...เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์จริงของเราเอง..(แต่ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ ใครไม่เชื่อก็คิดซ่ะว่าอ่านเพื่อความบันเทิงนะค่ะ)
..เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นเราจำได้ว่าเราอยู่ ม.5..
..สมัยนั้นน่าจะยังไม่มีไลด์ไม่มีเฟสบุ๊คหรือถ้ามีเราก็ยังไม่รู้จักเท่าที่ควร
แต่มีโปรแกรมอยู่โปรแกรมหนึ่งที่เรารู้จักในสมัยนั้น โปรแกรมยอดฮิตของเด็ก ม.ปลาย
ในสมัยนั้น..นั่นก็คือ โปรแกรม MSM คิดว่าเพื่อนๆบางคนอาจจะรู้จักนะค่ะ..
..จำได้ว่าวันนั้นเป็นคาบเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ วันนั้นอาจารย์ไม่มาสอนพวกเราส่วนใหญ่ก็เลยพากันนั่งเล่นเกมส์บางคนก็นั่งเล่นแชทตามภาษา..
ส่วนเราเห็นเพื่อนๆเล่นเราก็อยากเล่นบ้าง..จะว่าไปวันนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เราหัดเล่นเอ็ม จำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนนั้นมันเล่นยังไง แต่ที่จำได้ พอสมัครเสร็จเราก็เอารูปของตัวเองลงตรงโปรไฟล์ พอนั่งไปซักพักก็มีใครคนนึงทักมาหาเราเด็งขึ้นมา..เขาทักเรามาว่า..
"สวัสดีคับ.." ตอนแรกเราตกใจมาก เพราะไม่เคยเล่นมาก่อน และอีกอย่างเราเป็นผู้หญิงพูดน้อยและไม่ค่อยจะสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่ก็จะใช้ไปกับการซ้อมกีฬาซ่ะมากกว่า (ลืมบอกไปว่าเราเป็นนักกีฬาโรงเรียน) พอเขาทักมาแบบนั้น ตอนแรกเราก็กะว่าจะไม่ตอบอะไรแล้ว แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ทำอะไร เลยหาอะไรทำข้ามเวลาเพื่อแก้เซ็ง....พอเขาทักมาเราเลยตอบกลับเขาไป.."ดี..." เขาถามเราว่าเราทำอะไร..
เราก็ตอบไปว่าเราเล่นคอมอยู่ แล้วเขาก็เริ่มชวนเราคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขาค่อนข้างจะเป็นคนคุยเก่งเลยทีเดียว..
เขาบอกเราว่าเขาชื่อ โจ เป็นเด็กกำพร้าอยู่กับยายแค่สองคน เราเริ่มรู้สึกว่า เราถูกชะตากับโจยังไงก็ไม่รู้ จะว่าไปโจก็เป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตเราก็ว่าได้ที่กล้าเข้ามาคุยกับเราแบบนี้ (ถึงจะไม่เห็นหน้าก็เถอะ..)...เรากับโจคุยกันแบบนั้นนานเป็นเดือนๆเลยล่ะ แต่แค่ชั่วโมงที่เรียนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนเท่านั้นนะ..แต่ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกๆที่เขาไม่เคยถามชื่อเราเลย...พอคุยกันมาเข้าเดือนที่สองโจก็บอกกับเราว่า..ความจริงเขาเองก็อยู่ จังหวัดเดียวกันกับเรา
นั่นแหล่ะ แค่อยู่คนล่ะหมู่บ้านห่างกันไม่ถึง 30 กิโลด้วยซ้ำ เขาบอกกับเราว่า เขาน่ะเคยเจอเราแล้วตอนที่โรงเรียนของเราจัดแข่งขัดกีฬาระดับเขตแล้วก็ระดับจังหวัด ด้วยความที่โจเป็นนักกีฬาฟุตบอล เราเองก็เป็นนักกีฬาตระกร้อและฟุตบอลทำให้เราเจอกันค่อนข้างบ่อยมาก..
ตอนแรกเราตกใจมากที่โจบอกเราแบบนั้น ที่แท้โจก็รู้จักเรามาก่อนหน้านี่ นี่เอง....
..เข้าเดือนที่สามที่คุยกัน จู่ๆวันหนึ่งโจก็ขอนัดพบเรา เราก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะยังไงเราก็คิดกับโจแค่เพื่อน เรานัดเจอกันที่เขื่อนริมโขงแห่งหนึ่งมันเป็นเขื่อนประจำหมู่บ้าน ตอนที่จะไปเจอเราก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน..พอไปเจอกันตอนนั้นเราตกใจมาก...
