คำถามจากกระทู้นี้น่าสนใจ
https://ppantip.com/topic/38083212
อยากจะนำบริบทและเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยมาเสริมในการตอบ แต่ดูทิศทางลมแล้ว...ก็ออกจะเสี่ยงเอาการอยู่ จึงขออ้างเอา "เส้นทางสู่ประชาธิปไตย" ของอังกฤษแทนก็แล้วกันนะครับ
ปี 1215 (ก่อนกำเนิดกรุงสุโขทัย: วชรน) พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษได้(ถูกบังคับ)ลงพระนามาภิไธยใน "กฏบัตรแมกนากาตาร์" (รัฐธรรมนูญฉบับแรกและฉบับเดียวของอังกฤษ) ในการลดอำนาจของพระมหาษัตริย์ลงไป จะว่านั่นเป็นการสิ้นสุดระบบ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" ของอังกฤษก็ไม่เชิงเสียทีเดียวนัก อำนาจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในมือราชสำนัก และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอำนาจในการเก็บภาษี
อีกหนึ่งศตวรรษต่อมาคือปีคริสศักราชที่13 ก็มีการตั้งปาร์ลีเมนต์(รัฐสภา)ขึ้น เพื่อคานอำนาจกษัตริย์อังกฤษและศาสนจักร กระนั้น อำนาจส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือราชสำนักและผู้นำทางศาสนาอยู่ แม้จะมีการประท้วงและสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น แต่ชัยชนะก็จะเป็นของราชสำนัก
จนกระทั่งเข้าสู่ยุคคริสศักราชที่16 (ยุคสมัยอยุธยาตอนกลาง: วชรน) พระเจ้าชาร์ลที่๑ พยายามรวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่พระองค์ แล้วเกิดการขัดแย้งกับนักการเมืองในรัฐสภา นักการเมืองในสภานำโดยนายทหารที่ชื่อนายพลโอลิเวอร์ ครอมพ์เวลล์ นำกำลังทหารยึดอำนาจพระเจ้าชาร์ล แล้วจับพระเจ้าชาร์ลประหารชีวิต (ตัดคอ) ในวันที่ศาลประกาศคำตัดสินประหารชีวิตพระองค์นั้น พระองค์ถึงกับมือไม้สั่น ทำให้หัวไม้เท้าของพระองค์หลุดลงไปบนพื้น พระองค์สั่งให้ทหารองค์รักษ์เก็บมันขึ้นมา แต่ทหารกลับทำเฉย (ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทหารคนนั้นตองลนลานรีบเก็บ) นั่นแหละทำให้พระองค์ตระหนักถึง การสิ้นสุดของ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" แล้ว
นายพลโอลิเวอร์ ขึ้นปกครองอังกฤษแทนพระเจ้าชาร์ลโดยไม่ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ในฐานะ "ผู้พิทักษ์รัฐ" โดยใช้ระบบรัฐสภา และเมื่อสิ้นสุดนายพลโอลิเวอร์ โอรสของพระเจ้าชาร์ลที่๑ ที่ลี้ภัยอยู่ฝรังเศสก็กลับมาทวงบัลลังก์คืน สถาปนาเป็นพระเจ้าชาร์ลที่๒ แล้วก็ขุดศพของนายพลโอลิเวอร์ขึ้นมาแขวนคอเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนพระบิดา พระเจ้าชาร์ลที่สองพยายามรวบอำนาจมาไว้ที่ราชสำนัก แต่ก็ยังคงระบบรัฐสภาเอาไว้
ถัดจากพระเจ้าชาร์ลที่2 ก็คือพระเจ้าเจมส์ที่2 ซึ่งเป็นราชโอรส ขึ้นครองราชย์ต่อ พระเจ้าเจมส์ได้ใช้อำนาจก้าวก่ายรัฐสภาหลายอย่าง จนเป็นที่เหนื่อยหน่ายและไม่ชอบในรัฐสภาและขุนนาง ทั้งรัฐสภาและขุนนางจึงเขียนจดหมายลับไปถึงเจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งออเรนจ์ (ซึ่งเป็นญาติของพระเจ้าเจมส์)ที่ประทับอยู่เนเธอแลนด์สนับสนุนให้มาแย่งราชบัลลังก์จากพระเจ้าเจมส์ อีกสถานะหนึ่งของเจ้าชายวิลเลี่ยมที่มีต่อพระเจ้าเจมส์ก็คือเป็น "พระราชลูกเขย" ที่แต่งงานกับเจ้าหญิงแมรี่ เจ้าชายวิลเลี่ยมรับคำเชิญจากขุนนางและรัฐสภาอังกฤษ โดยแต่งทัพเรือจำนวนมหึมาจากเนเธอแลนด์มาอังกฤษเพื่อชิงบัลลังก์ พระเจ้าเจมส์หรือ "พ่อตา" ของเจ้าชายวิลเลี่ยมตอนแรกก็ไปตั้งทัพรอที่จะรบกับลูกเขยที่ชายฝั่งทะเลแต่สุดท้ายก็หนีกลับลอนดอน กลับมาถึงลอนดอนก็พบว่าญาติๆ ส่วนใหญ่และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ได้หนีไปฝักใฝ่กับเจ้าชายวิลเลี่ยมแล้ว พระองค์จึงปลอมตัวเป็นสามัญชนคิดจะหนีภัยไปฝรั่งเศส แต่ก็ถูกทหารองค์รักษ์พระองค์จับเอาไว้ระหว่างทางแล้วส่งกลับลอนดอน
เจ้าชายวิลเลี่ยมได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าวิลเลี่ยมที่3 โดยการรับรองจากคณะรัฐสภา และรัฐสภาเสนอให้เจ้าหญิงแมรี่พระมเหสีเป็นสมเด็จพระราชินีแมรี่ปกครองร่วมกับพระองค์ด้วย ภายใต้เงื่อนไขว่า การตัดสินใจต่างๆ ต้องผ่าน "ระบบรัฐสภา" นี่คือจุดเริ่มต้นของระบบรัฐสภาที่เป็นรูปร่างของอังกฤษ
ความสัมพันธ์ระหว่งพระเจ้าวิลเลี่ยมที่3 กับรัฐสภาก็เป็นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ของฝรั่งเศส (น่าจะตรงกับยุคพระนารายณ์ของเรา: วชรน) พระเจ้าวิลเลี่ยมได้ของบประมาณในการทำสงครามกับพระเจ้าหลุยส์ที่14 จากรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาอนุมัติงบประมาณสงครามให้กับพระองค์เป็นจำนวนเงิน5ล้านปอนด์!! เมื่อพระเจ้าวิลเลี่ยมทำสงครามชนะพระเจ้าหลุยส์ที่14 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับราชสำนัก็ดีขึ้น ในยุคนั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองและระบบรัฐสภาเริ่มที่จะหยั่งรากในอังกฤษอย่างมั่นคง
….กว่าจะมาถึงจุดนี้..../วัชรานนท์
https://ppantip.com/topic/38083212
อยากจะนำบริบทและเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยมาเสริมในการตอบ แต่ดูทิศทางลมแล้ว...ก็ออกจะเสี่ยงเอาการอยู่ จึงขออ้างเอา "เส้นทางสู่ประชาธิปไตย" ของอังกฤษแทนก็แล้วกันนะครับ
ปี 1215 (ก่อนกำเนิดกรุงสุโขทัย: วชรน) พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษได้(ถูกบังคับ)ลงพระนามาภิไธยใน "กฏบัตรแมกนากาตาร์" (รัฐธรรมนูญฉบับแรกและฉบับเดียวของอังกฤษ) ในการลดอำนาจของพระมหาษัตริย์ลงไป จะว่านั่นเป็นการสิ้นสุดระบบ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" ของอังกฤษก็ไม่เชิงเสียทีเดียวนัก อำนาจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในมือราชสำนัก และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอำนาจในการเก็บภาษี
อีกหนึ่งศตวรรษต่อมาคือปีคริสศักราชที่13 ก็มีการตั้งปาร์ลีเมนต์(รัฐสภา)ขึ้น เพื่อคานอำนาจกษัตริย์อังกฤษและศาสนจักร กระนั้น อำนาจส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือราชสำนักและผู้นำทางศาสนาอยู่ แม้จะมีการประท้วงและสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น แต่ชัยชนะก็จะเป็นของราชสำนัก
