“โตขึ้นไปเป็นเจ้าคนนายคนนะ”
ประโยคที่ใคร ๆ ก็คงเคยได้ยินในฐานะคำอวยพรจากผู้ใหญ่
เรารู้ดีว่าประโยคเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาจะกดดันให้เราต้องเป็นอันดับหนึ่งในหน้าที่การงาน เพียงแค่เจตนาดี หวังให้เราได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วยเท่านั้นเอง
แต่เมื่อเข้าสู่โลกการทำงานจริง หลายสิ่งไม่ได้เป็นเหมือนที่เราเคยคิดไว้ บ้างเหน็ดเหนื่อยกับงาน บ้างเหน็ดเหนื่อยกับคน การเดินทางอันเร่งรีบ
ชีวิตหลังเลิกงานที่มีเพียงน้อยนิดที่เหลือให้ตัวเอง อาจทำให้เราเหน็ดเหนื่อยมากเสียจนไม่อยากรับผิดชอบอะไรไปมากกว่านี้ หรือบางคนมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ มากจนรู้สึกว่าการก้าวไปสูงกว่านี้ อาจทำให้ความสุขเหล่านั้นหายไป
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนทำงาน อาจพบเจอกับตัวเอง หรือพบในเพื่อนร่วมงานรอบตัว คือ ความรู้สึกไม่อยากเป็นหัวหน้า ทั้งที่วุฒิภาวะพร้อม ความสามารถพร้อม แต่ความต้องการของเราไม่ได้พร้อมตามไปด้วย
เพราะการขึ้นเป็นหัวหน้าหรือปรับตำแหน่งสูงขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงบันไดที่เราต้องปีนไปตามอายุงาน แต่ต้องแบกความรับผิดชอบที่มากขึ้นด้วย เลยอาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่พร้อมที่จะปีนขึ้นไป
[ วิจัยบอก เป็นหัวหน้าแล้วมีสุขขึ้น แต่ภาระงานก็มากตาม ]
ในปี 2014 Pew Research Center บอกตัวเลขที่น่าสนใจว่า คนที่เป็นหัวหน้านั้น มีความพึงพอใจต่องานถึง 69% ส่วนพนักงานมีความพึงพอใจเพียง 48% เท่านั้น ดูเหมือนว่าการก้าวเป็นหัวหน้าจะช่วยให้เรามีความสุขกับงานมากขึ้น
ในส่วนของชีวิตครอบครัว หัวหน้าก็มีความพึงพอใจถึง 83% ขณะที่พนักงานมีความพึงพอใจน้อยลงมา อยู่ที่ 74%
แต่ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่ กว่า 43% ของคนทำงาน ไม่อยากเป็นหัวหน้าหรือเจ้านายในสักวัน
แม้เราจะรู้ดีว่า การก้าวไปตำแหน่งที่สูงขึ้น มีแต่จะเพิ่มประโยชน์ให้กับอาชีพของเราในอนาคต แต่ในอีกแง่ มันก็ต้องแลกมากับหน้าที่ที่มากขึ้น ความรับผิดชอบที่มากขึ้น สิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้เรารู้สึกยังไม่พร้อม?