..โจเป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่มาก น่าจะ180 ได้ สูงหุ่นดีเลยล่ะ โจเป็นคนผิวคล้ำเพราะเล่นกีฬาหน้าตาของโจจะเป็นประมาณลูกครึ่งแขกอินเดียที่ผิวคล้ำหน้าตาคมๆ..เข้าขั้นหล่อในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ตอนที่ไปเจอกันโจออกจะเขินๆเราด้วยซ้ำ แล้วเราก็รู้วันนั้นเองว่าโจอายุน้อยกว่าเราหนึ่งปี..
...หลังจากนั้นเราสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น โจจะเรียกเราว่าพี่ป่าน (แต่เราเป็นคนตัวเล็กมาก สูง 152 หนัก แค่40 )
สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือมันจะยังไม่มีเยอะเหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นเรามีแค่โทรศัพท์บ้าน โจก็จะชอบไปหยอดตู้โทรศัพท์โทรหาเราตอนดึกๆประมาณว่าหยอด 1 บาทก็โทรคุยกันเป็นชั่วโมงๆเลยทีเดียว ..เราสองคนคุยกันอยู่แบบนั้นนานเป็นปีๆ เราสนิทกันมากขึ้น.เรารู้จักโจและรู้จักเพื่อนที่สนิทกับโจประมานสี่ห้าคน สมัยนั้นมันจะมีเด็กวัยรุ่นที่ชอบจับกลุ่มตั้งเป็นแกงค์อะไรประมาณนี้ พวกเพื่อนๆของโจก็ชอบชวนโจไปโน่นไปนี้แล้วก็มักจะมีเรื่องกลับมาบ่อยๆ เราเคยขอร้องโจเรื่องนี้หลายครั้ง สุดท้ายโจก็รับปากเรา...เราเชื่อโจนะเราบอกกับโจแบบนั้น...
### จนวันหนึ่ง...จู่ๆโจก็ขาดการติดต่อกับเราไปเกือบอาทิตย์ซึ่งมันผิดปกติมาก ปกติถ้าจะไม่ติดต่อมาอย่างมากก็ไม่เกินสามวัน
แล้ววันนั้น..เราจำได้มันเป็นวันพุธของเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เกือบเที่ยงคืนก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น..ตอนแรกน้องสาวเราเดินไปรับเพราะโทรศัพท์มันอยู่ใกล้กับห้องน้องสาว..แต่พอน้องสาวรับก็ไม่มีใครพูด น้องสาวเราก็เลยวาง..พอวางเสร็จเสียงโทรศัพท์นั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง..คราวนี้เราเป็นคนเดินไปรับ..
มันแปลกตรงที่เรายังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงพูดออกมาว่า... "พี่ปานทำอะไร..." "โจเหรอ?.." เราถามไป..
"โจเอง..พี่ปานทำอะไร..กินข้าวรึยัง.." โจถามเราด้วยน้ำเสียงเศร้าผิดปกตินิดหน่อย แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเพราะเราคิดว่าโจคงกลัวเราโกรธที่ไม่ได้ติดต่อมาหาเราหลายวัน ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่คุยกันนานมากเป็นชั่วโมงเลยล่ะ จนพ่อเราเดินมาบ่นเราถึงได้วางสายไป...
..###หลังจากนั้น คืนต่อมา
เป็นคืนวันพฤหัส ตอนห้าทุ่มเกือบๆจะเที่ยงคืน เสียงโทรศัพท์ก็มาอีก..เราก็นึกๆในใจว่าจะต้องเป็นโจแน่ๆที่โทรมา..เราก็เดินไปรับ..
ก็ใช่โจจริงๆด้วย..แต่วันนี้โจพูดจาแปลกๆ..โจบอกกับเราว่า. "พี่ป่าน..ถ้าวันหนึ่งโจหายไป..ไม่ติดต่อมา..พี่ป่านจะคิดถึงโจไหม.."
ตอนแรกเราก็อึ้งๆ แต่ก็ตอบปัดๆไปว่า..ไม่คิดถึงหรอก..จะคิดถึงทำไม ตอนนั้นเราตอบไปเพราะไม่ได้คิดอะไร...โจเงียบทันทีที่เราพูด เราก็เลยชวนโจพูดเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย...เราก็คุยกันเหมือนกับทุกๆคืน..คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย...
#### จนมาคืนที่สาม..เป็นคืนวันศุกร์ เวลาเดิม..ห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น..เราแน่ใจได้ทันทีว่าจะต้องเป็นโจแน่ๆเราเดินไปรับโทรศัพท์ปกติ แต่คืนนี้มันจะแปลกตรงที่โจ..จะพูดน้ำเสียงแปลกๆ..โจบอกเราว่า..."คิดถึงพี่ป่านจังเลย..อยากเจอ..พี่ป่านช่วยมากอดโจหน่อยได้ไหม.."
