“น้ำผึ้งเดือน 5” เป็นของหายากและมีราคาแพง เนื่องจากการที่จะหาน้ำผึ้งเดือน 5 มาได้สักขวดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องเข้าป่าใหญ่ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน 1 คืน กว่าจะถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พรานผึ้งเรียกกันว่า “ต้นผึ้ง” ซึ้งเป็นต้นใหญ่มากลำต้นต้องใช้คนประมาณ 10 คนถึงจะโอบลำต้นได้รอบต้น
เมื่อ 20 ปีก่อน ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดพะเยา มีพรานผึ้งพร้อมพวก 5 คนออกเดินทางในยามเช้า ก่อนเข้าป่าแน่นอนว่าทุกคนต้องทำพิธีขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขา โดยการจุดธูปแล้วบอกกล่าวจุดประสงค์ ว่าขอเข้าไปหาน้ำผึ้งป่าแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตเท่านั้น
จากนั้นทุกคนก็เดินทางเข้าป่าลึก อย่างที่บอกใช้เวลา 2 วัน 1 คืนกว่าจะถึงต้นผึ้ง ระหว่างที่เดินทางเสบียงอาหารอาจจะไม่เพียงพอในขากลับ พรานผึ้งคนนึงจึงยิงสัตว์ป่าไปหลายตัวเพื่อให้มีอาหารเพียงพอ ซึ่งพรานผึ้งที่เป็นหัวหน้าก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่เพราะก่อนเข้ามาได้ขอเจ้าป่าเจ้าเขาว่าแค่มาเอาน้ำผึ้งเท่านั้น แต่ลูกน้องดันมายิงสัตว์ป่าเพิ่มแบบนี้โบราณถือว่าเป็นการ “ตระบัดสัตย์” อาจจะโดนอาถรรพ์เล่นงานได้
คนเป็นหัวหน้าก็ไม่อยากพูดมากเกรงว่าจะทะเลาะกัน ก็เลยเงียบๆไว้ คิดว่าเดี๋ยวค่อยขอขมาก็แล้วกัน ทั้งหมดพากันเดินมาจนถึงต้นผึ้ง ก็เป็นเวลาค่ำๆ ทุกคนเร่งจัดแจงสิ่งของที่ต้องใช้ แบ่งๆหน้าที่กัน โดยคนขึ้นต้นผึ้งจะต้องขึ้นไปตอกลูกทอยเป็นบันไดสำหรับขึ้นไปแค่คนเดียว ที่เหลือคอยสนับสนุนอยู่ด้านล่าง หลังจากเตรียมของเสร็จ ทุกคนก็มาจุดธูปไหว้ต้นผึ้งเพื่อขออนุญาต
แต่คราวนี้หลังจากบอกกล่าวเสร็จทุกคนก็ปักธูปที่ใต้ต้นไม้ แล้วทุกคนก็เห็นว่าธูปดอกนึง มันสั่น คือสั่นอยู่ดอกเดียว สั่นแรงขึ้นๆ จนล้มลงไป ทุกคนหันมามองหน้ากัน ต่างก็เริ่มรู้สึกไม่ดี พรานหัวหน้าก็ไปหยิบธูปที่ล้มมาปักใหม่แล้วพยายามบอกลูกน้องว่า “ไม่มีไรหรอก ทำงานกันต่อเถอะ”
พอเริ่มมืดได้ที่พรานผึ้งคนนึงก็เริ่มปีนต้นผึ้งโดยจะถือคบเพลิงไปด้วย สำหรับจุดไฟเมื่อขึ้นไปถึงแล้วตีคบเพลิงบริเวณรังผึ้ง เพื่อให้ฝุงผึ้งบินตามลูกไฟลงมาให้หมด พรานผึ้งคนที่ปีนก็คือคนที่ตระบัดสัตย์ไปล่าสัตว์ป่ามานั่นเอง ระหว่างปีนทุกคนก็ช่วยกันลุ้น พอพรานปีนขึ้นไปถึงก็ได้ยินเสียงนกเค้าแมว หรือนกฮูก ส่งเสียงร้องอยู่หลายตัวดังระงมไปทั่วบริเวณ
ทุกคนพากันยืนนิ่ง เพราะมาที่นี่หลายต่อหลายครั้งไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน พรานหัวหน้ารู้สึกกังวลจนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน
“มันไม่ชอบมาพากล” หัวหน้าพูดในลำคอ
“ไอ้จักษ์ๆ(นามสมมติ) ลงมาก่อนดีกว่า ข้ารู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ว่ะ ลงมาก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากัน” หัวหน้าตะโกนบอกพรานที่อยู่บนต้นไม้
“ทำไมล่ะหนาน อุตส่าห์ขึ้นมาถึงแล้วมันเสียเวลา ทำให้มันเสร็จๆเถอะ” พรานผึ้งตะโกนลงมา
พูดเสร็จพรานผึ้งก็จุดคบเพลิงแล้วฟาดใกล้ๆรังผึ้ง เสียงผึ้งทั้งฝุงบินแตกหึ่งลงมาตามลูกไฟ ทันใดนั้นเอง ก็มีลมพัดแรงมากแล้วพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้นไม้โอนเอน เสียงใบไม้ กิ่งไม้ในป่าเสียดสีกันดังไปทั้งป่า แล้วหัวหน้าก็ได้ยินเสียงแตกของกิ่งไม้บนต้นผึ้ง
“ระวังๆกิ่งไม้กำลังจะหัก หาที่หลบเร็ว” หัวหน้าตะโกนบอกลูกน้อง พากันวิ่งไปหลบ แล้วกิ่งไม้ก็หัก ภาพที่เห็นคือกิ่งไม้ที่พรานผึ้งนั่งค่อมอยู่นั่นแหละ หักลงมากระแทกพื้น แล้วก็มีเสียงคนหัวเราะ “หึ หึ หึ” ดังกังวานมาก ทุกคนขนลุกเกรียวเกาะกลุ่มกันอยู่ สักพักลมก็สงบลง ทุกคนจึงรีบวิ่งไปหาพรานผึ้ง
“ไอ้จักษ์ๆๆ” หัวหน้าเรียกพรานพร้อมเขย่าๆร่างเบาๆ แต่ไร้เสียงตอบรับ พรานจักษ์แน่นิ่งไปแล้ว จับชีพจรดูถึงรู้ว่าสายไปเสียแล้ว พรานจักษ์เสียชีวิตทันทีที่ตกถึงพื้น หัวหน้าจึงบอกกับลูกน้องให้ช่วยกันห่อศพพรานจักษ์ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับบ้าน ยามนี้อันตรายเกินไป ทุกคนจึงช่วยกันเอาผ้าขาวม้าคนละผืนมาห่อศพ แล้วนั่งรอจนเช้า ไม่มีใครกล้านอนกันสักคน เพราะยังรู้สึกผวากับสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงหัวหน้าคนเดียวเท่านั้นที่ขอนอนเอาแรง พอเคริ้มๆหัวหน้าได้ยินเสียงปริศนาดังขึ้น
“พรุ่งนี้พวกรีบเอาศพพวกของไปให้พ้นที่ของกูด้วย แล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก” หัวหน้าสะดุ้งตื่นแล้วรีบบอกบอกทุกคนเตรียมของให้พร้อม
รุ่งขึ้นทุกคนก็ช่วยกันแบกศพพรานจักษ์กลับบ้าน ต่างก็พากันเร่งฝีเท้าเพราะไม่อยากจะค้างคืนในป่าอีก ระหว่างเดินทางกลับ ทุกคนก็เห็น หมูป่าตัวเล็ก 2 ตัว กระรอก 2-3 ตัว นอนตายอยู่ข้างทาง ทุกคนก็นึกขึ้นได้ว่าสัตว์พวกนี้ถูกพรานจักษ์ใช้หน้าไม้ยิงทั้งนั้น แต่ยังไม่ตายทันทีคงทนพิษบาดแผลไม่ไหว ถึงได้มานอนตายอยู่แถวๆนี้
“มิน่า เจ้าป่าเจ้าเขาถึงโกรธได้ถึงขนาดนี้” หัวหน้าคิดในใจ แล้วรีบพาทุกคนออกจากป่าโดยเร็ว แบบไม่หยุดพักกินข้าวกันเลยทีเดียว กว่าจะออกเขตป่าใหญ่ได้ก็ราวๆเที่ยงคืนได้.
เรื่องราวก็จบลงเพียงเท่านี้ โปรดใช้วิจารณญาณกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ.
ตระบัดสัตย์