ไม่แปลกที่รุ่นพ่อแม่ของเรา มักจะมีไอเดีย ‘เจ้าคนนายคน’ เป็นเหมือนเป้าหมายในหน้าที่การงาน เพราะพวกเขาเติบโตมาด้วยทัศนคติแบบนั้น เชื่อว่าการเติบโตและขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในงานที่ทำ คือสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จ พวกเขาจึงไม่นิยมเปลี่ยนงานบ่อยนัก
ต่างจากชาวมิลเลนเนียล ที่เปลี่ยนงานบ่อยมากกว่า เพราะเชื่อในสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน จึงไม่แปลกเช่นกันที่คนรุ่นใหม่จะไม่เชื่อในไอเดีย ‘เจ้าคนนายคน’ มากนัก
[ หรือบางคนก็อาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นหัวหน้าจริง ๆ ? ]
ก่อนจะตัดสินใจว่าไปต่อหรือพอแค่นี้ เรามาสำรวจตัวเองกันให้ดีก่อนว่า สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกยังไม่อยากก้าวไปไหน เป็นเพราะเราพอใจกับจุดที่ยืนอยู่ หรือเพราะจุดที่ยืนอยู่มันไม่น่าไปต่อกันแน่
ลองมาจับสัญญาณที่บ่งบอกว่า เราอาจไม่เหมาะกับการเป็นหัวหน้าจริง ๆ ก็ได้
1. มองสิ่งนี้เป็นแค่งานไม่ใช่ชีวิต: อาจด้วยงานที่ทำอยู่ ไม่สามารถเติมเต็มความฝัน ความต้องการ ได้ครบทุกด้าน มุมมองที่มีต่องานนี้ จึงเป็นเพียงงานที่ทำแล้วได้เงิน ไม่ได้เป็นอาชีพที่ช่วยเติมไฟในตัวเรา จนเรามีความทะเยอะทะยานมากพอที่จะก้าวไปข้างหน้า
2. ไม่สามารถทำงานมากกว่านี้ได้: แค่ทำงาน 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ก็แทบจะยกธงขาวแล้ว ถ้าต้องทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ของปริมาณหรือความหลากหลาย แล้วรู้ตัวว่าไม่สามารถรับมือไหวแน่นอน การเป็นหัวหน้าก็อาจไม่ใช่คำตอบ
3. กลัวว่าทักษะจะดีไม่พอสำหรับตำแหน่ง: ตอนนี้เราอาจมีทักษะที่ดี ผลงานเข้าตา จนฝั่งบริหารเห็นแวว จองตัวไว้ให้เลื่อนตำแหน่ง แต่เราที่ยังไม่เคยไปอยู่จุดนั้นจริง ๆ อาจมีความไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวตัวเองเก่งไม่พอได้
4. ไม่อยากรับผิดชอบไปมากกว่านี้: เช่นเดียวกับเนื้องานที่มากขึ้น ความรับผิดชอบต่องานก็ต้องมากขึ้นด้วยเช่นกัน หรืออาจต้องใช้ทักษะที่ไม่ถนัด เช่น การบริหารทีม การสื่อสารกับทุกคนในทีม และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งเราอาจยังไม่เคยทำมาก่อน
[ โอกาสยังไม่ใช่หรือแค่ไม่กล้าออกจาก Safe Zone? ]
หากโอกาสมาถึง แต่ใจนึงก็ยังลังเล ลองสำรวจตัวเองดูก่อนว่า มันเป็นเพราะงานนี้ยังไม่ใช่งานที่ใช่ จนเราไม่กล้าไปต่อ หรือ เราพอใจกับจุดที่อยู่มากเสียจนไม่อยากก้าวไปทำอย่างอื่น ซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน และไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
แต่การก้าวไปสู่ความยากที่เพิ่มขึ้นอีกระดับ เป็นเหมือนการก้าวออกจาก Safe Zone ที่เราอยู่กับมันมาตลอด จนรู้สึกว่าแค่นี้ก็พอแล้วหรือเปล่านะ พอใจกับตรงนี้แล้วนี่ จะไปทำงานที่มันหนักทำไม ต้องเจอกับทั้งความเครียด ความกดดัน แต่การไม่ก้าวไปไหนเลยก็อาจทำให้เราอยู่ที่เดิมไปตลอด ไม่มีโอกาสได้พัฒนาตัวเองในสายงานนี้
อาจเพราะความยากในด่านต่อไปที่เรายังไม่เคยไปถึง ทำให้เราไม่กล้าเดินออกจาก Safe Zone ของตัวเอง แต่ถ้าหากเราลองพิจารณาอย่างรอบคอบ ถึงค่าตอบแทนที่ได้ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่แลกกับความยากลำบากของงาน แต่ยังหมายถึงการลับคมตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าเดิม ก็อาจช่วยให้เรามีมุมมองต่อการเลื่อนตำแหน่งต่างออกไปได้เช่นกัน
มุมมองต่อการทำงานจะยังคงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย ตามค่านิยมในสังคม ดังนั้น จงเลือกสิ่งที่เราต้องการและเหมาะกับเรา
สุดท้าย เราอาจต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่าง ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหน้าที่การงานด้วยจิตวิญญาณที่มอดไหม้กับความรับผิดชอบอันล้นมือ หรือ กลับบ้านไปให้อาหารแมวแล้วเอนหลังบนโซฟาตัวโปรด
ความสำเร็จของคุณเป็นหน้าตาแบบไหนกันล่ะ?
