You been up too much, mate?!
จากนี้จะทำกระทู้ซีรีส์เรื่อง Tense มาให้อ่านกันละ แม้ผมจะไม่ค่อยชอบพูดถึง
เพราะเขียนแล้วคนอ่านบ่นว่าง่วง! 55555
แต่คิดว่ามันคงเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุดในภาษาอังกฤษ
เดี๋ยวจะทำออกมาให้ครบนะ
วันนี้เริ่มด้วย Present perfect tense ละกัน นักเรียนชอบบ่นว่าเป็นเรื่องยากสุด
กระทู้นี้ผมเลยจัดให้แบบเจาะลึกไปเลย
บ้างจุดอาจเข้าใจง่าย บางจุดก็ต้องเข้าใจยากอยู่แล้วบอกไว้ก่อน
สิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องทำคือ หากอ่านแล้วงงให้รวบรวมสติแล้วอ่านใหม่!
ของแบบนี้บางทีต้องมีฟีลลิ่งด้วยถึงจะอ่านเข้าใจ (พูดจริง ๆ!)
'Present Perfect Explained'
_______________
เวลาเรียนเทนส์ให้เราแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ
1)โครงสร้าง (structure):
จำให้ได้ว่ากริยาต้องเป็นช่องไหน ต้องมี Verb to have หรือ Verb to be หรือเปล่า
สำคัญที่สุดคือโครงสร้างประโยคเวลาตั้งประโยคคำถาม
2)การใช้งาน (use):
แน่นอนว่าเราต้องรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเทนส์นี้ควรใช้กับประโยคแบบไหน การพูดถึงเหตุการณ์แบบนี้เราควรใช้เทนส์อะไร
ตรงนี้ต้องใช้ความเคยชินเข้ามาช่วย (ความเคยชินก็เกิดจากการดูหนังฟังเพลงฝรั่ง อ่านหนังสือทำแบบฝึกหัด และกล้าคุยกับฝรั่งเยอะ ๆ)
ข้อความไหนที่อยู่ในเครื่องหมาย " " แปลว่ามันสำคัญมาก ๆ จำไว้ให้ขึ้นใจ ส่วนประโยคที่ขึ้นต้นด้วย * แปลว่าเป็นความรู้เพิ่มเติมที่ควรรู้ไว้
Let's do this, yeah?!!
_______________
'The Present Perfect Tense'
ทุกครั้งที่เจอเทนส์ที่เป็น Perfect ให้จำไว้เลยว่าต้องมี Have (has, had) เสมอ
และห้ามลืมว่ากริยาที่ตามหลัง have ต้องเป็นเวิร์บช่องสาม (ภาษาอังกฤษเรียก past participle) เท่านั้น
จำไว้ให้ขึ้นใจ (กระทู้ก่อนหน้าบอกไม่เน้นท่องจำ แต่กระทู้นี่คงต้องทำบ้าง!)
"Perfect tenses ต้องมี have (has, had)เสมอ"
"Verb ที่ตามหลัง have ต้องเป็นช่องสาม (have gone, had eaten, has seen etc.)"
_______________
โครงสร้างของ Present perfect คือ
'ประธาน + have/has + past participle + กรรม'
มาดูตัวอย่างสักสามประโยค
I have been to Paris three times. (ผมเคยไปปารีสมาแล้วสามรอบ)
Liam has done a lot of great things in his life. (เลียมทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายในชีวิตเขา)
Nothing you can say that she hasn't heard. (ไม่มีซึ่งไหนที่คุณจะพูดที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน)
I have been, Liam has done และ She hasn't heard คือ Present perfect ของเรานี่เอง จำไว้เลย "มี have/has และตามด้วยเวิร์บสาม"
*เผื่อใครลืมนะ
I/you/we/they ใช้ have
He/she/it ใช้ has
*กริยาช่องสาม หรือ Past participle มีสองแบบคือ
แบบปกติ (Regular verb) คือเติมแค่ -ed
เช่น call - called / want - wanted / ask - asked etc.
