พลังบารมีแห่งมารดา แก้จิตมาร
พลังบารมีแห่งมารดาแก้จิตมารได้ สามารถจูงพานำลูกได้ จะให้พาไปทางไหน
บางครั้งพ่อแม่ซ้ำเติมลูก พ่อแม่บางคนขัดใจไม่เข้าใจลูก คือ ขัดใจ จงใจให้เด็กยัวะ สร้างจิตมารในลูก ตามใจก็สร้างจิตมารในเด็ก ขัดใจอย่างเดียวก็สร้างจิตมารในเด็ก ลูกของเรา เราสร้างอะไรให้แก่เขา ถ้าเราเป็นแม่คิดกลับกันเลย เราจะรู้เลย เราเป็นแม่เราสร้างปมในใจอะไรให้เขา เวลานี้ยังมีมรดกกรรมตรงนี้อยู่ แล้วเราเป็นแม่รู้มั้ยว่าปมนี้ยังอยู่ในจิตของเขา แล้วปมนี้จะบงการเขามั้ย แล้วแม่รู้หรือยังว่าจะมีหน้าที่อะไร
เด็กเขามีจิตมาร เราต้องไปคุยให้ลูกได้เข้าใจ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วเอาไม้ฟาดหัวเขาแล้วเขาจะรู้เรื่อง เราต้องไปคุยกับลูกให้เข้าใจ เพราะถ้าเราไม่คุย ปมของเขาก็จะไม่สลาย พอไม่สลายก็จะถูกปมนี้บงการแล้วตัวเด็กจะไปถึงไหน เดี๋ยวเขามีลูกเขาก็จะสืบต่อกัน
พอเราเข้าใจเรามองออกว่าเด็กคนไหนติดปมอะไร พอเราไม่เคลียร์ปมก็จะถูกปมนั้นเล่นงาน เช่น ม้าตัวนี้ถูกบังเหียนนี้ก็จะควบแล่นตามตรงนี้บงการ
หน้าที่ของความเป็นแม่ต้องแก้ปมให้กับลูก ถ้าเราแก้ปมตรงนี้ได้นั่นแหละ หน้าที่แม่สมบูรณ์คำว่าแม่ ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะเป็นแม่ที่ยังไม่สมบูรณ์ ถึงแม้จะเลี้ยงลูกดียังไงก็ตาม แค่ครึ่งเดียว ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ต้องแก้ปมได้ เด็กจะไปถูกทาง ชีวิตเขาถึงจะสันติ ถ้าไม่ถูกทางชีวิตของลูกจะถูกทางได้อย่างไร เราลองย้อนกลับนะ
สมมติว่าตอนนี้เราเป็นแม่ เรามองกลับไปแล้วเราจะสงสารผัวของเรามากเลย มากเลย เวลานี้เราไม่มีอะไรเลยที่จะไปแค้นผัว เพราะว่าเราเข้าใจภูมิตรงนี้ ผัวเราน่าสงสารมาก (*ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกด้วยกันกับผัว และตอนนี้แยกทางกันต่างคนต่างอยู่ ส่วนผู้ชายไปมีเมียใหม่) แล้วเราจะไปแค้นเขาตรงไหน นี่แหละเป็นวิธีที่สลายความแค้นได้ เราไม่แค้นเลย สงสารเขาได้ เพราะว่าเรารู้ว่า ที่ผัวเป็นเช่นนั้นถูกทางมารทำร้าย ผัวเป็นคนน่าสงสารมาก เพราะว่าไม่มีคนเข้าใจเขาเลย สาเหตุที่ผัวเรามีนิสัยเป็นเช่นนี้ เพราะว่า สิ่งแวดล้อม พ่อแม่ของเขา หล่อหลอมให้เป็นเช่นนี้
กรณีเด็กคนหนึ่งอายุ ๓ ขวบ อยากมาเล่นกับแม่ โดยให้แม่มาป้อนกินข้าวแต่ป้อนแบบเปล่าๆ เล่นๆ ไม่มีของจริง เราก็ต้องป้อนเขากินข้าวตามที่เขาจินตนาการ