https://www.facebook.com/share/p/14ubGAkbuu/
ไม่อยากเป็นหัวหน้า เพราะ ไม่อยากมีภาระ หน้าที่ และ ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น
ประโยคที่ใคร ๆ ก็คงเคยได้ยินในฐานะคำอวยพรจากผู้ใหญ่
เรารู้ดีว่าประโยคเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาจะกดดันให้เราต้องเป็นอันดับหนึ่งในหน้าที่การงาน เพียงแค่เจตนาดี หวังให้เราได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วยเท่านั้นเอง
แต่เมื่อเข้าสู่โลกการทำงานจริง หลายสิ่งไม่ได้เป็นเหมือนที่เราเคยคิดไว้ บ้างเหน็ดเหนื่อยกับงาน บ้างเหน็ดเหนื่อยกับคน การเดินทางอันเร่งรีบ
ชีวิตหลังเลิกงานที่มีเพียงน้อยนิดที่เหลือให้ตัวเอง อาจทำให้เราเหน็ดเหนื่อยมากเสียจนไม่อยากรับผิดชอบอะไรไปมากกว่านี้ หรือบางคนมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ มากจนรู้สึกว่าการก้าวไปสูงกว่านี้ อาจทำให้ความสุขเหล่านั้นหายไป
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนทำงาน อาจพบเจอกับตัวเอง หรือพบในเพื่อนร่วมงานรอบตัว คือ ความรู้สึกไม่อยากเป็นหัวหน้า ทั้งที่วุฒิภาวะพร้อม ความสามารถพร้อม แต่ความต้องการของเราไม่ได้พร้อมตามไปด้วย
เพราะการขึ้นเป็นหัวหน้าหรือปรับตำแหน่งสูงขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงบันไดที่เราต้องปีนไปตามอายุงาน แต่ต้องแบกความรับผิดชอบที่มากขึ้นด้วย เลยอาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่พร้อมที่จะปีนขึ้นไป
[ วิจัยบอก เป็นหัวหน้าแล้วมีสุขขึ้น แต่ภาระงานก็มากตาม ]
ในปี 2014 Pew Research Center บอกตัวเลขที่น่าสนใจว่า คนที่เป็นหัวหน้านั้น มีความพึงพอใจต่องานถึง 69% ส่วนพนักงานมีความพึงพอใจเพียง 48% เท่านั้น ดูเหมือนว่าการก้าวเป็นหัวหน้าจะช่วยให้เรามีความสุขกับงานมากขึ้น
ในส่วนของชีวิตครอบครัว หัวหน้าก็มีความพึงพอใจถึง 83% ขณะที่พนักงานมีความพึงพอใจน้อยลงมา อยู่ที่ 74%
แต่ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่ กว่า 43% ของคนทำงาน ไม่อยากเป็นหัวหน้าหรือเจ้านายในสักวัน
แม้เราจะรู้ดีว่า การก้าวไปตำแหน่งที่สูงขึ้น มีแต่จะเพิ่มประโยชน์ให้กับอาชีพของเราในอนาคต แต่ในอีกแง่ มันก็ต้องแลกมากับหน้าที่ที่มากขึ้น ความรับผิดชอบที่มากขึ้น สิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้เรารู้สึกยังไม่พร้อม?