แบบไม่ปกติ (Irregular verb) คือต้องเปลี่ยนรูปไปเลย
เช่น eat - eaten / see - seen / steal - stolen etc.
จบเรื่องโครงสร้างนะ ตัวละครหลักของเราคือ Have และ Past participle!
_______________
มาถึง use หรือการใช้งานของมันบ้าง 'Present perfect ใช้ตอนไหนบ้าง?' คือคำถามที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้หลังอ่านกระทู้นี้จบ!
'เยอะ! งง! ซับซ้อน!' คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานของเทนส์นี้ แต่แอดจะพยายามชำแหละมันให้ดูละกัน
ก่อนอื่นเราต้องมาดูคำนิยามภาษาอังกฤษก่อนเลย เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
"The present perfect tense is used to express a past event that has present consequences"
"Present perfect ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่มีผลมาถึงปัจจุบัน"
*Express (v.) แปลว่า แสดงออก, กล่าวออกมา / Consequence (n.) แปลว่า ผลที่ตามมา, ผลลัพธ์
คีย์เวิร์ดสำคัญของเราเลยคือ 'Past event that has present consequences'
เราต้องเข้าใจให้ได้ว่าเหตุการณ์ไหนหรือประโยคไหนที่มันเป็น 'เหตุการณ์ในอดีตที่มีผลมาถึงปัจจุบัน'
มาดูตัวอย่างพร้อมคำอธิบายสักสามประโยค
I have drunk three cups of coffee today.
(ฉันดื่มกาแฟมาสามแก้วแล้ววันนี้)
มันเป็นเหตุการณ์ในอดีตยังไง? ก็ตอนพูดมันจบไปแล้ว ดื่มมาแล้ว
มันส่งผลมาถึงปัจจุบันยังไง? ก็กาแฟที่ดื่มเข้าไปมันทำให้ไม่ง่วงไง หรือฉันอาจจะดื่มต่ออีกก็ได้ในวันนี้ แสดงว่าการดื่มกาแฟในอดีตของฉันมันยังไม่จบแล้วจบเลย เลยใช้ Present perfect tense ไว้ก่อน
Tom has been to London four times already.
(ทอมเคยไปเที่ยวลอนดอนมาแล้วถึงสี่ครั้ง)
เป็นเหตุการณ์ในอดีตยังไง? สี่ครั้งที่พูดถึงมันผ่านมาแล้วทั้งหมด
ส่งผลมาถึงปัจจุบันยังไง? การที่เขาไปเที่ยวที่ผ่านมามันทำให้ปัจจุบันนี้เขารู้จักลอนดอนเป็นอย่างดี หรือเขาอาจจะแนะนำเราก็ได้ หรือเขาอาจจะไปอีกก็ได้ในอนาคต มันยังไม่ใช่เหตุการณ์ที่จบแล้วจบเลย มันอาจมีต่ออีก แบบนี้เลยต้องใช้ Present perfect tense ไว้ก่อน
She has studied Japanese, French, and Arabic.
(เธอเคยเรียนภาษาญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอาหรับ)
เป็นเหตุการณ์ในอดีตยังไง? อาจเคยเรียนมาตอนม.ปลาย หรือมหา'ลัย ตอนนี้วัยทำงานแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องในอดีต
ส่งผลมาถึงปัจจุบันยังไง? การที่เธอเคยเรียนภาษาพวกนี้เนี่ย มันทำให้เธอคุ้นเคยหรืออาจถึงขั้นพูดได้เลย ดังนั้นตอนนี้ถ้าไปถามเธอเรื่องภาษาพวกนี้ที่เธอเคยเรียนมา เธอก็อาจจะยังตอบได้และสอนเราได้ด้วย การที่เธอเคยเรียนมันในอดีตส่งผลมาถึงตอนนี้ เราเลยใช้ Present perfect tense เพื่อแสดงความเชื่อมโยงและบอกว่าเธอยังเข้าใจภาษาพวกนี้อยู่
ประโยคสั้น ๆ แต่คำอธิบายยาววว เพราะอยากให้เห็นภาพนี่แหละ
มันสำคัญจริง ๆ นะเรื่องการเชื่อมต่อเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเนี่ย หวังว่าจะไม่สับสน
แถมประโยคแบบง่าย ๆ ให้บ้าง
I have lost my key. (ทำหายในอดีต แต่ปัจจุบันยังหาไม่เจอ)
They have already had breakfast. (กินมาตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ตอนนี้ยังอิ่มอยู่)
Somebody has stolen my umbrella. (มีคนขโมยไปแล้ว ตอนนี้จะใช้ร่มก็ไม่มีใช้)
_______________
เอาละ ๆ ย่อหน้านี้มาดูการใช้งานของ Present perfect แบบเป็นข้อ ๆ ไปดีกว่า อาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
เราจะใช้ Present Perfect ก็ต่อเมื่อ...