ผู้ที่เป็นพ่อแม่ เราต้องเล่นกับเขาแสดงว่าเราเข้าถึงความคิดของเขา แล้วอีกหน่อยเราก็จะรู้ และจะจูงเขาได้ เช่น ถ้าเราป้อนเขา เราก็บอกว่า ระวังนะ ปากอย่าเลอะนะ ต้องเช็ดปากด้วยนะ เพราะว่าอยู่ในจินตะ (จินตะ แปลว่า ความคิด) ของเขา แล้วเราก็เข้าไปในจินตะของเขา เป็นส่วนหนึ่งของเขา เราพูดอะไรไปเขาก็จะเข้าใจ เพราะในเมื่อเรามีตัวนี้ พอเขาโตมาเราก็เข้าไปในจินตะของเขาได้ แล้วก็คุยกับเขารู้เรื่อง คนอื่นคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แต่เราคุยกับเขารู้เรื่อง เห็นหน้าก็รู้ใจ มองอีกนิดก็รู้ทาง ถ้าคิดให้รอบคอบหน่อยปีศาจมาแล้ว ต้องรู้จักเอากุศลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ปาก กุศลๆ ไม่รู้ว่ากุศลคืออะไร กุศลก็คือ ภูมิปัญญานี่แหละ
เราต้องหมั่นคุยกับเขามากๆ ขึ้น หมั่นชี้ทาง หมั่นจูง หมั่นพูดถึงปมของเขา
สมมติตัวเรามีปม แล้วเราไม่คลาย เรายังแค้นผัว เหตุที่เราเปลี่ยนตัวนี้ได้ เพราะว่าเราเข้าใจเขาแล้ว ตัวปมนั้นเราได้แก้แล้ว จึงเกิดความเห็นใจเขา ตัวอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนมุมความคิดนี้ได้ คือ ปัญญา ปัญญาตรงนี้มาจากไหน มาจากกุศลพลังแห่งแม่
เราต้องตีความกุศลกับปัญญาให้ถูก เราอย่าไปตีความผิดนะ บางคนตีความว่ากุศลคือปัญญา ไม่ใช่นะ ฉะนั้น กุศลเป็นโอกาสให้ได้รับปัญญา ไม่ใช่ว่าในตัวของกุศลคือปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ คนทั่วไปยังเข้าใจผิด อย่างเช่น ครูอาจารย์พูดไปว่าทำแล้วได้กุศลคือปัญญา อย่างนี้ไม่ใช่ กุศลทำให้เกิดโอกาสให้ได้รับปัญญา
ซึ่งกุศลในความเป็นแม่ ในความเป็นแม่มีตัวอะไร ในความเป็นแม่จะต้องมีความเข้าใจ มีอะไรจะเข้าใจล่ะ เราเป็นแม่เราต้องให้อะไรก่อนเขาถึงจะเข้าใจสิ่งนั้นได้ ต้องให้มุฑิตา เมตตา ความรัก พอมีตรงนี้ก็จะเปิดโอกาสให้ได้รับรู้ปัญญาแห่งสายเมตตา มุฑิตา สายปัญญาแห่งการให้อภัย สายปัญญาแห่งความที่จะเอื้อ-เกื้อ-กัน แล้วสายปัญญาตัวนี้ไปแก้อะไรล่ะ ตรงข้ามกับอหังการ ตัวอาฆาต พยาบาท ตรงข้ามกันมั้ย อย่างที่บอกข้างตนว่า พลังบารมีแห่งมารดาแก้จิตมารได้ จิตมารลูกอาฆาตพยาบาท เราเป็นแม่ต้องมีตัวพวกนี้ถึงจะไปสลายตัวอาฆาตพยาบาทของลูกได้ เปลี่ยนมุมมองความคิด จากอาฆาตพยาบาท เราเป็นนางไม้ (แม่ที่ไม่ดี) กลายเป็นพระแม่ธรณี (มีจิตอุ้มชูลูก) เกิดความเห็นใจลูก เห็นใจผัว พอผัวมีความรับรู้ว่า ผู้เป็นแม่ของลูกเข้าใจเขา เขาก็จะดีขึ้นทุกวัน
พอเราเป็นแม่ได้ทำหน้าที่ทำให้เกิดภูมิปัญญา ถ้าเราไม่ได้ทำหน้าที่แล้วเราจะรับรู้ถึงภูมิปัญญาอย่างนั้นได้มั้ย ก็ไม่รู้จักว่าตรงนั้นเป็นภูมิปัญญา การสร้างกุศลคือการสร้างให้เรามีโอกาส ทำให้เรามีมุฑิตาจิต