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าน้ำเสียงโจสั่นๆ..เราก็เลยบอกโจไปว่า..งั้นพรุ่งนี้เจอกันไหม.เพราะพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสารืแล้ว..นัดเจอกันที่เดิมก็ได้..
ตอนนั้นโจก็เงียบ..แล้วก็ตอบตกลงกับเรา.....พอตอนเช้าวันเสาร์เราก็รีบแต่งตัวอาบน้ำแต่เช้าเพราะเรารุ้สึกเป็นห่วงโจมากๆ..มากกว่าปกติที่เคยเป็นมา..
เราขับรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นรถเวฟ100 ธรรมดาๆระหว่างทางที่ขับเราจะต้องขับผ่านบ้านโจ เราสังเกตุเห็นว่าที่บ้านของโจมีคนอยู่เยอะมาก
ตอนนั้นหัวใจเรามันรู้สึกว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับคนในบ้านนี้แน่ๆ ตอนแรกเราคิดว่าเป็นยายของโจเพราะท่านแก่ตัวมากแล้ว..เราจอดรถแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน ตอนนั้นสายตาของทุกคนมองมาที่เราหมด เพื่อนๆของโจและญาติๆซึ่งโจมีญาติไม่เยอะมากนัก บ้านของโจเป็นบ้านไม้เก่าๆสองชั้น ข้างล่างเป็นใต้ถุนเปิดโล่ง เรามองเข้าไปเราเห็นเป็นโลงศพสีเหมือนโลหะซึ่งน่าจะเป็นโรงเก็บความเย็น ข้างหน้าเป็นรูปหน้าศพ..เพื่อนๆ.งQ_Q มันเป้นรูปของโจ!.
ตอนนั้นเรายังไม่เชื่อ..ไม่เชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็นต่อหน้า..ตัวเราแข็งทื่อมันชาไปหมดทั้งตัว..เพื่อนๆของโจมองหน้าเราบางคนก็ร้องไห้..บางคนก็เดินเข้ามากอดเรา.."พี่ป่าน..โจรอพี่นานมากเลยนะ.." พอพูดคำนั้นน้ำตาเรานี่ไหลพรากก..เราถามทุกคนว่ามันเกิดอะไรขึ้น..ไม่มีใครกล้าบอกเรา..
จนเราได้ตะคอกแหกปากเหมือนคนไร้สติ.."มันเกิดอะไรขึ้น!!!.." ถึงได้มีคนกล้าบอกเรา..
..ก่อนหน้าวันที่โจจะโทรหาเราวันพุธ ประมาณวันอาทิตย์มันมีงานวัดแถวๆหมู่บ้าน..วันนั้นโจกำลังจะออกมาโทรหาเรา..เพื่อที่จะชวนเรามาเที่ยวงานวัด แต่วันนั้นเพื่อนของโจดันมีเรื่องซ่ะก่อนเลยขอให้โจไปช่วย เพราะโจเป็นคนตัวใหญ่เด็กๆต่างถิ่นจะกลัวและเกรงใจโจมาก..ตอนแรกโจจะไม่ไป..แต่เพื่อนของโจขอร้อง โจบอกกับเพื่อนว่า..ถ้างั้นครั้งนี้ก็ขอเป็นครั้งสุดท้าย เพราะโจเคยให้คำสัญญากับเราว่าจะไม่ไปหาเรื่องหรือก่อเรื่องกับใครอีก..
..แต่คืนนั้น..คืนวันอาทิตย์โจก็ถูกแทงจนบาดเจ็บสาหัส...ตอนที่ถูกแทงเพื่อนๆก้พากัน พาโจไปส่งโรงพยาบาล โจบอกกับเพื่อนๆว่า อย่าให้ใครไปบอกพี่ป่านว่าโจโดนแทงไม่งั้นพี่ป่านจะโกรธ...Q_Q โจนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสามวัน จนในที่สุดโจก็เสียชีวิตตอนกลางดึกของวันอังคาร..
..ตอนนั้นเราเสียใจร้องไห้เหมือนคนขาดสติ..ในความคิดตอนนั้นมันเหมือนกับเรื่องนี้มันไม่ได้เกิดขึ้น..พอเราร้องไห้ทุกคนก็ร้องไห้ตามเรากันหมด
เรา..ทำใจไม่ได้...ตอนนั้นยายของโจบอกให้เราไปดูหน้าของโจเป็นครั้งสุดท้าย ยายบอกว่าก่อนสิ้นใจ โจก็ยังบอกกับยายว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเรา เพราะกลัวเราว่าจะโกรธที่โจไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเรา ตอนนั้นเรานั่งกอดยายร้องไห้ ยายบอกว่าที่แช่ศพของโจไว้แบบนี้เพราะรอวันที่เราจะมาหาโจ..ยายบอกว่าโจคงทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าไปบอกให้เรามาหาโจในวันนี้..Q_Q ..
