(Grigory Zinoviev, Nikolai Bukharin, Karl Radek)
กลายเป็นศัตรูของประชาชน/ทรยศต่อผู้นำ
ทุกคนต่างถูกยิงเป้าในช่วงทศวรรษที่ 1930
ทางการจึงตัดภาพคนพวกนี้ออกจากภาพถ่าย
ให้เหลือแต่ Lenin และนักเขียนชนชั้นกรรมาชีพ
Maxim Gorky (ด้านหลังเลนิน คนไว้หนวด)







นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งของการตกแต่งภาพ
ที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่าเดิม
ในปี 1920 Lenin กำลังปลุกระดมมวลชน
แต่ 4 ปีต่อมาก่อนที่จะเผยแพร่ภาพดังกล่าว
กองบรรณาธิการข่าวได้ตัดสินใจที่จะแก้ไข
ด้วยการทำให้มีมวลชนจำนวนมากมาฟังการปลุกระดม
จึงมีการใช้มวลชนจำนวนมากจากรูปอื่นมาผสม







มีข้อผิดพลาดมากมายกับภาพถ่ายของ Joseph Stalin
ภาพต้นฉบับในปี 1924 ยังไม่ได้ปกปิดร่องรอยใบหน้าผู้นำ
ซึ่งมีรอยแผลเป็นจากบาดแผลไข้ทรพิษในวัยเด็ก

ในปี 1939  เรื่องนี้จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดเลย
ตอนที่ Joseph Stalin ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ
ภาพถ่ายที่ตีพิมพ์เผยแพร่จะมีใบหน้าเกลี้ยงเกลา
ผิวเรียบเนียน ทรงผมเรียบร้อย และหนวดเนียนนุ่ม








ในปี 1926  ภาพชุดแรกพวกสหายคอมมิวนิสต์ยืนกันแน่นขนัด
Stalin ยืนร่วมกับพวกแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์
Nikolai Antipov, Sergey Kirov และ Nikolai Shvernik (จากซ้ายไปขวา)
และแล้วแต่ละคนก็หายไปจากภาพ

ในปี 1941 Nikolai Antipov ถูกจับกุมแล้วถูกยิงเป้า
Sergey Kirov และ Nikolai Shvernik ยังเป็นคนโปรด
แต่ไม่นาน Stalin  คงยืนเด่นโดยท้าทาย
หลังจากยิงเป้าทั้ง  2  คนทิ้งในภายหลัง







เรื่องราวที่น่าหวาดกลัวเกี่ยวกับ Stalin
มักจะอ้างว่าคนที่ตายอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่า 786,000 คน
ตายเพราะถูกเนรเทศและทำงานหนักในค่ายกักกันอีกหลาย 10 ล้านคน
ไม่นับคนที่ตายเพราะทำสงครามกับนาซีเยอรมันนี

หนึ่งในเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือ
เครื่องจักรสังหารศัตรูรัฐ  ด้วยการทรมานศัตรู/สังหารทิ้ง
สุดท้ายคนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรสังหาร
ก็ต่างประสบชะตากรรมไม่ต่างจากเหยื่อของตนเอง
Nikolai Yezhov (ด้านขวา) ผู้บัญชาการหน่วยงานด้านความมั่นคงภายใน
หัวหน้าเครื่องจักรสังหารและปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ในช่วงปี 1936-1938
เมื่อการกวาดล้างส่อแววว่าจะไปสุดกู่แล้ว
ในปี 1939  Nikolai Yezhov  จึงถูกจับกุม
ด้วยข้อหาทรยศต่อ Stalin ถูกทรมานก่อนถูกยิงเป้า
ภาพของ Nikolai Yezhov จึงหายไปจากรูปถ่ายทุกรูปแบบ


Nikolai Yezhov เจริญรอยตามเส้นทางชั่วของ  Genrikh Yagoda
ที่เคยเป็นหัวหน้าเครื่องจักรสังหารศัตรูรัฐในอดีต
ต่อมา Lavrenty Beria เข้าทำหน้าที่นี้แทน Nikolai Yezhov
ก็พบชะตากรรมไม่แตกต่างกันหลังจาก Stalin ตาย


เรียบเรียง/ที่มา


http://bit.ly/2NIKc1p  (สำนักข่าวรัสเซีย)