1) When the time period referred to has not finished
"เมื่อช่วงเวลาที่เรากำลังพูดถึงมันยังไม่จบ"
ให้ย้อนกลับไปที่ตัวอย่าง 'I have drunk three cups of coffee today' ข้างบน เวลาที่เราพูดถึงคือ Today
แม้การดื่มกาแฟของเรามันจบไปแล้ว แต่ Today มันยังไม่จบ! ตอนนี้ก็ยังเป็น Today อยู่
ประโยคแบบนี้เราจะใช้ Present perfect tense และมักจะมีคำว่า today, this day, this week etc.
ตัวอย่างเพิ่มเติม
I have studied really hard this week.
(อาทิตย์นี้ฉันเรียนหนักมากเลย) - พูดถึง This week ที่ยังไม่จบ
Many of the employees have resigned this year.
(ปีนี้มีคนงานลาออกไปหลายคนแล้ว) - พูดถึง This year ที่ยังไม่จบ
I haven't seen Jess all day.
(ทั้งวันมานี้ยังไม่เห็นเจสเลย) - พูดถึง Today ที่ยังไม่จบ (แต่ใช้คำว่า all day)
_______________
2) Actions repeated in an unspecific period between the past and now
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเวลาระหว่างอดีตจนถึงปัจจุบัน"
อันนี้ย้อนกลับไปที่ตัวอย่าง 'Tom has been to London four times' จะเห็นว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง และเกิดขึ้นในอดีตด้วย
แต่เราไม่รู้เวลาที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแบบแน่นอนชัดเจน (the time is unspecific) และเหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต (ทอมอาจไปเที่ยวลอนดอนอีกในอนาคต)
ดังนั้นเราจึงเลือกใช้ Present perfect และมักจะมาคู่กับจำนวนครั้งเช่น twice, three times, many times etc.
ตัวอย่างเพิ่มเติม
I have called her four times and still no answer.
(ฉันโทรหาเธอสี่รอบละเนี่ยยังไม่รับเลย) - โทรไปหา four times แล้วที่ผ่านมาและอาจโทรอีก
Jane has seen the Harry Potter movies loads of times.
(เจนดูหนังแฮร์รี่พอตเตอร์จบไปหลายรอบแล้ว) - ดูไปหลายครั้งแล้วในอดีต ไม่ระบุเวลาด้วยว่าดูวันไหนเดือนไหน แค่บอกว่าเคยดูไปหลายครั้งแล้ว และในอนาคตก็อาจจะดูอีกรอบ
How many times have you read this book?
(คุณเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มากี่รอบ) - ในการถามว่าเคยทำอะไรมาแล้วกี่รอบ ๆ เรามักจะใช้ Present perfect เหมือนกัน (How many times have you ....? อะไรก็ว่าไป)
_______________
3) Actions completed in the very recent past
"เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ หรือไม่นานมานี้"
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันละ ในการใช้งานนี้เราจะมี just เพิ่มเข้ามาด้วย
เวลาเราจะบอกว่าเรา 'เพิ่งจะ' ทำบางอย่างมา หรือเพิ่งทำเสร็จไปเมื่อกี้เลย
เรามักจะใช้ Present perfect คู่กับ just
ตัวอย่างเพิ่มเติม
She has just got out of bed!