เราสร้างกุศลก็เปรียบเสมือนกับให้เราได้ชิมน้ำตาล เราถึงจะรู้รสความหวานแห่งน้ำตาลได้ ถ้าเราไม่สร้างกุศลก็จะทำให้เราไม่มีสิทธิ์ตรงนี้ พอเราไม่มีสิทธิ์เราก็จะไม่ได้ชิมน้ำตาล เราก็ไม่รู้ว่ารสความหวานของน้ำตาลเป็นเช่นใด อันนั้นแหละไม่มีปัญญา สมมติว่าเรารู้แล้ว เรามีสิทธิ์แล้ว ไปชิมแห่งความเป็นเมตตาของมุฑิตาจิต พลังแห่งความเป็นแม่ เราก็จะมี ๓ ตัวนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจว่าเขาขาดอะไร เขาต้องการอะไร ปัญญาเราเกิดแล้ว แล้วเกิดอะไรต่อ พอปัญญาเรามีอย่างนี้เราทำแล้วก็จะไปแก้ตัวแค้น พอเรามีตัวนี้เราจะแค้นเขาลงมั้ย ก็ทำไม่ลง พอเรามีตัวนี้ทำให้เรากลับสงสารเขาใช่หรือไม่ เปลี่ยนจากจิตมารมาเป็นจิตเมตตาเลย นี่แหละเป็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่า สิ่งนี่แหละที่จะแก้ทุกข์ได้จริงๆ ถ้าเรามีปาฏิหาริย์ยังไงก็แก้ทุกข์ไม่ได้ ต่อให้มีพระธาตุมากองท่วมตัวเราก็แก้ทุกข์ไม่ได้ ตราบใดเรามีปัญญาตัวนี้เราถึงจะแก้ทุกข์ได้ ปัญญาตัวนี้คืออะไร คือสร้างกุศลให้มีสิทธิ์ที่จะไปรับพลังตรงข้ามกับพลังที่เลวร้ายที่เราจะแก้ ที่จะเกิดปัญญา ถ้าเราบอกว่า เราเกิดความอาฆาตพยาบาท "จะไปทุบหัว" แต่ถ้าเราเกิดความเมตตา เกิดความสงสาร แล้วเราจะไปทุบหัวเขาลงมั้ย ก็ไม่ลง นี่แหละแก้ได้เลย เราต้องไปห้ามเขาทำไม ทำอย่างนี้ไม่ดีไม่ต้อง เขาจะเกิดความสงสาร มีความเมตตาปั้บ เขาจะทำไม่ลงเองเลย สลายจิตมารมั้ย? เข้าใจหรือไม่
นี่แหละเป็นหัวใจ ที่จะแก้กรรม สลายกรรม สลายปมจิตมาร ปมแห่งความทุกข์ ปมแห่งความวิบากต่างๆ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ วิบากไหนแก้ได้หมด สลายได้หมดเข้าใจหรือไม่ ถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจถึงจุดตรงนี้ แล้วไม่พยายามทำจุดนี้ จุดไหนก็ได้แต่แค่กินยาแก้ปวด ไม่ใช่แก้ที่ต้นตอ นี่แก้ต้นตอเลย เราลองคิดนะว่า ถ้าผัวเรา สมมติว่าเวลานี้ เขาด่าเรา "อี
" เรายัวะขึ้นมา ตัวหนึ่งปั้บ ที่เขามาด่าเรา
เพราะว่าตอนนั้นไม่มีใครสอนเขา เขาถึง
อย่างนี้" แล้วเราจะยัวะ (熱 ยัวะ แปลว่า ร้อน มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว) ลงมั้ย ก็ทำไม่ลง แล้วจะกลายเป็นว่าเราแค้นเขามั้ย ก็ไม่แค้น นี่แหละก็จะสลายเลย จะแก้ได้อยู่เรื่อย แก้จิตมารคือปัญญาตัวนี้
อย่างเช่น ให้อภัยไม่ถือสาได้เลย ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมกูต้องให้อภัยมัน กูทำไมต้องไม่ถือสามัน ก็มันทำกูอ่ะ มันด่ากู ทำไมกูต้องให้อภัย ทำกูทำไมกูต้องไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าเรามองว่า ทำไมมันทำกูแต่เรามองไปถึงว่า สาเหตุที่มันทำกูเพราะว่าเขาน่าสงสาร ไม่มีใครสอนเขา เขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้มา ถามผัวเราอยากจะทำไหม? เพราะว่าเขาโดนมารครอบงำเขา แล้วเขาทำตามมาร น่าสงสารไหม? ก็จะกลับกลายจากยัวะมาเป็นสงสารเขา อยากช่วยเขา นี่แหละ สลายจิตมารมั้ย?
