ในที่สุดเราก็ได้พูดออกไปกับหัวหน้า ว่าเราไม่เหมาะกับงานที่ทำอยู่

จริงๆเราทำผิดเองแหละ ความผิดของเราคือ ลืมเข้าประชุม 2 ครั้งแล้ว สาเหตุคือไม่รู้ว่ามีประชุม การประชุมครั้งแรก เลขาแจ้งในไลน์กลุ่ม แต่เราไม่มีไลน์กลุ่มนั้น จึงไม่รู้มีประชุมวันไหน ส่วนการประชุมครั้งที่สอง เลขาแจ้งทางไลน์ล่วงหน้าเป็นสัปดาห์(เราอยู่ในกลุ่มไลน์นั้น) แต่ปกพอถึงวันประชุม เลขาก็จะโทรแจ้งคนอื่นๆอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้เตือนเรา (ทั้งๆที่ทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน) เราจึงลืม กลายเป็นว่าเราขาดความรับผิดชอบ จึงโดนหัวหน้าเรียกไปด่าอีกตามเคย เลขาที่ประชุมก็ได้เข้าไปฟังหัวหน้าด่าเราด้วย

เราบอกหัวหน้าไปตามตรงว่าเราไม่รู้ว่ามีการประชุม เพราะเราลองเช็คไลน์แล้วไม่เจอ (ไม่เจอจริงๆ เพราะแจ้งล่วงหน้านานเป็นสัปดาห์ กว่าจะถึงวันนี้ แชทมันก็โดนข้อความอื่นดันขึ้นไปไกลแล้ว เราเองก็ไม่ได้ย้อนอ่านแชทไปถึงขนาดนั้น และเราก็ลืมจดไว้ด้วยว่ามีประชุมวันนั้น) และก็ไม่มีใครเตือนเราด้วย หัวหน้าก็พูดประมาณว่า ต้องรอให้คนอื่นเตือนเหรอ นี่ไม่ใช่ชีวิตการเรียนที่จะรอคนอื่นหาปลามาให้กิน เราก็ไม่พูดอะไร แต่ในใจก็รู้สึกไม่เห็นด้วย

หัวหน้าถามว่า ตอนที่เขาและเลขาเดินออกไปจากห้อง ไม่ได้สังเกตหรือคิดบ้างเหรอว่าเขาไปประชุมกัน เราตอบไปว่า ก็เราคิดว่าไปประชุมอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะการประชุมมันมีหลายเรื่อง และปกติเราก็ไม่ได้เข้าประชุมทุกเรื่องอยู่แล้ว(คือเราคิดว่า ถ้ามันเกี่ยวกับเรา เขาก็น่าจะเตือนเรา หรือชวนเราสักนิด ว่าไปประชุมกันเถอะ ประมาณนี้ แต่นี่คือพากันเดินออกไปเฉยๆ เราก็นั่งทำงานของเราอยู่ ไม่ได้มาคอยสังเกตอยู่ตลอดหรอก)

ทีนี้หัวหน้าก็ถามด้วยคำถามเบสิกเลย ว่า "แล้วทำไมไม่ถามล่ะว่าไปประชุมอะไรกัน" เอาจริงเราโคตรเกลียดคำถามแบบนี้เลย กับคำถามว่า "ทำไมไม่ถาม" เนี่ย เราคิดว่ามันเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ในเมื่อคนมันไม่รู้ และก็ไม่ได้คิดอะไรด้วย แล้วจะให้ไปถามอะไรใครล่ะ จริงๆแล้วคนที่รู้ควรเป็นฝ่ายบอกคนที่ไม่รู้ต่างหาก เราไม่ตอบคำถามนี้ แต่ทำหน้าเหวอแทน