.### หลังจากวันนั้น..ศพของโจก็ถูกนำไปเผาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนาทุกอย่างแล้ว เรายัทำใจไม่ได้ยังนั่งร้องไห้นึกถึงสามวันที่เราได้คุยกับโจ พอมานึกย้อนหลังแล้วเราไม่กลัวนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าเราน่าจะคุยกับโจให้นานกว่านั้น น่าจะคุยกับโจดีๆไม่คุยเอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น..
เรานั่งร้องไห้เสียใจอยู่บ้านไม่ได้ต้องไปอยู่กับยายที่ต่างหมู่บ้านเป็นอาทิตย์...พอเริ่มที่จะทำใจได้เราก็กลับมาที่บ้าน พอกลับมาถึงน้องสาวของเราก็เดินมาหาเราแล้วบอกกับเราว่า..ตอนประมาณเกือบเที่ยงคืนของทุกวันมีใครก็ไม่รุ้โทรมา พอรับก็ไม่มีคนพูด ตอนนั้นเรารู้สึกตกใจนิดหน่อยในใจลึกๆก็คิดว่าน่าจะเป็นโจรึเปล่า?..ตอนแรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อแต่ว่าจากสิ่งที่เราเจอมาทุกอย่างมันแทบจะไม่น่าเชื่อทั้งนั้น....แล้วในคืนนั้นเราก็มานั่งรอเลยห้าทุ่มกว่าเกือบจะเที่ยงคืน เราก็มานั่งรอ..รอรับโทรศัพท์ที่ว่านั่นว่ามันจะโทรมาจริงไหม...แล้วในที่สุดโทรศัพท์มันก็ดังขึ้นจริงๆ...ตอนแรกเรายังลังเลที่จะรับแต่เราก้แอบคิดว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้..พอราเดินไปรับมันก็ไม่มีเสียงคนพูด..มีแต่เสียงวี๊ดด.เหมือนเสียงสัญญานแทรกอะไรซักอย่างแล้วสายก็ตัดไป..
..แต่พอตัดไปเราวางยังไม่ทันที่เราจะวางสายสนิทเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง..พอเรารับสายคราวนี้ก็ไม่มีใครพูดอีก..แต่ว่ามันมีเสียงกุกๆกั๊กๆทางต้นสาย
แล้วจากนั้นเสียงหมาหอนข้างนอกบ้านก็ดังระงม...ตอนนั้นเราจำได้ไม่เคยลืมเพราะพอสิ้นเสียงหมาหอนเราก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว...
เราพูดออกไปคนเดียวเหมือนคนบ้า...ทั้งพูดทั้งน้ำตาไหล.."นั้นโจใช่ไหม.".เราถามไปทั้งๆที่ไม่มีคนตอบ..
"ถ้าเป็นโจอย่าพึ่งวางนะ....โจ..พี่ไม่ได้โกรธโจหรอกนะ...ไม่โกรธเรื่องที่โจไม่รักษาสัญญา..แต่โกรธว่าทำไมโจไม่บอกพี่.."
..เสียงทางต้นสายยังเงียบสนิท ได้ยินแค่เสียงเหมือนลมพัดเบาๆอยู่อีกฝั่งของต้นสาย..
"...วันนั้นที่ถามว่า..ถ้าโจหายไปพี่จะคิดถึงโจไหม...พี่ตอบเลยนะ..ว่าจะต้องคิดถึงโจมากแน่ๆ Q_Q..แต่ว่าต่อไปนี้โจไม่ต้องโทรมาหาพี่แล้วนะ
..ไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว.." พอพูดจบสายก็ตัดไป..ส่วนเราก็ทรุดตัวร้องไห้คนเดียวแบบนั้น..หลังจากนั้นเราก็ถอดสายโทรศัพท์นั่นออก..เป็นอาทิตย์กว่าเราจะยอมให้พ่อเสียบมันกลับเข้าไป...เราไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแต่ยายของโจน่าจะรู้เรื่องนี้..
###เรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าเหลือเชื่อมากๆจนวันนี้ผู้เขียนยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผู้เขียน
ยังจำได้ไม่เคยลืม ความคิดถึงความรู้สึกที่ผ่านมา ที่พิมพ์ไปเนี่ยก้พิมพ์ไปร้องไห้ไป....
***อยากบอกกับทุกคนว่า..การที่เรามีใครอยู่ข้างๆมีคนที่รักเรามันดีมากแค่ไหน..เราจะไม่นึกเสียใจเลยถ้าวันนั้นเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว..
..ผู้เขียนเอง..ก็นึกเสียใจจนถึงทุกวันนนี้ที่วันนั้นไม่ได้กอดเขาตามที่เขาขอร้อง....
***โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะค่ะ...Q_Q ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าอ่านจนจบ...
สายที่รอคอย (ผีที่รัก)
..เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นเราจำได้ว่าเราอยู่ ม.5..
..สมัยนั้นน่าจะยังไม่มีไลด์ไม่มีเฟสบุ๊คหรือถ้ามีเราก็ยังไม่รู้จักเท่าที่ควร
แต่มีโปรแกรมอยู่โปรแกรมหนึ่งที่เรารู้จักในสมัยนั้น โปรแกรมยอดฮิตของเด็ก ม.ปลาย
ในสมัยนั้น..นั่นก็คือ โปรแกรม MSM คิดว่าเพื่อนๆบางคนอาจจะรู้จักนะค่ะ..
..จำได้ว่าวันนั้นเป็นคาบเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ วันนั้นอาจารย์ไม่มาสอนพวกเราส่วนใหญ่ก็เลยพากันนั่งเล่นเกมส์บางคนก็นั่งเล่นแชทตามภาษา..
ส่วนเราเห็นเพื่อนๆเล่นเราก็อยากเล่นบ้าง..จะว่าไปวันนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เราหัดเล่นเอ็ม จำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนนั้นมันเล่นยังไง แต่ที่จำได้ พอสมัครเสร็จเราก็เอารูปของตัวเองลงตรงโปรไฟล์ พอนั่งไปซักพักก็มีใครคนนึงทักมาหาเราเด็งขึ้นมา..เขาทักเรามาว่า..
"สวัสดีคับ.." ตอนแรกเราตกใจมาก เพราะไม่เคยเล่นมาก่อน และอีกอย่างเราเป็นผู้หญิงพูดน้อยและไม่ค่อยจะสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่ก็จะใช้ไปกับการซ้อมกีฬาซ่ะมากกว่า (ลืมบอกไปว่าเราเป็นนักกีฬาโรงเรียน) พอเขาทักมาแบบนั้น ตอนแรกเราก็กะว่าจะไม่ตอบอะไรแล้ว แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ทำอะไร เลยหาอะไรทำข้ามเวลาเพื่อแก้เซ็ง....พอเขาทักมาเราเลยตอบกลับเขาไป.."ดี..." เขาถามเราว่าเราทำอะไร..
เราก็ตอบไปว่าเราเล่นคอมอยู่ แล้วเขาก็เริ่มชวนเราคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขาค่อนข้างจะเป็นคนคุยเก่งเลยทีเดียว..
เขาบอกเราว่าเขาชื่อ โจ เป็นเด็กกำพร้าอยู่กับยายแค่สองคน เราเริ่มรู้สึกว่า เราถูกชะตากับโจยังไงก็ไม่รู้ จะว่าไปโจก็เป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตเราก็ว่าได้ที่กล้าเข้ามาคุยกับเราแบบนี้ (ถึงจะไม่เห็นหน้าก็เถอะ..)...เรากับโจคุยกันแบบนั้นนานเป็นเดือนๆเลยล่ะ แต่แค่ชั่วโมงที่เรียนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนเท่านั้นนะ..แต่ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกๆที่เขาไม่เคยถามชื่อเราเลย...พอคุยกันมาเข้าเดือนที่สองโจก็บอกกับเราว่า..ความจริงเขาเองก็อยู่ จังหวัดเดียวกันกับเรา
นั่นแหล่ะ แค่อยู่คนล่ะหมู่บ้านห่างกันไม่ถึง 30 กิโลด้วยซ้ำ เขาบอกกับเราว่า เขาน่ะเคยเจอเราแล้วตอนที่โรงเรียนของเราจัดแข่งขัดกีฬาระดับเขตแล้วก็ระดับจังหวัด ด้วยความที่โจเป็นนักกีฬาฟุตบอล เราเองก็เป็นนักกีฬาตระกร้อและฟุตบอลทำให้เราเจอกันค่อนข้างบ่อยมาก..
ตอนแรกเราตกใจมากที่โจบอกเราแบบนั้น ที่แท้โจก็รู้จักเรามาก่อนหน้านี่ นี่เอง....
..เข้าเดือนที่สามที่คุยกัน จู่ๆวันหนึ่งโจก็ขอนัดพบเรา เราก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะยังไงเราก็คิดกับโจแค่เพื่อน เรานัดเจอกันที่เขื่อนริมโขงแห่งหนึ่งมันเป็นเขื่อนประจำหมู่บ้าน ตอนที่จะไปเจอเราก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน..พอไปเจอกันตอนนั้นเราตกใจมาก...