ถ้าเรามีจิตมารตัวนี้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เขาก็จะถูกเสี้ยมยุแหย่ พอเขาถูกเสี้ยมเขาก็จะทำประชดใช่มั้ย เขาก็จะทำตรงข้ามกับคำว่า "ดี" เคยมั้ย บอกว่าดี แต่กูจะทำตรงข้าม นี่แหละจิตมารมาเสี้ยมเราให้ทำ
วิธีแก้ไม่ใช่ ใช้วิธีความรุนแรง กล่าวหา ซ้ำเติม มันมีวิธีอื่นที่สามารถจูงเขาออกมาจากสิ่งที่ครอบงำเขาไว้ จากสิ่งที่เสี้ยมยุแหย่เขาได้ นั่นแหละเป็นการช่วยเหลือที่แท้จริง ไม่ใช่ผลักเข้าไปอยู่ข้างในตลอด แล้วบอกว่า ต้องทำดีๆ เขาจะทำดีได้ยังไงก็ในเมื่อเขาถูกครอบงำไว้ ไม่จูงออกมา คือไม่ช่วยเขาออกมาก่อน แต่ไปประณามเขา ยิ่งซ้ำเติมเขามั้ย พอเขาออกมาไม่ได้ พอเขาออกมาก็จะถูกประณามอยู่เรื่อย
สิ่งที่เราแก้ไขจิตมารไม่ได้เพราะว่า เราไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นจิตมารซ่อนอยู่ข้างในบงการเราได้ แล้วจะแก้ได้ยังไง เราต้องเข้าใจตัวที่จะสลายพลังเขาก่อน สลายความไม่มีสิทธิ์เขาก่อน พอเขาไม่มีสิทธิ์ เขาก็จะเปลี่ยนเอง เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ในธรรมปั้บ เขาต้องถอยล่ะ นี่แหละการแก้กรรมโดยวิถีแห่งธรรมชาติโดยธรรม
เรามาไหว้พ่อราหูหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงแต่สร้างสิทธิ์ เหมือนกับเราสร้างกุศลเพื่อให้ไปรับปัญญาตัวนี้ พอเราได้ปัญญาตัวนี้ก็อยู่ที่เราล่ะ เราจะเอาจิตของเราอยู่ภายใต้จิตมารเหมือนเดิม หรือจะให้ออกมาเป็นอิสระ เราจะไม่สลายมาร แต่เขาจะเปลี่ยนเอง เพราะเราสร้างสิทธิ์ตัวนี้สูงขึ้นมา สิทธิ์เขาก็อ่อนลง เขาก็ไม่มีพลังในธรรมที่จะมาทำอะไรเราได้ นี่คือวิธีแห่งธรรมชาติ วิถีแห่งธรรม นี่แหละพระพุทธเจ้าใช้วิธีนี้ถึงแก้กรรมต่างๆ วิบากของมนุษย์ได้ พระพุทธเจ้าอธิบายถึงเคล็ดลับตรงนี้ได้ ซึ่งไม่ใช่รู้กันง่ายๆ
ถ้าเราเอาอะไร ทำอะไรลงไปแล้ว เราอย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษตัวเรา เพราะเราตัดสินใจเอาอย่างนั้น คนอื่นเป็นเบื้องต้นเท่านั้นที่มาเสี้ยมที่มาบอกเรา แต่การตัดสินใจอยู่ที่เรา เพราะโดยธรรมเป็นเช่นนั้น ไม่มีใคร แม้แต่พระพุทธเจ้า ไม่มีบังคับเราได้เลย พ่อพรหมก็ไม่สามารถบังคับเราได้ เพราะว่าในธรรมป้องกันให้เกิดความยุติธรรมให้เรา
ถ้าสมมติว่าเราโดนสะกดจิตแล้วเราทำตามเขาล่ะ แล้วทำไมเราถึงให้เขาสะกดจิตเราได้ล่ะ ก็เพราะเราเปิดเอง แล้วถ้าบางครั้งจิตเราอ่อน แต่ถ้าจิตเราอ่อนก็เป็นเพราะเรา ถ้าจิตเราไม่อ่อนแล้วเขาจะสะกดเราได้มั้ย ก็ต้องโทษตัวเอง เพราะเราปล่อยให้จิตของเราอ่อนเอง
ถ้าหากว่าเราจิตอ่อนโดยที่เรายังไม่รู้ แล้วใครที่ไม่รู้ล่ะ ก็เพราะเรานั่นเองที่ไม่รู้ แล้วคนนั้นต้องตัดคอมั้ยล่ะ เพราะตัวมันเองยังไม่รู้ว่าตัวมันเองเป็นอะไร
ยกตัวอย่างอีก กรณีที่เขาเอาน้ำยาสารเคมีแล้วมาป้ายที่แขนเรา แล้วให้เราเกิดอาการมึน แล้วอย่างนี้จะโทษตัวเองได้มั้ย แล้วทำไมเราถึงโดนป้ายสารเคมีล่ะ ก็เพราะว่าเรามีวิบากกับเขา ก็เป็นเพราะเราทั้งนั้น