(เธอเพิ่งลุกจากเตียงเองเนี่ย!) - เพิ่งตื่นหมาด ๆ เลย เอาคำว่า just มาแทรกกลางระหว่าง verb to have กับ past participle
I've just finished work.
(ฉันเพิ่งทำงานเสร็จเมื่อกี้)
The government has just announced its new policy.
(รัฐบาลเพิ่งประกาศนโยบายใหม่ไปเมื่อครู่)
คงไม่ต้องอธิบายมากกับการใช้งานนี้ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ใช้โครงสร้างนี้เลย!
_______________
4) When the precise of the action is not important or not known
"เมื่อเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้นไม่สำคัญหรือไม่เป็นที่รับรู้"
เมื่อเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดตอนไหน เราสนใจแค่ผลลัพธ์ของการกระทำนี้ ว่ามันส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย
อันนี้จะเหมือนกับตัวอย่างประโยค 'She has studied Japanese, French, and Arabic.' ในย่อหน้าที่แล้ว
เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเกิดแล้วส่งผลต่อเราในปัจจุบัน
เหตุการณ์แบบนี้ก็ใช้ Present Perfect เหมือนกัน
และที่สำคัญคือ"ถ้าเราระบุเวลาที่เฉพาะเจาะจงเราก็ห้ามใช้ Present perfect นะ"
เราจะใช้ Past simple แทนถ้าเป็นแบบนั้น
Present Perfect ต้องไม่ระบุเวลา (no specific time)
ตัวอย่างเพิ่มเติม
These kids have read War and Peace.
(เด็กพวกนี้เคยอาจหนังสือ War and Peace แล้ว) - ไม่สำคัญว่าอ่านมาเมื่อไหร่ แต่เราอยากโฟกัสว่าที่ความสำคัญของเหตุการณ์นี้ ว่าอ่านแล้วพวกเขาต้องได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแล้วแน่นอน เราจึงใช้ Present perfect เพื่อเน้นความสำคัญของผลลัพธ์ของการอ่าน
Somebody has taken my shoes.
(มีคนเอารองเท้าผมไป) - ไม่สำคัญว่าเอาไปตอนไหน สำคัญที่ว่าตอนนี้! ผมไม่มีเกิบใส่แล้ว! โอ้โนววว นั่นแหละ อีกครั้งที่เราใช้ Present perfect เพื่อเน้นผลลัพธ์ของเหตุการณ์บางอย่างในอดีต
I have seen that movie.
(ฉันดูหนังเรื่องนั้นมาแล้ว) - ไม่สำคัญว่าดูไปตอนไหน สำคัญว่าดูไปแล้ว เน้นที่ผลลัพธ์ของมันก็คือไม่อยากดูอีกนั่นแหละ
_______________
จบไปกับ Present Perfect ของเรา มันก็จะยาว ๆ หน่อย ที่อยากเน้นย้ำไว้คือ อย่าไปโฟกัสที่ข้อยกเว้นของมัน!
แน่นอนว่าแกรมมาร์แทบจะทุกเรื่องมันมีข้อยกเว้น และคนบางประเภทก็ชอบเหลือเกิน ชอบสร้างความขัดแย้งให้กับความรู้ในหัวของเรา!
กระทู้นี้อาจจะโดนก็ได้ใครจะรู้ ฮ่า ๆ
ทั้งหมดที่ผมเขียนมาคือเรื่องที่สำคัญที่ควรรู้ไว้ อาจจะมีรายละเอียดอีกนิดหน่อยที่ไม่ได้ยกมา
เพราะมันจะทำให้สับสนและเยอะเกินไปเปล่า ๆ (นี่ขนาดเอาแค่เรื่องสำคัญยังโคตรเยอะ ฮ่า ๆ)
ผมมั่นใจว่าอ่านแค่นี้ก็เข้าใจเทนส์นี้ได้กระจ่างแล้วแน่นอน!