เรื่องเล่าไร้สาระ


มีผู้วิเคราะห์กันว่า  ทำไมตอนนี้มีการวิพากษ์ Stalin กันมาก
ทั้งนี้เพราะ Stalin เป็นคนมาจากแคว้น Georgia
เดิมเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหภาพโซเวียตรัสเซีย
ที่มีภาษา(พูด)และวัฒนธรรมของชาติตนเอง

Georgia ได้แยกตัวเป็นเอกราชหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย
กับเคยลองดีก่อการร้ายคุกคามพื้นที่ที่มีคนรัสเซียอยู่กันหนาแน่น
Georgia เลยโดนรัสเซียจัดการสั่งสอนด้วยการถล่มอย่างยับเยิน
และบุกยึดดินแดนพื้นที่มีคนรัสเซียอาศัยอยู่กันมากผนวกเข้าเป็นของรัสเซีย
(เหตุการณ์แบบนี้ไม่ต่างกับการผนวกดินแดนบางส่วนของยูเครน)
และพร้อมจะบุกเข้ายึดเมืองหลวงชาตินี้ด้วยการใช้เวลารบเพียง 7 วัน
ทำให้ต้องยอมจำนนและขอร้องให้กลุ่ม  Nato มาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย


ประวัติความเลวร้ายของ Stalin มีมากเหลือล้นเกินบรรยาย
ทำให้ตอนนี้ภายในรัสเซียมีการวิพากษ์/ชำระประวัติศาสตร์
แม้กระทั่งเคยมีการเดินขบวนขับไล่ให้นำศพ Stalin
ไป ๆ ให้พ้นจากประเทศรัสเซียจะไปฝังตรงไหนก็ไป
และเรียกร้องให้ลบล้างภาพถ่ายและประวัติต่าง ๆ
ของอดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสค์รัสเซีย
ให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย





อนึ่ง  เหตุการณ์ล่าสุดในวันที่ 12 สิงหาคม 2018
ได้มีผู้ลักลอบบุกเข้าไปใน
สุสานของ Peter Ermakov
หนึ่งในมือสังหารครอบครัวราชวงศ์พระเจ้าซาร์
และเป็นผู้ที่แทงพระราชธิดาทั้ง 4 พระองค์
อย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน

ป้ายปักสุสานของมันในเมืองเอกาเตรินเบิร์ก
ถูกละเลงไปด้วยสีแดง เพื่อเป็นการแก้แค้นต่อสิ่งที่มันเคยทำไว้
ทางการรัสเซียก็ไม่สนใจจะสืบเสาะจับตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด

มันเคยพบกับ Georgy Konstantinovich Zhukov
แม่ทัพใหญ่และวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต
ท่านเคยเป็นนายทหารกองทัพพระเจ้าซาร์มาก่อน
และเคยได้รับเหรียญกล้าหาญในการรบด้วย
ท่านมองหน้าและจ้องตามัน
พร้อมปฏิเสธที่จะจับมือกับมัน   โดยพูดขึ้นมาว่า

" กูไม่จับมือกับพวกฆาตกร "


ที่มา Royal Russia



ในปี 1998  มีการนำเถ้าอังคารทุกพระองค์มาตรวจ DNA
หลังจากนั้นมีรัฐพิธีโดยประธาธิบดีรัสเซีย
เพื่อฝังพระศพพระเจ้าซาร์/ราชสกุลทุกพระองค์ในวิหารหลวง
อีก 4 ปีต่อมาสังฆราชนิกายออร์ธอดอกซ์
ได้ประกาศว่าทุกพระองค์เป็นนักบุญผู้พิทักษ์ศาสนาจักร
เพราะราชวงศ์นี้เป็นอัครศาสนูปถัมภกนิกายนี้
ก่อนจะถูกพวกคอมมิวนิสต์สังหารทิ้ง/เผาทำลายพระอัฐิ




ศัตรูโซเวียตรัสเซียที่ถูกไล่ล่าและฆ่าทิ้งในต่างชาติ 3 ราย


หลังจากสูญสิ้นอำนาจเพราะต่อกรกับ Joseph Stalin
Leo Trotsky พบว่าตนเองอยู่ภายใต้สถานะการณ์ที่ล่อแหลมมาก




คนไร้รูปร้ายนาม



Jang Song-thaek หายไปจากรูปถ่ายด้านขวามือของผู้นำเกาหลีเหนือ




ภาพตัดต่อในอดีตก่อนมี Photoshop



Man on Rooftop with Eleven Men in Formation on His Shoulders
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่