สมมติว่า เรารู้แล้วล่ะว่า เรามีวิบาก เรารีบแก้วิบากนี้ก่อน แล้วคนบางคนดันเอาสารเคมีมาป้ายเรา เรารู้เราบอกว่า อย่ามาป้ายกูนะ เดี๋ยวกูจะกระทืบนะ เขาก็จะเผ่นเลย เพราะว่าเราแก้วิบากไว้ก่อน เขาก็ไม่มีโอกาสมาทำร้ายเราได้ เขาไม่มีสิทธิ์ ทำให้เรารู้ก่อนเราจะกระทืบเขาก่อนได้ อยู่ที่ใคร อยู่ที่เรา และปมนี้คือปฐมเหตุ
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
พลังบารมีแห่งมารดา แก้จิตมาร
พลังบารมีแห่งมารดาแก้จิตมารได้ สามารถจูงพานำลูกได้ จะให้พาไปทางไหน
บางครั้งพ่อแม่ซ้ำเติมลูก พ่อแม่บางคนขัดใจไม่เข้าใจลูก คือ ขัดใจ จงใจให้เด็กยัวะ สร้างจิตมารในลูก ตามใจก็สร้างจิตมารในเด็ก ขัดใจอย่างเดียวก็สร้างจิตมารในเด็ก ลูกของเรา เราสร้างอะไรให้แก่เขา ถ้าเราเป็นแม่คิดกลับกันเลย เราจะรู้เลย เราเป็นแม่เราสร้างปมในใจอะไรให้เขา เวลานี้ยังมีมรดกกรรมตรงนี้อยู่ แล้วเราเป็นแม่รู้มั้ยว่าปมนี้ยังอยู่ในจิตของเขา แล้วปมนี้จะบงการเขามั้ย แล้วแม่รู้หรือยังว่าจะมีหน้าที่อะไร
เด็กเขามีจิตมาร เราต้องไปคุยให้ลูกได้เข้าใจ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วเอาไม้ฟาดหัวเขาแล้วเขาจะรู้เรื่อง เราต้องไปคุยกับลูกให้เข้าใจ เพราะถ้าเราไม่คุย ปมของเขาก็จะไม่สลาย พอไม่สลายก็จะถูกปมนี้บงการแล้วตัวเด็กจะไปถึงไหน เดี๋ยวเขามีลูกเขาก็จะสืบต่อกัน
พอเราเข้าใจเรามองออกว่าเด็กคนไหนติดปมอะไร พอเราไม่เคลียร์ปมก็จะถูกปมนั้นเล่นงาน เช่น ม้าตัวนี้ถูกบังเหียนนี้ก็จะควบแล่นตามตรงนี้บงการ
หน้าที่ของความเป็นแม่ต้องแก้ปมให้กับลูก ถ้าเราแก้ปมตรงนี้ได้นั่นแหละ หน้าที่แม่สมบูรณ์คำว่าแม่ ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะเป็นแม่ที่ยังไม่สมบูรณ์ ถึงแม้จะเลี้ยงลูกดียังไงก็ตาม แค่ครึ่งเดียว ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ต้องแก้ปมได้ เด็กจะไปถูกทาง ชีวิตเขาถึงจะสันติ ถ้าไม่ถูกทางชีวิตของลูกจะถูกทางได้อย่างไร เราลองย้อนกลับนะ
สมมติว่าตอนนี้เราเป็นแม่ เรามองกลับไปแล้วเราจะสงสารผัวของเรามากเลย มากเลย เวลานี้เราไม่มีอะไรเลยที่จะไปแค้นผัว เพราะว่าเราเข้าใจภูมิตรงนี้ ผัวเราน่าสงสารมาก (*ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกด้วยกันกับผัว และตอนนี้แยกทางกันต่างคนต่างอยู่ ส่วนผู้ชายไปมีเมียใหม่) แล้วเราจะไปแค้นเขาตรงไหน นี่แหละเป็นวิธีที่สลายความแค้นได้ เราไม่แค้นเลย สงสารเขาได้ เพราะว่าเรารู้ว่า ที่ผัวเป็นเช่นนั้นถูกทางมารทำร้าย ผัวเป็นคนน่าสงสารมาก เพราะว่าไม่มีคนเข้าใจเขาเลย สาเหตุที่ผัวเรามีนิสัยเป็นเช่นนี้ เพราะว่า สิ่งแวดล้อม พ่อแม่ของเขา หล่อหลอมให้เป็นเช่นนี้
กรณีเด็กคนหนึ่งอายุ ๓ ขวบ อยากมาเล่นกับแม่ โดยให้แม่มาป้อนกินข้าวแต่ป้อนแบบเปล่าๆ เล่นๆ ไม่มีของจริง เราก็ต้องป้อนเขากินข้าวตามที่เขาจินตนาการ