มีแบบฝึกหัดต่อในคอมเมนต์นะ
ทำความเข้าใจ Present Perfect แบบกระจ่าง! (Present Perfect Tense Explained)
จากนี้จะทำกระทู้ซีรีส์เรื่อง Tense มาให้อ่านกันละ แม้ผมจะไม่ค่อยชอบพูดถึง
เพราะเขียนแล้วคนอ่านบ่นว่าง่วง! 55555
แต่คิดว่ามันคงเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุดในภาษาอังกฤษ
เดี๋ยวจะทำออกมาให้ครบนะ
วันนี้เริ่มด้วย Present perfect tense ละกัน นักเรียนชอบบ่นว่าเป็นเรื่องยากสุด
กระทู้นี้ผมเลยจัดให้แบบเจาะลึกไปเลย
บ้างจุดอาจเข้าใจง่าย บางจุดก็ต้องเข้าใจยากอยู่แล้วบอกไว้ก่อน
สิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องทำคือ หากอ่านแล้วงงให้รวบรวมสติแล้วอ่านใหม่!
ของแบบนี้บางทีต้องมีฟีลลิ่งด้วยถึงจะอ่านเข้าใจ (พูดจริง ๆ!)
'Present Perfect Explained'
_______________
เวลาเรียนเทนส์ให้เราแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ
1)โครงสร้าง (structure):
จำให้ได้ว่ากริยาต้องเป็นช่องไหน ต้องมี Verb to have หรือ Verb to be หรือเปล่า
สำคัญที่สุดคือโครงสร้างประโยคเวลาตั้งประโยคคำถาม
2)การใช้งาน (use):
แน่นอนว่าเราต้องรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเทนส์นี้ควรใช้กับประโยคแบบไหน การพูดถึงเหตุการณ์แบบนี้เราควรใช้เทนส์อะไร
ตรงนี้ต้องใช้ความเคยชินเข้ามาช่วย (ความเคยชินก็เกิดจากการดูหนังฟังเพลงฝรั่ง อ่านหนังสือทำแบบฝึกหัด และกล้าคุยกับฝรั่งเยอะ ๆ)
ข้อความไหนที่อยู่ในเครื่องหมาย " " แปลว่ามันสำคัญมาก ๆ จำไว้ให้ขึ้นใจ ส่วนประโยคที่ขึ้นต้นด้วย * แปลว่าเป็นความรู้เพิ่มเติมที่ควรรู้ไว้
Let's do this, yeah?!!
_______________
'The Present Perfect Tense'
ทุกครั้งที่เจอเทนส์ที่เป็น Perfect ให้จำไว้เลยว่าต้องมี Have (has, had) เสมอ
และห้ามลืมว่ากริยาที่ตามหลัง have ต้องเป็นเวิร์บช่องสาม (ภาษาอังกฤษเรียก past participle) เท่านั้น
จำไว้ให้ขึ้นใจ (กระทู้ก่อนหน้าบอกไม่เน้นท่องจำ แต่กระทู้นี่คงต้องทำบ้าง!)
"Perfect tenses ต้องมี have (has, had)เสมอ"
"Verb ที่ตามหลัง have ต้องเป็นช่องสาม (have gone, had eaten, has seen etc.)"
_______________
โครงสร้างของ Present perfect คือ
'ประธาน + have/has + past participle + กรรม'
มาดูตัวอย่างสักสามประโยค
I have been to Paris three times. (ผมเคยไปปารีสมาแล้วสามรอบ)
Liam has done a lot of great things in his life. (เลียมทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายในชีวิตเขา)
Nothing you can say that she hasn't heard. (ไม่มีซึ่งไหนที่คุณจะพูดที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน)
I have been, Liam has done และ She hasn't heard คือ Present perfect ของเรานี่เอง จำไว้เลย "มี have/has และตามด้วยเวิร์บสาม"
*เผื่อใครลืมนะ
I/you/we/they ใช้ have
He/she/it ใช้ has
*กริยาช่องสาม หรือ Past participle มีสองแบบคือ
แบบปกติ (Regular verb) คือเติมแค่ -ed
เช่น call - called / want - wanted / ask - asked etc.