..โจเป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่มาก น่าจะ180 ได้ สูงหุ่นดีเลยล่ะ โจเป็นคนผิวคล้ำเพราะเล่นกีฬาหน้าตาของโจจะเป็นประมาณลูกครึ่งแขกอินเดียที่ผิวคล้ำหน้าตาคมๆ..เข้าขั้นหล่อในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ตอนที่ไปเจอกันโจออกจะเขินๆเราด้วยซ้ำ แล้วเราก็รู้วันนั้นเองว่าโจอายุน้อยกว่าเราหนึ่งปี..
...หลังจากนั้นเราสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น โจจะเรียกเราว่าพี่ป่าน (แต่เราเป็นคนตัวเล็กมาก สูง 152 หนัก แค่40 )
สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือมันจะยังไม่มีเยอะเหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นเรามีแค่โทรศัพท์บ้าน โจก็จะชอบไปหยอดตู้โทรศัพท์โทรหาเราตอนดึกๆประมาณว่าหยอด 1 บาทก็โทรคุยกันเป็นชั่วโมงๆเลยทีเดียว ..เราสองคนคุยกันอยู่แบบนั้นนานเป็นปีๆ เราสนิทกันมากขึ้น.เรารู้จักโจและรู้จักเพื่อนที่สนิทกับโจประมานสี่ห้าคน สมัยนั้นมันจะมีเด็กวัยรุ่นที่ชอบจับกลุ่มตั้งเป็นแกงค์อะไรประมาณนี้ พวกเพื่อนๆของโจก็ชอบชวนโจไปโน่นไปนี้แล้วก็มักจะมีเรื่องกลับมาบ่อยๆ เราเคยขอร้องโจเรื่องนี้หลายครั้ง สุดท้ายโจก็รับปากเรา...เราเชื่อโจนะเราบอกกับโจแบบนั้น...
### จนวันหนึ่ง...จู่ๆโจก็ขาดการติดต่อกับเราไปเกือบอาทิตย์ซึ่งมันผิดปกติมาก ปกติถ้าจะไม่ติดต่อมาอย่างมากก็ไม่เกินสามวัน
แล้ววันนั้น..เราจำได้มันเป็นวันพุธของเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เกือบเที่ยงคืนก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น..ตอนแรกน้องสาวเราเดินไปรับเพราะโทรศัพท์มันอยู่ใกล้กับห้องน้องสาว..แต่พอน้องสาวรับก็ไม่มีใครพูด น้องสาวเราก็เลยวาง..พอวางเสร็จเสียงโทรศัพท์นั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง..คราวนี้เราเป็นคนเดินไปรับ..
มันแปลกตรงที่เรายังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงพูดออกมาว่า... "พี่ปานทำอะไร..." "โจเหรอ?.." เราถามไป..
"โจเอง..พี่ปานทำอะไร..กินข้าวรึยัง.." โจถามเราด้วยน้ำเสียงเศร้าผิดปกตินิดหน่อย แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเพราะเราคิดว่าโจคงกลัวเราโกรธที่ไม่ได้ติดต่อมาหาเราหลายวัน ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่คุยกันนานมากเป็นชั่วโมงเลยล่ะ จนพ่อเราเดินมาบ่นเราถึงได้วางสายไป...
..###หลังจากนั้น คืนต่อมา
เป็นคืนวันพฤหัส ตอนห้าทุ่มเกือบๆจะเที่ยงคืน เสียงโทรศัพท์ก็มาอีก..เราก็นึกๆในใจว่าจะต้องเป็นโจแน่ๆที่โทรมา..เราก็เดินไปรับ..
ก็ใช่โจจริงๆด้วย..แต่วันนี้โจพูดจาแปลกๆ..โจบอกกับเราว่า. "พี่ป่าน..ถ้าวันหนึ่งโจหายไป..ไม่ติดต่อมา..พี่ป่านจะคิดถึงโจไหม.."
ตอนแรกเราก็อึ้งๆ แต่ก็ตอบปัดๆไปว่า..ไม่คิดถึงหรอก..จะคิดถึงทำไม ตอนนั้นเราตอบไปเพราะไม่ได้คิดอะไร...โจเงียบทันทีที่เราพูด เราก็เลยชวนโจพูดเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย...เราก็คุยกันเหมือนกับทุกๆคืน..คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย...
#### จนมาคืนที่สาม..เป็นคืนวันศุกร์ เวลาเดิม..ห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น..เราแน่ใจได้ทันทีว่าจะต้องเป็นโจแน่ๆเราเดินไปรับโทรศัพท์ปกติ แต่คืนนี้มันจะแปลกตรงที่โจ..จะพูดน้ำเสียงแปลกๆ..โจบอกเราว่า..."คิดถึงพี่ป่านจังเลย..อยากเจอ..พี่ป่านช่วยมากอดโจหน่อยได้ไหม.."
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าน้ำเสียงโจสั่นๆ..เราก็เลยบอกโจไปว่า..งั้นพรุ่งนี้เจอกันไหม.เพราะพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสารืแล้ว..นัดเจอกันที่เดิมก็ได้..