ผู้ที่เป็นพ่อแม่ เราต้องเล่นกับเขาแสดงว่าเราเข้าถึงความคิดของเขา แล้วอีกหน่อยเราก็จะรู้ และจะจูงเขาได้ เช่น ถ้าเราป้อนเขา เราก็บอกว่า ระวังนะ ปากอย่าเลอะนะ ต้องเช็ดปากด้วยนะ เพราะว่าอยู่ในจินตะ (จินตะ แปลว่า ความคิด) ของเขา แล้วเราก็เข้าไปในจินตะของเขา เป็นส่วนหนึ่งของเขา เราพูดอะไรไปเขาก็จะเข้าใจ เพราะในเมื่อเรามีตัวนี้ พอเขาโตมาเราก็เข้าไปในจินตะของเขาได้ แล้วก็คุยกับเขารู้เรื่อง คนอื่นคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แต่เราคุยกับเขารู้เรื่อง เห็นหน้าก็รู้ใจ มองอีกนิดก็รู้ทาง ถ้าคิดให้รอบคอบหน่อยปีศาจมาแล้ว ต้องรู้จักเอากุศลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ปาก กุศลๆ ไม่รู้ว่ากุศลคืออะไร กุศลก็คือ ภูมิปัญญานี่แหละ
เราต้องหมั่นคุยกับเขามากๆ ขึ้น หมั่นชี้ทาง หมั่นจูง หมั่นพูดถึงปมของเขา
สมมติตัวเรามีปม แล้วเราไม่คลาย เรายังแค้นผัว เหตุที่เราเปลี่ยนตัวนี้ได้ เพราะว่าเราเข้าใจเขาแล้ว ตัวปมนั้นเราได้แก้แล้ว จึงเกิดความเห็นใจเขา ตัวอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนมุมความคิดนี้ได้ คือ ปัญญา ปัญญาตรงนี้มาจากไหน มาจากกุศลพลังแห่งแม่
เราต้องตีความกุศลกับปัญญาให้ถูก เราอย่าไปตีความผิดนะ บางคนตีความว่ากุศลคือปัญญา ไม่ใช่นะ ฉะนั้น กุศลเป็นโอกาสให้ได้รับปัญญา ไม่ใช่ว่าในตัวของกุศลคือปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ คนทั่วไปยังเข้าใจผิด อย่างเช่น ครูอาจารย์พูดไปว่าทำแล้วได้กุศลคือปัญญา อย่างนี้ไม่ใช่ กุศลทำให้เกิดโอกาสให้ได้รับปัญญา
ซึ่งกุศลในความเป็นแม่ ในความเป็นแม่มีตัวอะไร ในความเป็นแม่จะต้องมีความเข้าใจ มีอะไรจะเข้าใจล่ะ เราเป็นแม่เราต้องให้อะไรก่อนเขาถึงจะเข้าใจสิ่งนั้นได้ ต้องให้มุฑิตา เมตตา ความรัก พอมีตรงนี้ก็จะเปิดโอกาสให้ได้รับรู้ปัญญาแห่งสายเมตตา มุฑิตา สายปัญญาแห่งการให้อภัย สายปัญญาแห่งความที่จะเอื้อ-เกื้อ-กัน แล้วสายปัญญาตัวนี้ไปแก้อะไรล่ะ ตรงข้ามกับอหังการ ตัวอาฆาต พยาบาท ตรงข้ามกันมั้ย อย่างที่บอกข้างตนว่า พลังบารมีแห่งมารดาแก้จิตมารได้ จิตมารลูกอาฆาตพยาบาท เราเป็นแม่ต้องมีตัวพวกนี้ถึงจะไปสลายตัวอาฆาตพยาบาทของลูกได้ เปลี่ยนมุมมองความคิด จากอาฆาตพยาบาท เราเป็นนางไม้ (แม่ที่ไม่ดี) กลายเป็นพระแม่ธรณี (มีจิตอุ้มชูลูก) เกิดความเห็นใจลูก เห็นใจผัว พอผัวมีความรับรู้ว่า ผู้เป็นแม่ของลูกเข้าใจเขา เขาก็จะดีขึ้นทุกวัน
พอเราเป็นแม่ได้ทำหน้าที่ทำให้เกิดภูมิปัญญา ถ้าเราไม่ได้ทำหน้าที่แล้วเราจะรับรู้ถึงภูมิปัญญาอย่างนั้นได้มั้ย ก็ไม่รู้จักว่าตรงนั้นเป็นภูมิปัญญา การสร้างกุศลคือการสร้างให้เรามีโอกาส ทำให้เรามีมุฑิตาจิต