หัวหน้าบอกว่าบริเวณหน้าห้องจะมีกระดาษติดไว้บนกำแพง บอกว่าวันนี้มีการประชุมอะไรบ้าง เราเคยรู้บ้างไหม เราบอกไปตามตรงเลยว่าเราไม่รู้ เราสังเกตแต่จากที่เลขาแจ้งทางไลน์(เราไม่ได้สังเกตกระดาษที่ติดอยู่แถวๆหน้าห้อง เพราะเราไม่ค่อยเดินไปตรงบริเวณนั้น และถึงเราจะเดินไปตรงบริเวณนั้น เราก็ไม่ได้สนใจอยู่ดีว่ามันคือกระดาษอะไร เพราะมันไม่ได้ดูโดดเด่นจนทำให้เราสนใจ) ทีนี้เราก็โดนทั้งหัวหน้าและเลขาด่าเลย ว่าเรานั้นเอาแต่นั่งติดโต๊ะทำงานตัวเอง ไม่ยอมเดินไปโน่นไปนี่ หรือเดินไปคุยกับคนโน้นคนนี้บ้าง ก็เลยไม่รู้อะไร เราก็ตอบไปว่า เรายอมรับผิด ซึ่งหัวหน้าก็ตอบมาอีกว่า ใช่สิ ก็ต้องยอมรับอยู่แล้ว

พอหัวหน้าพูดเรื่องลืมเข้าประชุมเสร็จ ก็ย้อนกลับไปพูดเรื่องที่เราชอบหลับในที่ประชุม เขาถามว่าทำไมเราถึงชอบหลับ เราก็บอกไปว่า คงเป็นเพราะเราต้องนั่งนานๆ และเนื้อหาการประชุมบางอย่าง มันเต็มไปด้วยรายการตัวเลข เราไม่ได้มีความรู้ด้านนั้นมาก พอมองตัวเลขนานๆ เราก็เบลอและง่วงเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ค่อยกล้าเดินออกไปจากห้อง เพราะกลัวว่าจะทำลายสมาธิคนอื่น แต่ตอนนี้เราก็พยายามไม่หลับแล้ว ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าจะมีประชุม เราก็จะดื่มกาแฟก่อนเข้าประชุม(จากคนที่ไม่เคยดื่ม ไม่ชอบดื่ม ก็ต้องมาดื่มเพื่อการนี้โดยเฉพาะ) หัวหน้าก็พยายามแนะนำวิธีต่างๆ ที่จะช่วยไม่ให้หลับในห้องประชุม และบอกว่าอย่าให้เขาเห็นอีกนะว่าเราหลับในที่ประชุมหรือขาดการประชุม อย่างอ้างว่าลืมหรือไม่รู้ เขารับไม่ได้ เราก็ตอบตกลง

พอพูดเรื่องการประชุมจบ เขาก็ถามเราว่า เรายังมีความสุขกับการทำงานไหม เราอยากตอบใจจะขาดว่าไม่มีความสุขแล้ว แต่เราก็เลือกที่จะตอบแบบถนอมน้ำใจเขาไปว่า งานบางอย่างเรายังโอเคอยู่ แต่บางอย่างก็เครียด เขาก็บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เราก็พูดต่อว่า เราพิจารณาตัวเองแล้วคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงานที่ทำอยู่ เพราะบุคลิกเราไม่ใช่คนที่จะชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนเยอะ แต่งานที่ทำอยู่มันจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนเยอะ ถ้าเป็นเรื่องงาน เราพยายามตั้งใจทำเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าต้องติดต่อประสานงานกับใคร เราก็ทำ เพราะมันคือหน้าที่ แต่ถ้าจะให้คุยเล่นกับคนอื่น คุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน เราก็คุยได้บ้าง แต่ไม่เยอะ คนอื่นๆในห้องก็คุยเก่งกันหมด ยกเว้นเรา เราต่างจากคนอื่นๆ เราจึงคิดว่าเราอาจไม่เหมาะกับการทำงานตรงนี้ (ในใจคืออยากลาออกแล้ว)

ทั้งหัวหน้าและเลขาก็พยายามพูดอะไรสารพัดตามที่เขาอยากพูด เขาบอกว่าทุกคนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เราต้องปรับตัว อะไรที่เราไม่ชอบทำ ถ้ามาอยู่ตรงนี้ เราเลือกไม่ได้ เราจำเป็นต้องทำ อย่ามองอะไรแค่ด้านเดียว เราก็บอกว่าเรา "พยายามปรับเท่าที่จะทำได้" ดูเหมือนหัวหน้าจะไม่ค่อยชอบคำพูดนี้ของเราสักเท่าไหร่ เพราะมันคงทำให้เขาคิดว่าเราจะไม่ปรับตัวแล้ว แต่เราคิดว่าเราได้พูดออกไปตามที่รู้สึกแล้ว ถ้าหัวหน้ารับไม่ได้แล้วอยากเลิกจ้างเรา เราก็ยินดี ถึงเราจะไม่ได้พูดอะไรเยอะ แต่สีหน้าและแววตาเราตอนนั้นแสดงออกมาชัดเจนว่ากำลังเครียด หัวหน้าเองก็เริ่มจะเข้าใจว่าเขาได้มอบหมายงานที่ทำให้เราเครียด(เราไม่ได้ทำแค่งาน HR แต่ยังทำงานอื่นที่ต้องติดต่อกับคนมากกว่างาน HR อีก) เขาก็เริ่มเข้าใจว่าเราอาจไม่เหมาะกับงาน แต่เขาก็บอกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมอบหมายงานนั้นให้เรา เพราะว่าเขาอยากให้คนอื่นๆรู้จักเราเร็วๆ จริงๆแล้วเขาสามารถมอบหมายงานนั้นให้คนอื่นทำก็ได้ เราเองก็เข้าใจเขานะ ถึงได้ยอมทำงานนั้น แม้ว่าจะไม่ชอบก็ตาม