แบบไม่ปกติ (Irregular verb) คือต้องเปลี่ยนรูปไปเลย
เช่น eat - eaten / see - seen / steal - stolen etc.
จบเรื่องโครงสร้างนะ ตัวละครหลักของเราคือ Have และ Past participle!
_______________
มาถึง use หรือการใช้งานของมันบ้าง 'Present perfect ใช้ตอนไหนบ้าง?' คือคำถามที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้หลังอ่านกระทู้นี้จบ!
'เยอะ! งง! ซับซ้อน!' คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานของเทนส์นี้ แต่แอดจะพยายามชำแหละมันให้ดูละกัน
ก่อนอื่นเราต้องมาดูคำนิยามภาษาอังกฤษก่อนเลย เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
"The present perfect tense is used to express a past event that has present consequences"
"Present perfect ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่มีผลมาถึงปัจจุบัน"
*Express (v.) แปลว่า แสดงออก, กล่าวออกมา / Consequence (n.) แปลว่า ผลที่ตามมา, ผลลัพธ์
คีย์เวิร์ดสำคัญของเราเลยคือ 'Past event that has present consequences'
เราต้องเข้าใจให้ได้ว่าเหตุการณ์ไหนหรือประโยคไหนที่มันเป็น 'เหตุการณ์ในอดีตที่มีผลมาถึงปัจจุบัน'
มาดูตัวอย่างพร้อมคำอธิบายสักสามประโยค
I have drunk three cups of coffee today.
(ฉันดื่มกาแฟมาสามแก้วแล้ววันนี้)
มันเป็นเหตุการณ์ในอดีตยังไง? ก็ตอนพูดมันจบไปแล้ว ดื่มมาแล้ว
มันส่งผลมาถึงปัจจุบันยังไง? ก็กาแฟที่ดื่มเข้าไปมันทำให้ไม่ง่วงไง หรือฉันอาจจะดื่มต่ออีกก็ได้ในวันนี้ แสดงว่าการดื่มกาแฟในอดีตของฉันมันยังไม่จบแล้วจบเลย เลยใช้ Present perfect tense ไว้ก่อน
Tom has been to London four times already.
(ทอมเคยไปเที่ยวลอนดอนมาแล้วถึงสี่ครั้ง)
เป็นเหตุการณ์ในอดีตยังไง? สี่ครั้งที่พูดถึงมันผ่านมาแล้วทั้งหมด
ส่งผลมาถึงปัจจุบันยังไง? การที่เขาไปเที่ยวที่ผ่านมามันทำให้ปัจจุบันนี้เขารู้จักลอนดอนเป็นอย่างดี หรือเขาอาจจะแนะนำเราก็ได้ หรือเขาอาจจะไปอีกก็ได้ในอนาคต มันยังไม่ใช่เหตุการณ์ที่จบแล้วจบเลย มันอาจมีต่ออีก แบบนี้เลยต้องใช้ Present perfect tense ไว้ก่อน
She has studied Japanese, French, and Arabic.
(เธอเคยเรียนภาษาญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอาหรับ)
เป็นเหตุการณ์ในอดีตยังไง? อาจเคยเรียนมาตอนม.ปลาย หรือมหา'ลัย ตอนนี้วัยทำงานแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องในอดีต
ส่งผลมาถึงปัจจุบันยังไง? การที่เธอเคยเรียนภาษาพวกนี้เนี่ย มันทำให้เธอคุ้นเคยหรืออาจถึงขั้นพูดได้เลย ดังนั้นตอนนี้ถ้าไปถามเธอเรื่องภาษาพวกนี้ที่เธอเคยเรียนมา เธอก็อาจจะยังตอบได้และสอนเราได้ด้วย การที่เธอเคยเรียนมันในอดีตส่งผลมาถึงตอนนี้ เราเลยใช้ Present perfect tense เพื่อแสดงความเชื่อมโยงและบอกว่าเธอยังเข้าใจภาษาพวกนี้อยู่
ประโยคสั้น ๆ แต่คำอธิบายยาววว เพราะอยากให้เห็นภาพนี่แหละ
มันสำคัญจริง ๆ นะเรื่องการเชื่อมต่อเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเนี่ย หวังว่าจะไม่สับสน
แถมประโยคแบบง่าย ๆ ให้บ้าง
I have lost my key. (ทำหายในอดีต แต่ปัจจุบันยังหาไม่เจอ)
They have already had breakfast. (กินมาตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ตอนนี้ยังอิ่มอยู่)
Somebody has stolen my umbrella. (มีคนขโมยไปแล้ว ตอนนี้จะใช้ร่มก็ไม่มีใช้)
_______________
เอาละ ๆ ย่อหน้านี้มาดูการใช้งานของ Present perfect แบบเป็นข้อ ๆ ไปดีกว่า อาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
เราจะใช้ Present Perfect ก็ต่อเมื่อ...