เราสร้างกุศลก็เปรียบเสมือนกับให้เราได้ชิมน้ำตาล เราถึงจะรู้รสความหวานแห่งน้ำตาลได้ ถ้าเราไม่สร้างกุศลก็จะทำให้เราไม่มีสิทธิ์ตรงนี้ พอเราไม่มีสิทธิ์เราก็จะไม่ได้ชิมน้ำตาล เราก็ไม่รู้ว่ารสความหวานของน้ำตาลเป็นเช่นใด อันนั้นแหละไม่มีปัญญา สมมติว่าเรารู้แล้ว เรามีสิทธิ์แล้ว ไปชิมแห่งความเป็นเมตตาของมุฑิตาจิต พลังแห่งความเป็นแม่ เราก็จะมี ๓ ตัวนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจว่าเขาขาดอะไร เขาต้องการอะไร ปัญญาเราเกิดแล้ว แล้วเกิดอะไรต่อ พอปัญญาเรามีอย่างนี้เราทำแล้วก็จะไปแก้ตัวแค้น พอเรามีตัวนี้เราจะแค้นเขาลงมั้ย ก็ทำไม่ลง พอเรามีตัวนี้ทำให้เรากลับสงสารเขาใช่หรือไม่ เปลี่ยนจากจิตมารมาเป็นจิตเมตตาเลย นี่แหละเป็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่า สิ่งนี่แหละที่จะแก้ทุกข์ได้จริงๆ ถ้าเรามีปาฏิหาริย์ยังไงก็แก้ทุกข์ไม่ได้ ต่อให้มีพระธาตุมากองท่วมตัวเราก็แก้ทุกข์ไม่ได้ ตราบใดเรามีปัญญาตัวนี้เราถึงจะแก้ทุกข์ได้ ปัญญาตัวนี้คืออะไร คือสร้างกุศลให้มีสิทธิ์ที่จะไปรับพลังตรงข้ามกับพลังที่เลวร้ายที่เราจะแก้ ที่จะเกิดปัญญา ถ้าเราบอกว่า เราเกิดความอาฆาตพยาบาท "จะไปทุบหัว" แต่ถ้าเราเกิดความเมตตา เกิดความสงสาร แล้วเราจะไปทุบหัวเขาลงมั้ย ก็ไม่ลง นี่แหละแก้ได้เลย เราต้องไปห้ามเขาทำไม ทำอย่างนี้ไม่ดีไม่ต้อง เขาจะเกิดความสงสาร มีความเมตตาปั้บ เขาจะทำไม่ลงเองเลย สลายจิตมารมั้ย? เข้าใจหรือไม่
นี่แหละเป็นหัวใจ ที่จะแก้กรรม สลายกรรม สลายปมจิตมาร ปมแห่งความทุกข์ ปมแห่งความวิบากต่างๆ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ วิบากไหนแก้ได้หมด สลายได้หมดเข้าใจหรือไม่ ถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจถึงจุดตรงนี้ แล้วไม่พยายามทำจุดนี้ จุดไหนก็ได้แต่แค่กินยาแก้ปวด ไม่ใช่แก้ที่ต้นตอ นี่แก้ต้นตอเลย เราลองคิดนะว่า ถ้าผัวเรา สมมติว่าเวลานี้ เขาด่าเรา "อี " เรายัวะขึ้นมา ตัวหนึ่งปั้บ ที่เขามาด่าเรา เพราะว่าตอนนั้นไม่มีใครสอนเขา เขาถึง อย่างนี้" แล้วเราจะยัวะ (熱 ยัวะ แปลว่า ร้อน มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว) ลงมั้ย ก็ทำไม่ลง แล้วจะกลายเป็นว่าเราแค้นเขามั้ย ก็ไม่แค้น นี่แหละก็จะสลายเลย จะแก้ได้อยู่เรื่อย แก้จิตมารคือปัญญาตัวนี้
อย่างเช่น ให้อภัยไม่ถือสาได้เลย ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมกูต้องให้อภัยมัน กูทำไมต้องไม่ถือสามัน ก็มันทำกูอ่ะ มันด่ากู ทำไมกูต้องให้อภัย ทำกูทำไมกูต้องไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าเรามองว่า ทำไมมันทำกูแต่เรามองไปถึงว่า สาเหตุที่มันทำกูเพราะว่าเขาน่าสงสาร ไม่มีใครสอนเขา เขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้มา ถามผัวเราอยากจะทำไหม? เพราะว่าเขาโดนมารครอบงำเขา แล้วเขาทำตามมาร น่าสงสารไหม? ก็จะกลับกลายจากยัวะมาเป็นสงสารเขา อยากช่วยเขา นี่แหละ สลายจิตมารมั้ย?