จากนั้นหัวหน้าก็พูดเรื่องที่เราเรียนได้เกียรตินิยมในสายที่เราทำงานอยู่ตอนนี้ เขาจึงคาดหวังว่าเราจะทำงานได้ดี ครั้งก่อนเขาเคยด่าเราว่าทำงานไม่สมกับคนได้เกียรตินิยม ครั้งนี้เราได้บอกเขาไปว่า เราได้เกียรตินิยมมาก็เพราะว่าเราตั้งใจเรียนและพยายามรักษาเกรดนะ(เหมือนจะบอกเขาเป็นนัยว่าอย่าเอามาโยงกับเรื่องการทำงาน) หัวหน้าก็บอกว่า ถ้าเราไม่ชอบเรียนสายนั้นก็คงไม่ตั้งใจเรียนจนได้เกียรติยมหรอก ถ้าเราไปเรียนอย่างอื่นที่ไม่ชอบ เราก็คงเครียดและอาจคิดฆ่าตัวตายเหมือนกับนักศึกษาแพทย์บางคน(เราแอบตำหนิในใจ ว่าเขาเอาสาขาวิชาที่เราเรียนไปเปรียบเทียบกับสาขาแพทย์ได้ยังไง ความยากมันต่างกันเป็นสิบๆเท่า สาขาที่เราเรียนมันไม่ได้ยากมาก คนโง่ๆก็สามารถเรียนจบได้ และถ้าแค่ตั้งใจเรียนหน่อยก็ได้เกียรตินิยมไม่ยากหรอก แต่เราจะไม่พูดออกไป พูดออกไปคงไม่ดีแน่) และเราก็บอกว่า ถ้าเป็นการเรียน ต่อให้เป็นวิชาที่เราไม่ชอบ เราก็จะพยายามตั้งใจเรียนเหมือนกัน เพราะเราต้องการรักษาระดับเกรด

ทีนี้หัวหน้ากับเลขาก็ถามเรื่องส่วนตัวเรานิดหน่อย เพื่อให้รู้นิสัยเรามากขึ้น เพราะเขาบ่นมาตลอดเรื่องที่เราเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ดูไม่ค่อยแอคทีฟ ที่เขาถามเราก็เช่น เวลาเรามีปัญหาในที่ทำงาน เราชอบปรึกษาใคร(เราตอบไปว่าเราไม่ค่อยปรึกษาใครหรอก เราเก็บมาคิดคนเดียวแล้วพยายามทำใจ) ถามว่าทำไมตอนเที่ยงเราถึงไม่ไปกินข้าวกับคนในห้องทำงาน(เราตอบว่า ถ้ารุ่นพี่ชวน บางครั้งเราก็กินกับพวกเขา แต่ที่เราชอบกินข้าวคนเดียว เพราะเราชอบออกไปข้างนอก ชอบออกไปเดินเล่น เดินเล่นคนเดียวนี่แหละ) ถามว่าเคยนัดเพื่อนๆสมัยเรียนไปกินข้าวด้วยกันไหม(เราตอบไปว่าไม่เคย เพราะเวลาเรากลับบ้าน ตจว. เราก็ไม่ได้บอกเพื่อน เราไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น เรากลับบ้านไปแล้วก็ใช้เวลาอยู่แต่กับครอบครัว) เขาบอกว่า เวลาเราทำงาน ให้เราเดินไปคุยเล่นกับคนอื่นบ้างก็ได้ จะได้ผ่อนคลาย ไม้ครียด(เราตอบไปว่า วิธีผ่อนคลายของเราไม่เหมือนกับคนอื่น การได้อยู่เงียบๆคือวิธีผ่อนคลายของเรา)

