มารู้จักเรื่อง TENSES OF VERBS AND VERBALS กันนะ :)

ประหลาดใจTENSES OF VERBS AND VERBALSประหลาดใจ



Verb เป็นตัวแทนสำคัญของประโยค เป็นภาคแสดงของประธาน
ประโยคที่ขาด verb จะไม่เรียกว่าประโยค แต่จะเป็นเพียงกลุ่มคำหรือวลีเท่านั้น
และอาจไม่มีความหมายสมบูรณ์พอที่จะสื่อความหมายกันได้

              ในลักษณะเบื้องต้นนี้ก็จะต้องรู้ว่า verb ในประโยคนั้น ๆ เป็นผู้แสดงการกระทำ (active verb) หรือถูกกระทำ (passive verb)
ส่วน verbals คือคำที่สร้างจาก verb โดยเติม to เข้าข้างหน้า (to run) หรือเติม ing เข้าที่ข้างหลังคำ (running) แต่ไม่มีฐานะเหมือน verb verbals มีคุณประโยชน์มากเพราะช่วยให้การเขียนและการพูดมีประสิทธิภาพในการสื่อความหมายมากขึ้น แม้ verbals จะมาจาก verbs และคล้าย verbs ในหลายลักษณะ แต่ verbals ก็ไม่อาจทำหน้าที่อย่าง verbs ได้ แต่จะทำหน้าที่เป็นคำประเภทอื่นไป เช่น nouns หรือเป็น adjectives เป็นต้น
              การรู้จัก verbs และ verbals คือการรู้คุณลักษณะ หรือคุณสมบัติเฉพาะ และรู้หลักเกณฑ์การเปลี่ยนรูปแบบอันเป็นการแสดงคุณลักษณะดังกล่าว

TENSES OF VERBS
Tense คือ จุดของเวลาหรือช่วงเวลาที่การกระทำหรือเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
ตามทัศนะของผู้พูดหรือผู้เขียน tense เป็นการบอกให้ทราบว่าการกระทำนั้น ๆ เกิดขึ้นเมื่อไร
ในภาษาอังกฤษมี 6 tenses แบ่งเป็น 3 simple tenses และ 3 compound tenses (perfect tense)
ทั้ง simple และ compound tenses ซึ่งรวมเป็น 6 tenses นั้น แต่ละ tense ก็มีรูป progressive form (continuous) ของมันเอง
ตัวอย่าง Tenses ทั้ง 6 Tenses:
3 Simple Tenses
Present : I cry. She cries.
Past : I cried. She cried.
Future : I shall cry. She will cry.
3 Compound (perfect) Tenses
Present Perfect : I have cried. She has cried.
Past Perfect : I had cried. She had cried.
Future Perfect : I shall have cried. She will have cried.
รูปแบบ progressive form ของทั้ง 6 tense มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ประกอบด้วย present participle (verb + ing) และมี verb to be (is, was, will be, have been, etc.) อยู่ข้างหน้า ตัวอย่าง progressive form ของ tense ทั้ง 6 tenses:
3 Simple Tenses
Present : I am dancing. He is dancing.
Past : I was dancing. He was dancing.
Future : I shall be dancing. He will be dancing.
3 Compound (perfect) Tenses
Present Perfect : I have been dancing. He has been dancing.
Past Perfect : I had been dancing. He had been dancing.
Future Perfect : I shall have been dancing. He will have been dancing.
เฉพาะ present tense และ past tense ต่างก็มี emphatic form (การเน้นเพื่อให้
ความหมายของ verb มีน้ำหนักมากกว่าปกติ) โดยใช้ auxiliaries ได้แก่ do, does, หรือ did
ตัวอย่าง:
Present Tense : I do hate him. She does hate him.
Past Tense : I did hate him. She did hate him.
tenses หรือ verb tenses อาจประกอบด้วย verb ช่วย (auxiliary verbs) และตัว principal verbs รวมกัน หรือมีแต่กริยาหลัก (principal verbs) เท่านั้นก็ได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่า principal parts ซึ่งหมายถึงลักษณะสำคัญที่เป็นรูปแบบของ verbs tense หนึ่ง ๆ เช่น:
Present Tense : allow, borrow
Past Tense : allowed, borrowed
Present Perfect Tense: have allowed, have borrowed
ประเภทของ verbs เมื่อจำแนกตามลักษณะของ principal parts แบ่งออกได้เป็น regular verb และ irregular verb
regular verbs คือ verbs ที่เมื่อเป็น past tense และ present perfect tense จะใช้วิธีเปลี่ยนรูป verbs โดยเติม ed เข้าที่ท้ายคำ infinitive เช่น :
talk – talked – have (has) talked
help – helped – have (has) helped
สำหรับ principal parts ของ irregular verbs ใช้วิธีเปลี่ยนรูปที่ตัว verbs นั่นเอง เช่น
catch – caught – have (has) caught
drink – drank – have (has) drunk

THE USE OF TENSES
1. Present tense
ใช้แสดงการกระทำหรือปรากฏการณ์ หรือภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
I am a student of Chulalongkorn University.
I am trying to contact my father.
present tense อาจอยู่ในรูป emphatic present ซึ่งใช้ verb to do นำหน้า principal verb
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ present กับ emphatic
present : I may work slowly, but I work accurately.
emphatic: I may work slowly, but I do work accurately.
ต่อไปนี้เป็นวัตถุประสงค์ของการใช้ present tense

(1) ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย หรือเป็นปกติธรรมดา โดยไม่คำนึงถึง tense ของ verb อื่นในประโยคเดียวกัน
Whenever he makes a mistake, he blames his brother.
I always eat in the canteen.

(2) ใช้แสดงความเป็นจริงที่ยอมรับกันทั่วไป ซึ่งอาจเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือทางประวัติศาสตร์ หรือวิทยาการอื่น ๆ หรือความจริงอันถาวร
Two and two are four.
The sun rises in the East.

(3) ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตเพื่อเน้นให้เห็นเหตุการณ์นั้นเด่นชัด และมีชีวิตชีวาขึ้นเรียกว่า historical present (เป็นเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต หรือเป็นความจริงเชิง
ประวัติศาสตร์ซึ่งจะต้องใช้ verb เป็น present)
The author describes (or described) the events leading him to his conclusion. He begins (or began) with….
In his fax of 14 February Mr. Johnson states (or stated) that he is (or was) unable to fill our order.

(4) ใช้แสดงถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้โดย
(ก) มีส่วนขยายกำหนดเวลาไว้ด้วย
Tomorrow my teacher goes (หรือ will go) to Illinois.
She arrives (หรือ will arrive) on Saturday for a month’s visit.
(ข) เมื่ออยู่ใน dependent หรือ subordinate clause และตามหลัง connectives
เหล่านี้คือ : if, when, after, before, until, as soon as, etc.
As soon as he arrives, we shall begin our discussion.
He will not be able to complete his assignment until I give him necessary information.


2. Present perfect tense
(1) ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงในปัจจุบัน
The Queen has just arrived at the ceremony.
(2) ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เริ่มมาจากอดีตและดำเนินต่อมาถึงปัจจุบัน
I have worked for this company for almost ten years.


                                                                                                   ขอบคุณคุณครูที่ให้ความรู้ หัวเราะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่