1) When the time period referred to has not finished
"เมื่อช่วงเวลาที่เรากำลังพูดถึงมันยังไม่จบ"
ให้ย้อนกลับไปที่ตัวอย่าง 'I have drunk three cups of coffee today' ข้างบน เวลาที่เราพูดถึงคือ Today
แม้การดื่มกาแฟของเรามันจบไปแล้ว แต่ Today มันยังไม่จบ! ตอนนี้ก็ยังเป็น Today อยู่
ประโยคแบบนี้เราจะใช้ Present perfect tense และมักจะมีคำว่า today, this day, this week etc.
ตัวอย่างเพิ่มเติม
I have studied really hard this week.
(อาทิตย์นี้ฉันเรียนหนักมากเลย) - พูดถึง This week ที่ยังไม่จบ
Many of the employees have resigned this year.
(ปีนี้มีคนงานลาออกไปหลายคนแล้ว) - พูดถึง This year ที่ยังไม่จบ
I haven't seen Jess all day.
(ทั้งวันมานี้ยังไม่เห็นเจสเลย) - พูดถึง Today ที่ยังไม่จบ (แต่ใช้คำว่า all day)
_______________
2) Actions repeated in an unspecific period between the past and now
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเวลาระหว่างอดีตจนถึงปัจจุบัน"
อันนี้ย้อนกลับไปที่ตัวอย่าง 'Tom has been to London four times' จะเห็นว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง และเกิดขึ้นในอดีตด้วย
แต่เราไม่รู้เวลาที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแบบแน่นอนชัดเจน (the time is unspecific) และเหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต (ทอมอาจไปเที่ยวลอนดอนอีกในอนาคต)
ดังนั้นเราจึงเลือกใช้ Present perfect และมักจะมาคู่กับจำนวนครั้งเช่น twice, three times, many times etc.
ตัวอย่างเพิ่มเติม
I have called her four times and still no answer.
(ฉันโทรหาเธอสี่รอบละเนี่ยยังไม่รับเลย) - โทรไปหา four times แล้วที่ผ่านมาและอาจโทรอีก
Jane has seen the Harry Potter movies loads of times.
(เจนดูหนังแฮร์รี่พอตเตอร์จบไปหลายรอบแล้ว) - ดูไปหลายครั้งแล้วในอดีต ไม่ระบุเวลาด้วยว่าดูวันไหนเดือนไหน แค่บอกว่าเคยดูไปหลายครั้งแล้ว และในอนาคตก็อาจจะดูอีกรอบ
How many times have you read this book?
(คุณเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มากี่รอบ) - ในการถามว่าเคยทำอะไรมาแล้วกี่รอบ ๆ เรามักจะใช้ Present perfect เหมือนกัน (How many times have you ....? อะไรก็ว่าไป)
_______________
3) Actions completed in the very recent past
"เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ หรือไม่นานมานี้"
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันละ ในการใช้งานนี้เราจะมี just เพิ่มเข้ามาด้วย
เวลาเราจะบอกว่าเรา 'เพิ่งจะ' ทำบางอย่างมา หรือเพิ่งทำเสร็จไปเมื่อกี้เลย
เรามักจะใช้ Present perfect คู่กับ just
ตัวอย่างเพิ่มเติม
She has just got out of bed!