ตอนนี้หัวหน้าก็คงเข้าใจบ้างแล้วว่าเราเป็นคนชอบอยู่คนเดียว มีความสุขกับการอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่าเราไม่สู้งานหรอก เขาก็พยายามพูดถึงนิสัยของเขาเหมือนกัน ว่าเวลาเขาดุเราเรื่องอะไร พอดุเสร็จเขาก็จบตรงนั้น เดี๋ยวเขาก็หาเรื่องอื่นมาดุต่ออีก (เหมือนจะบอกเราว่าอย่าเครียดกับคำดุด่าของเขามากนัก แต่สำหรับเรา เขาดุเราแล้วก็ไม่ได้จบแค่นั้น เดี๋ยวครั้งต่อไปเขาก็เอาเรื่องเดิมมาดุซ้ำอีก) เขาบอกว่า เขาก็แค่ไม่อยากให้ใครมาตำหนิว่าแผนกเราไม่ดี เวลามีใครสักคนทำผิด คนอื่นก็จะมองแบบเหมารวมทั้งแผนก(ซึ่งอันนี้เราเข้าใจ) เขาคงจะไม่พูดเรื่องนิสัยส่วนตัวของเราแล้ว ถ้างานไหนที่เราทำแล้วชอบ ก็ขอให้ทำอย่างเต็มที่ แต่งานไหนทำแล้วรู้สึกไม้เข้ากับตัวเอง ก็ให้ไปบอกเขา แต่ขอให้จำไว้ด้วยว่าเราไม่สามารถเลือกงานได้ เราก็ตอบตกลง แต่เราคิดอยู่แล้วว่ายังไงเราก็ต้องทำงานเดิมต่อไป ถ้ายังจะอยู่ที่นี่ มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะเดินไปบอกหัวหน้าว่าเราอยากทำงานไหน และไม่อยากทำงานไหน เพราะหัวหน้าก็บอกแล้วว่าเราเลือกงานไม่ได้ บางทีถ้ามันเครียดจนเกินจะทานทน เราก็คงไม่ต่อสัญญาทำงานที่นี่ในปีต่อไป

ทั้งหมดทั้งปวงที่หัวหน้าเรียกไปตำหนิ ประเด็นสำคัญจริงๆ อยู่ที่แค่เรื่องเราไม่ได้เข้าประชุมเท่านั้นแหละ เราเองก็รู้สึกนะว่าเราโดนตำหนิเยอะอยู่ แต่เราก็สบายใจขึ้นบ้างที่ได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ซึ่งจิตแพทย์และแม่ของเราเป็นคนแนะนำให้เราพูด แม่เรารู้ว่าเราเป็นคนตรงๆ (ตรงทื่อเลย) อะไรหลายอย่างถ้าไม่มีคนบอกเรา เราจะไม่รู้เองหรอก เราไม่ใช่คนช่างสังเกตหรือสนใจอะไรมากมาย ขอเพียงแค่บอกมา แล้วเราจะทำให้ทุกอย่าง เราเป็นคนแบบนี้ และเราเป็นคนไม่ค่อยพูด แม่จึงแนะนำว่าเราควรสวนกลับไปบ้างเวลามีคนมาว่าอะไร ไม่งั้นคนว่าก็จะได้ใจและก็ว่าเราอยู่นั่นแหละ(แต่ถ้าเราปรึกษาพ่อ พ่อก็จะเอาแต่บอกให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อให้หัวหน้าชอบ ซึ่งก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเราทำไม่ค่อยได้) และบางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ได้มาจากจิตแพทย์ด้วย จึงทำให้เราไม่รู้สึกจิตตกหรืออับเฉามากเท่ากับตอนโดนหัวหน้าตำหนิในครั้งที่ผ่านๆมา

จะถือว่าเป็นกระทู้ประจานตัวเองก็ได้ ก็แค่อยากเล่า ถ้าหัวหน้าหรือเลขามาเห็นก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ถ้าเจอลูกน้องแบบคุณนี่เราก็ส่ายหัวเหมือนกันนะ
ไม่รู้ไม่เปลี่ยนไม่ปรับอะไรซักอย่าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่