ตอนนั้นโจก็เงียบ..แล้วก็ตอบตกลงกับเรา.....พอตอนเช้าวันเสาร์เราก็รีบแต่งตัวอาบน้ำแต่เช้าเพราะเรารุ้สึกเป็นห่วงโจมากๆ..มากกว่าปกติที่เคยเป็นมา..
เราขับรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นรถเวฟ100 ธรรมดาๆระหว่างทางที่ขับเราจะต้องขับผ่านบ้านโจ เราสังเกตุเห็นว่าที่บ้านของโจมีคนอยู่เยอะมาก
ตอนนั้นหัวใจเรามันรู้สึกว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับคนในบ้านนี้แน่ๆ ตอนแรกเราคิดว่าเป็นยายของโจเพราะท่านแก่ตัวมากแล้ว..เราจอดรถแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน ตอนนั้นสายตาของทุกคนมองมาที่เราหมด เพื่อนๆของโจและญาติๆซึ่งโจมีญาติไม่เยอะมากนัก บ้านของโจเป็นบ้านไม้เก่าๆสองชั้น ข้างล่างเป็นใต้ถุนเปิดโล่ง เรามองเข้าไปเราเห็นเป็นโลงศพสีเหมือนโลหะซึ่งน่าจะเป็นโรงเก็บความเย็น ข้างหน้าเป็นรูปหน้าศพ..เพื่อนๆ.งQ_Q มันเป้นรูปของโจ!.
ตอนนั้นเรายังไม่เชื่อ..ไม่เชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็นต่อหน้า..ตัวเราแข็งทื่อมันชาไปหมดทั้งตัว..เพื่อนๆของโจมองหน้าเราบางคนก็ร้องไห้..บางคนก็เดินเข้ามากอดเรา.."พี่ป่าน..โจรอพี่นานมากเลยนะ.." พอพูดคำนั้นน้ำตาเรานี่ไหลพรากก..เราถามทุกคนว่ามันเกิดอะไรขึ้น..ไม่มีใครกล้าบอกเรา..
จนเราได้ตะคอกแหกปากเหมือนคนไร้สติ.."มันเกิดอะไรขึ้น!!!.." ถึงได้มีคนกล้าบอกเรา..
..ก่อนหน้าวันที่โจจะโทรหาเราวันพุธ ประมาณวันอาทิตย์มันมีงานวัดแถวๆหมู่บ้าน..วันนั้นโจกำลังจะออกมาโทรหาเรา..เพื่อที่จะชวนเรามาเที่ยวงานวัด แต่วันนั้นเพื่อนของโจดันมีเรื่องซ่ะก่อนเลยขอให้โจไปช่วย เพราะโจเป็นคนตัวใหญ่เด็กๆต่างถิ่นจะกลัวและเกรงใจโจมาก..ตอนแรกโจจะไม่ไป..แต่เพื่อนของโจขอร้อง โจบอกกับเพื่อนว่า..ถ้างั้นครั้งนี้ก็ขอเป็นครั้งสุดท้าย เพราะโจเคยให้คำสัญญากับเราว่าจะไม่ไปหาเรื่องหรือก่อเรื่องกับใครอีก..
..แต่คืนนั้น..คืนวันอาทิตย์โจก็ถูกแทงจนบาดเจ็บสาหัส...ตอนที่ถูกแทงเพื่อนๆก้พากัน พาโจไปส่งโรงพยาบาล โจบอกกับเพื่อนๆว่า อย่าให้ใครไปบอกพี่ป่านว่าโจโดนแทงไม่งั้นพี่ป่านจะโกรธ...Q_Q โจนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสามวัน จนในที่สุดโจก็เสียชีวิตตอนกลางดึกของวันอังคาร..
..ตอนนั้นเราเสียใจร้องไห้เหมือนคนขาดสติ..ในความคิดตอนนั้นมันเหมือนกับเรื่องนี้มันไม่ได้เกิดขึ้น..พอเราร้องไห้ทุกคนก็ร้องไห้ตามเรากันหมด
เรา..ทำใจไม่ได้...ตอนนั้นยายของโจบอกให้เราไปดูหน้าของโจเป็นครั้งสุดท้าย ยายบอกว่าก่อนสิ้นใจ โจก็ยังบอกกับยายว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเรา เพราะกลัวเราว่าจะโกรธที่โจไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเรา ตอนนั้นเรานั่งกอดยายร้องไห้ ยายบอกว่าที่แช่ศพของโจไว้แบบนี้เพราะรอวันที่เราจะมาหาโจ..ยายบอกว่าโจคงทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าไปบอกให้เรามาหาโจในวันนี้..Q_Q ..