จนกระทั่งเข้าสู่ยุคคริสศักราชที่16 (ยุคสมัยอยุธยาตอนกลาง: วชรน) พระเจ้าชาร์ลที่๑ พยายามรวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่พระองค์ แล้วเกิดการขัดแย้งกับนักการเมืองในรัฐสภา นักการเมืองในสภานำโดยนายทหารที่ชื่อนายพลโอลิเวอร์ ครอมพ์เวลล์ นำกำลังทหารยึดอำนาจพระเจ้าชาร์ล แล้วจับพระเจ้าชาร์ลประหารชีวิต (ตัดคอ) ในวันที่ศาลประกาศคำตัดสินประหารชีวิตพระองค์นั้น พระองค์ถึงกับมือไม้สั่น ทำให้หัวไม้เท้าของพระองค์หลุดลงไปบนพื้น พระองค์สั่งให้ทหารองค์รักษ์เก็บมันขึ้นมา แต่ทหารกลับทำเฉย (ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทหารคนนั้นตองลนลานรีบเก็บ) นั่นแหละทำให้พระองค์ตระหนักถึง การสิ้นสุดของ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" แล้ว
นายพลโอลิเวอร์ ขึ้นปกครองอังกฤษแทนพระเจ้าชาร์ลโดยไม่ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ในฐานะ "ผู้พิทักษ์รัฐ" โดยใช้ระบบรัฐสภา และเมื่อสิ้นสุดนายพลโอลิเวอร์ โอรสของพระเจ้าชาร์ลที่๑ ที่ลี้ภัยอยู่ฝรังเศสก็กลับมาทวงบัลลังก์คืน สถาปนาเป็นพระเจ้าชาร์ลที่๒ แล้วก็ขุดศพของนายพลโอลิเวอร์ขึ้นมาแขวนคอเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนพระบิดา พระเจ้าชาร์ลที่สองพยายามรวบอำนาจมาไว้ที่ราชสำนัก แต่ก็ยังคงระบบรัฐสภาเอาไว้
ถัดจากพระเจ้าชาร์ลที่2 ก็คือพระเจ้าเจมส์ที่2 ซึ่งเป็นราชโอรส ขึ้นครองราชย์ต่อ พระเจ้าเจมส์ได้ใช้อำนาจก้าวก่ายรัฐสภาหลายอย่าง จนเป็นที่เหนื่อยหน่ายและไม่ชอบในรัฐสภาและขุนนาง ทั้งรัฐสภาและขุนนางจึงเขียนจดหมายลับไปถึงเจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งออเรนจ์ (ซึ่งเป็นญาติของพระเจ้าเจมส์)ที่ประทับอยู่เนเธอแลนด์สนับสนุนให้มาแย่งราชบัลลังก์จากพระเจ้าเจมส์ อีกสถานะหนึ่งของเจ้าชายวิลเลี่ยมที่มีต่อพระเจ้าเจมส์ก็คือเป็น "พระราชลูกเขย" ที่แต่งงานกับเจ้าหญิงแมรี่ เจ้าชายวิลเลี่ยมรับคำเชิญจากขุนนางและรัฐสภาอังกฤษ โดยแต่งทัพเรือจำนวนมหึมาจากเนเธอแลนด์มาอังกฤษเพื่อชิงบัลลังก์ พระเจ้าเจมส์หรือ "พ่อตา" ของเจ้าชายวิลเลี่ยมตอนแรกก็ไปตั้งทัพรอที่จะรบกับลูกเขยที่ชายฝั่งทะเลแต่สุดท้ายก็หนีกลับลอนดอน กลับมาถึงลอนดอนก็พบว่าญาติๆ ส่วนใหญ่และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ได้หนีไปฝักใฝ่กับเจ้าชายวิลเลี่ยมแล้ว พระองค์จึงปลอมตัวเป็นสามัญชนคิดจะหนีภัยไปฝรั่งเศส แต่ก็ถูกทหารองค์รักษ์พระองค์จับเอาไว้ระหว่างทางแล้วส่งกลับลอนดอน
เจ้าชายวิลเลี่ยมได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าวิลเลี่ยมที่3 โดยการรับรองจากคณะรัฐสภา และรัฐสภาเสนอให้เจ้าหญิงแมรี่พระมเหสีเป็นสมเด็จพระราชินีแมรี่ปกครองร่วมกับพระองค์ด้วย ภายใต้เงื่อนไขว่า การตัดสินใจต่างๆ ต้องผ่าน "ระบบรัฐสภา" นี่คือจุดเริ่มต้นของระบบรัฐสภาที่เป็นรูปร่างของอังกฤษ
ความสัมพันธ์ระหว่งพระเจ้าวิลเลี่ยมที่3 กับรัฐสภาก็เป็นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ของฝรั่งเศส (น่าจะตรงกับยุคพระนารายณ์ของเรา: วชรน) พระเจ้าวิลเลี่ยมได้ของบประมาณในการทำสงครามกับพระเจ้าหลุยส์ที่14 จากรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาอนุมัติงบประมาณสงครามให้กับพระองค์เป็นจำนวนเงิน5ล้านปอนด์!! เมื่อพระเจ้าวิลเลี่ยมทำสงครามชนะพระเจ้าหลุยส์ที่14 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับราชสำนัก็ดีขึ้น ในยุคนั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองและระบบรัฐสภาเริ่มที่จะหยั่งรากในอังกฤษอย่างมั่นคง