ถ้าเรามีจิตมารตัวนี้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เขาก็จะถูกเสี้ยมยุแหย่ พอเขาถูกเสี้ยมเขาก็จะทำประชดใช่มั้ย เขาก็จะทำตรงข้ามกับคำว่า "ดี" เคยมั้ย บอกว่าดี แต่กูจะทำตรงข้าม นี่แหละจิตมารมาเสี้ยมเราให้ทำ
วิธีแก้ไม่ใช่ ใช้วิธีความรุนแรง กล่าวหา ซ้ำเติม มันมีวิธีอื่นที่สามารถจูงเขาออกมาจากสิ่งที่ครอบงำเขาไว้ จากสิ่งที่เสี้ยมยุแหย่เขาได้ นั่นแหละเป็นการช่วยเหลือที่แท้จริง ไม่ใช่ผลักเข้าไปอยู่ข้างในตลอด แล้วบอกว่า ต้องทำดีๆ เขาจะทำดีได้ยังไงก็ในเมื่อเขาถูกครอบงำไว้ ไม่จูงออกมา คือไม่ช่วยเขาออกมาก่อน แต่ไปประณามเขา ยิ่งซ้ำเติมเขามั้ย พอเขาออกมาไม่ได้ พอเขาออกมาก็จะถูกประณามอยู่เรื่อย
สิ่งที่เราแก้ไขจิตมารไม่ได้เพราะว่า เราไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นจิตมารซ่อนอยู่ข้างในบงการเราได้ แล้วจะแก้ได้ยังไง เราต้องเข้าใจตัวที่จะสลายพลังเขาก่อน สลายความไม่มีสิทธิ์เขาก่อน พอเขาไม่มีสิทธิ์ เขาก็จะเปลี่ยนเอง เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ในธรรมปั้บ เขาต้องถอยล่ะ นี่แหละการแก้กรรมโดยวิถีแห่งธรรมชาติโดยธรรม
เรามาไหว้พ่อราหูหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงแต่สร้างสิทธิ์ เหมือนกับเราสร้างกุศลเพื่อให้ไปรับปัญญาตัวนี้ พอเราได้ปัญญาตัวนี้ก็อยู่ที่เราล่ะ เราจะเอาจิตของเราอยู่ภายใต้จิตมารเหมือนเดิม หรือจะให้ออกมาเป็นอิสระ เราจะไม่สลายมาร แต่เขาจะเปลี่ยนเอง เพราะเราสร้างสิทธิ์ตัวนี้สูงขึ้นมา สิทธิ์เขาก็อ่อนลง เขาก็ไม่มีพลังในธรรมที่จะมาทำอะไรเราได้ นี่คือวิธีแห่งธรรมชาติ วิถีแห่งธรรม นี่แหละพระพุทธเจ้าใช้วิธีนี้ถึงแก้กรรมต่างๆ วิบากของมนุษย์ได้ พระพุทธเจ้าอธิบายถึงเคล็ดลับตรงนี้ได้ ซึ่งไม่ใช่รู้กันง่ายๆ
ถ้าเราเอาอะไร ทำอะไรลงไปแล้ว เราอย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษตัวเรา เพราะเราตัดสินใจเอาอย่างนั้น คนอื่นเป็นเบื้องต้นเท่านั้นที่มาเสี้ยมที่มาบอกเรา แต่การตัดสินใจอยู่ที่เรา เพราะโดยธรรมเป็นเช่นนั้น ไม่มีใคร แม้แต่พระพุทธเจ้า ไม่มีบังคับเราได้เลย พ่อพรหมก็ไม่สามารถบังคับเราได้ เพราะว่าในธรรมป้องกันให้เกิดความยุติธรรมให้เรา
ถ้าสมมติว่าเราโดนสะกดจิตแล้วเราทำตามเขาล่ะ แล้วทำไมเราถึงให้เขาสะกดจิตเราได้ล่ะ ก็เพราะเราเปิดเอง แล้วถ้าบางครั้งจิตเราอ่อน แต่ถ้าจิตเราอ่อนก็เป็นเพราะเรา ถ้าจิตเราไม่อ่อนแล้วเขาจะสะกดเราได้มั้ย ก็ต้องโทษตัวเอง เพราะเราปล่อยให้จิตของเราอ่อนเอง
ถ้าหากว่าเราจิตอ่อนโดยที่เรายังไม่รู้ แล้วใครที่ไม่รู้ล่ะ ก็เพราะเรานั่นเองที่ไม่รู้ แล้วคนนั้นต้องตัดคอมั้ยล่ะ เพราะตัวมันเองยังไม่รู้ว่าตัวมันเองเป็นอะไร
ยกตัวอย่างอีก กรณีที่เขาเอาน้ำยาสารเคมีแล้วมาป้ายที่แขนเรา แล้วให้เราเกิดอาการมึน แล้วอย่างนี้จะโทษตัวเองได้มั้ย แล้วทำไมเราถึงโดนป้ายสารเคมีล่ะ ก็เพราะว่าเรามีวิบากกับเขา ก็เป็นเพราะเราทั้งนั้น
สมมติว่า เรารู้แล้วล่ะว่า เรามีวิบาก เรารีบแก้วิบากนี้ก่อน แล้วคนบางคนดันเอาสารเคมีมาป้ายเรา เรารู้เราบอกว่า อย่ามาป้ายกูนะ เดี๋ยวกูจะกระทืบนะ เขาก็จะเผ่นเลย เพราะว่าเราแก้วิบากไว้ก่อน เขาก็ไม่มีโอกาสมาทำร้ายเราได้ เขาไม่มีสิทธิ์ ทำให้เรารู้ก่อนเราจะกระทืบเขาก่อนได้ อยู่ที่ใคร อยู่ที่เรา และปมนี้คือปฐมเหตุ
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์