ไม่แปลกที่รุ่นพ่อแม่ของเรา มักจะมีไอเดีย ‘เจ้าคนนายคน’ เป็นเหมือนเป้าหมายในหน้าที่การงาน เพราะพวกเขาเติบโตมาด้วยทัศนคติแบบนั้น เชื่อว่าการเติบโตและขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในงานที่ทำ คือสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จ พวกเขาจึงไม่นิยมเปลี่ยนงานบ่อยนัก
ต่างจากชาวมิลเลนเนียล ที่เปลี่ยนงานบ่อยมากกว่า เพราะเชื่อในสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน จึงไม่แปลกเช่นกันที่คนรุ่นใหม่จะไม่เชื่อในไอเดีย ‘เจ้าคนนายคน’ มากนัก
[ หรือบางคนก็อาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นหัวหน้าจริง ๆ ? ]
ก่อนจะตัดสินใจว่าไปต่อหรือพอแค่นี้ เรามาสำรวจตัวเองกันให้ดีก่อนว่า สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกยังไม่อยากก้าวไปไหน เป็นเพราะเราพอใจกับจุดที่ยืนอยู่ หรือเพราะจุดที่ยืนอยู่มันไม่น่าไปต่อกันแน่
ลองมาจับสัญญาณที่บ่งบอกว่า เราอาจไม่เหมาะกับการเป็นหัวหน้าจริง ๆ ก็ได้
1. มองสิ่งนี้เป็นแค่งานไม่ใช่ชีวิต: อาจด้วยงานที่ทำอยู่ ไม่สามารถเติมเต็มความฝัน ความต้องการ ได้ครบทุกด้าน มุมมองที่มีต่องานนี้ จึงเป็นเพียงงานที่ทำแล้วได้เงิน ไม่ได้เป็นอาชีพที่ช่วยเติมไฟในตัวเรา จนเรามีความทะเยอะทะยานมากพอที่จะก้าวไปข้างหน้า
2. ไม่สามารถทำงานมากกว่านี้ได้: แค่ทำงาน 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ก็แทบจะยกธงขาวแล้ว ถ้าต้องทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ของปริมาณหรือความหลากหลาย แล้วรู้ตัวว่าไม่สามารถรับมือไหวแน่นอน การเป็นหัวหน้าก็อาจไม่ใช่คำตอบ
3. กลัวว่าทักษะจะดีไม่พอสำหรับตำแหน่ง: ตอนนี้เราอาจมีทักษะที่ดี ผลงานเข้าตา จนฝั่งบริหารเห็นแวว จองตัวไว้ให้เลื่อนตำแหน่ง แต่เราที่ยังไม่เคยไปอยู่จุดนั้นจริง ๆ อาจมีความไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวตัวเองเก่งไม่พอได้
4. ไม่อยากรับผิดชอบไปมากกว่านี้: เช่นเดียวกับเนื้องานที่มากขึ้น ความรับผิดชอบต่องานก็ต้องมากขึ้นด้วยเช่นกัน หรืออาจต้องใช้ทักษะที่ไม่ถนัด เช่น การบริหารทีม การสื่อสารกับทุกคนในทีม และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งเราอาจยังไม่เคยทำมาก่อน
[ โอกาสยังไม่ใช่หรือแค่ไม่กล้าออกจาก Safe Zone? ]
หากโอกาสมาถึง แต่ใจนึงก็ยังลังเล ลองสำรวจตัวเองดูก่อนว่า มันเป็นเพราะงานนี้ยังไม่ใช่งานที่ใช่ จนเราไม่กล้าไปต่อ หรือ เราพอใจกับจุดที่อยู่มากเสียจนไม่อยากก้าวไปทำอย่างอื่น ซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน และไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
แต่การก้าวไปสู่ความยากที่เพิ่มขึ้นอีกระดับ เป็นเหมือนการก้าวออกจาก Safe Zone ที่เราอยู่กับมันมาตลอด จนรู้สึกว่าแค่นี้ก็พอแล้วหรือเปล่านะ พอใจกับตรงนี้แล้วนี่ จะไปทำงานที่มันหนักทำไม ต้องเจอกับทั้งความเครียด ความกดดัน แต่การไม่ก้าวไปไหนเลยก็อาจทำให้เราอยู่ที่เดิมไปตลอด ไม่มีโอกาสได้พัฒนาตัวเองในสายงานนี้
อาจเพราะความยากในด่านต่อไปที่เรายังไม่เคยไปถึง ทำให้เราไม่กล้าเดินออกจาก Safe Zone ของตัวเอง แต่ถ้าหากเราลองพิจารณาอย่างรอบคอบ ถึงค่าตอบแทนที่ได้ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่แลกกับความยากลำบากของงาน แต่ยังหมายถึงการลับคมตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าเดิม ก็อาจช่วยให้เรามีมุมมองต่อการเลื่อนตำแหน่งต่างออกไปได้เช่นกัน
มุมมองต่อการทำงานจะยังคงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย ตามค่านิยมในสังคม ดังนั้น จงเลือกสิ่งที่เราต้องการและเหมาะกับเรา
สุดท้าย เราอาจต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่าง ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหน้าที่การงานด้วยจิตวิญญาณที่มอดไหม้กับความรับผิดชอบอันล้นมือ หรือ กลับบ้านไปให้อาหารแมวแล้วเอนหลังบนโซฟาตัวโปรด
ความสำเร็จของคุณเป็นหน้าตาแบบไหนกันล่ะ?
https://www.facebook.com/share/p/14ubGAkbuu/