.### หลังจากวันนั้น..ศพของโจก็ถูกนำไปเผาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนาทุกอย่างแล้ว เรายัทำใจไม่ได้ยังนั่งร้องไห้นึกถึงสามวันที่เราได้คุยกับโจ พอมานึกย้อนหลังแล้วเราไม่กลัวนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าเราน่าจะคุยกับโจให้นานกว่านั้น น่าจะคุยกับโจดีๆไม่คุยเอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น..
เรานั่งร้องไห้เสียใจอยู่บ้านไม่ได้ต้องไปอยู่กับยายที่ต่างหมู่บ้านเป็นอาทิตย์...พอเริ่มที่จะทำใจได้เราก็กลับมาที่บ้าน พอกลับมาถึงน้องสาวของเราก็เดินมาหาเราแล้วบอกกับเราว่า..ตอนประมาณเกือบเที่ยงคืนของทุกวันมีใครก็ไม่รุ้โทรมา พอรับก็ไม่มีคนพูด ตอนนั้นเรารู้สึกตกใจนิดหน่อยในใจลึกๆก็คิดว่าน่าจะเป็นโจรึเปล่า?..ตอนแรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อแต่ว่าจากสิ่งที่เราเจอมาทุกอย่างมันแทบจะไม่น่าเชื่อทั้งนั้น....แล้วในคืนนั้นเราก็มานั่งรอเลยห้าทุ่มกว่าเกือบจะเที่ยงคืน เราก็มานั่งรอ..รอรับโทรศัพท์ที่ว่านั่นว่ามันจะโทรมาจริงไหม...แล้วในที่สุดโทรศัพท์มันก็ดังขึ้นจริงๆ...ตอนแรกเรายังลังเลที่จะรับแต่เราก้แอบคิดว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้..พอราเดินไปรับมันก็ไม่มีเสียงคนพูด..มีแต่เสียงวี๊ดด.เหมือนเสียงสัญญานแทรกอะไรซักอย่างแล้วสายก็ตัดไป..
..แต่พอตัดไปเราวางยังไม่ทันที่เราจะวางสายสนิทเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง..พอเรารับสายคราวนี้ก็ไม่มีใครพูดอีก..แต่ว่ามันมีเสียงกุกๆกั๊กๆทางต้นสาย
แล้วจากนั้นเสียงหมาหอนข้างนอกบ้านก็ดังระงม...ตอนนั้นเราจำได้ไม่เคยลืมเพราะพอสิ้นเสียงหมาหอนเราก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว...
เราพูดออกไปคนเดียวเหมือนคนบ้า...ทั้งพูดทั้งน้ำตาไหล.."นั้นโจใช่ไหม.".เราถามไปทั้งๆที่ไม่มีคนตอบ..
"ถ้าเป็นโจอย่าพึ่งวางนะ....โจ..พี่ไม่ได้โกรธโจหรอกนะ...ไม่โกรธเรื่องที่โจไม่รักษาสัญญา..แต่โกรธว่าทำไมโจไม่บอกพี่.."
..เสียงทางต้นสายยังเงียบสนิท ได้ยินแค่เสียงเหมือนลมพัดเบาๆอยู่อีกฝั่งของต้นสาย..
"...วันนั้นที่ถามว่า..ถ้าโจหายไปพี่จะคิดถึงโจไหม...พี่ตอบเลยนะ..ว่าจะต้องคิดถึงโจมากแน่ๆ Q_Q..แต่ว่าต่อไปนี้โจไม่ต้องโทรมาหาพี่แล้วนะ
..ไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว.." พอพูดจบสายก็ตัดไป..ส่วนเราก็ทรุดตัวร้องไห้คนเดียวแบบนั้น..หลังจากนั้นเราก็ถอดสายโทรศัพท์นั่นออก..เป็นอาทิตย์กว่าเราจะยอมให้พ่อเสียบมันกลับเข้าไป...เราไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแต่ยายของโจน่าจะรู้เรื่องนี้..
###เรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าเหลือเชื่อมากๆจนวันนี้ผู้เขียนยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผู้เขียน
ยังจำได้ไม่เคยลืม ความคิดถึงความรู้สึกที่ผ่านมา ที่พิมพ์ไปเนี่ยก้พิมพ์ไปร้องไห้ไป....
***อยากบอกกับทุกคนว่า..การที่เรามีใครอยู่ข้างๆมีคนที่รักเรามันดีมากแค่ไหน..เราจะไม่นึกเสียใจเลยถ้าวันนั้นเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว..
..ผู้เขียนเอง..ก็นึกเสียใจจนถึงทุกวันนนี้ที่วันนั้นไม่ได้กอดเขาตามที่เขาขอร้อง....
***โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะค่ะ...Q_Q ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าอ่านจนจบ...