(เธอเพิ่งลุกจากเตียงเองเนี่ย!) - เพิ่งตื่นหมาด ๆ เลย เอาคำว่า just มาแทรกกลางระหว่าง verb to have กับ past participle
I've just finished work.
(ฉันเพิ่งทำงานเสร็จเมื่อกี้)
The government has just announced its new policy.
(รัฐบาลเพิ่งประกาศนโยบายใหม่ไปเมื่อครู่)
คงไม่ต้องอธิบายมากกับการใช้งานนี้ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ใช้โครงสร้างนี้เลย!
_______________
4) When the precise of the action is not important or not known
"เมื่อเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้นไม่สำคัญหรือไม่เป็นที่รับรู้"
เมื่อเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดตอนไหน เราสนใจแค่ผลลัพธ์ของการกระทำนี้ ว่ามันส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย
อันนี้จะเหมือนกับตัวอย่างประโยค 'She has studied Japanese, French, and Arabic.' ในย่อหน้าที่แล้ว
เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเกิดแล้วส่งผลต่อเราในปัจจุบัน
เหตุการณ์แบบนี้ก็ใช้ Present Perfect เหมือนกัน
และที่สำคัญคือ"ถ้าเราระบุเวลาที่เฉพาะเจาะจงเราก็ห้ามใช้ Present perfect นะ"
เราจะใช้ Past simple แทนถ้าเป็นแบบนั้น
Present Perfect ต้องไม่ระบุเวลา (no specific time)
ตัวอย่างเพิ่มเติม
These kids have read War and Peace.
(เด็กพวกนี้เคยอาจหนังสือ War and Peace แล้ว) - ไม่สำคัญว่าอ่านมาเมื่อไหร่ แต่เราอยากโฟกัสว่าที่ความสำคัญของเหตุการณ์นี้ ว่าอ่านแล้วพวกเขาต้องได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแล้วแน่นอน เราจึงใช้ Present perfect เพื่อเน้นความสำคัญของผลลัพธ์ของการอ่าน
Somebody has taken my shoes.
(มีคนเอารองเท้าผมไป) - ไม่สำคัญว่าเอาไปตอนไหน สำคัญที่ว่าตอนนี้! ผมไม่มีเกิบใส่แล้ว! โอ้โนววว นั่นแหละ อีกครั้งที่เราใช้ Present perfect เพื่อเน้นผลลัพธ์ของเหตุการณ์บางอย่างในอดีต
I have seen that movie.
(ฉันดูหนังเรื่องนั้นมาแล้ว) - ไม่สำคัญว่าดูไปตอนไหน สำคัญว่าดูไปแล้ว เน้นที่ผลลัพธ์ของมันก็คือไม่อยากดูอีกนั่นแหละ
_______________
จบไปกับ Present Perfect ของเรา มันก็จะยาว ๆ หน่อย ที่อยากเน้นย้ำไว้คือ อย่าไปโฟกัสที่ข้อยกเว้นของมัน!
แน่นอนว่าแกรมมาร์แทบจะทุกเรื่องมันมีข้อยกเว้น และคนบางประเภทก็ชอบเหลือเกิน ชอบสร้างความขัดแย้งให้กับความรู้ในหัวของเรา!
กระทู้นี้อาจจะโดนก็ได้ใครจะรู้ ฮ่า ๆ
ทั้งหมดที่ผมเขียนมาคือเรื่องที่สำคัญที่ควรรู้ไว้ อาจจะมีรายละเอียดอีกนิดหน่อยที่ไม่ได้ยกมา
เพราะมันจะทำให้สับสนและเยอะเกินไปเปล่า ๆ (นี่ขนาดเอาแค่เรื่องสำคัญยังโคตรเยอะ ฮ่า ๆ)
ผมมั่นใจว่าอ่านแค่นี้ก็เข้าใจเทนส์นี้ได้กระจ่างแล้วแน่นอน!
มีแบบฝึกหัดต่อในคอมเมนต์นะ