บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/37907148
ความเดินตอนที่แล้ว
ชายหนุ่มและครอบครัว ที่กำลังมีปํญหาเรื่องความสัมพันธ์กัน พาครอบครัวไปพักร้อนชายทะเล
แต่แล้วเมื่อความมืดมาเยือน เขาก็พบว่าสมาชิกในครอบครัว พากันหายไปหมดหมดสิ้น แม้แต่สุนัข
.......................
เสียงลูกสาวดังแว่วมาจากไกลแสนไกล ผมสะดุ้งตื่นจากอาการตกอยู่ในภวังค์จมในความเศร้าจนเคลิ้มหลับไป สายตาเลือนรางเห็นร่างน้อยในชุดนอนปลิวไสวกลางความมืด ดวงหน้าหม่นเศร้า ปากขยับไปมาเหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ความมืดห้อมล้อมกระชากดูดกลืนเธอกลับไปจนหมดในเวลาไม่กี่วินาที
สติสัมปชัญญะของผมตื่นตัวกะทันหัน ลูกสาวคงมาเตือนอะไรสักอย่าง ผมไม่ได้ฝันไป
......................
นั่นไง ...เทียนกำลังจะหมดเล่ม ความมืดมันกำลังคืบคลานเข้าหาอย่างอย่างหิวกระหาย ดูเอาเถิด.... เธอยังอุตส่าห์เป็นห่วง ผมคำรามในใจอย่างโกรธแค้น
ไฟฉายยังมีแสงสว่างเหลือพอ ผมวิ่งไปยังรถซึ่งจอดอยู่ข้างบ้าน โชคดีว่ารถไม่ได้หายไปไหน ความมืดอุบาทว์คงไม่ชอบสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ รสนิยมของมันชอบสิ่งมีชีวิต ท้ายรถมีถังน้ำมันสำรอง ผมจัดการเทน้ำมันออกมาราดรอบบ้านและในบ้านจนหมดถัง คำรามกระหึ่มในลำคอ ไอ้ความมืดนรก....! แกพรากทุกอย่างไปจากฉัน เอาสิวะ....ดูว่าแกจะทำอะไรได้อีก ฉันจะสู้กับแกจนวินาทีสุดท้าย
“คุณจะทำอะไร...”
เสียงของความมืดดังอยู่ในหัว ผมแน่ใจว่าเป็นเสียงของมัน เพราะการรับรู้เหมือนไม่ได้ผ่านโสตประสาทสัมผัสธรรมดา แต่ราวกับว่ามันยัดเข้ามาในความรู้สึก ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะมันลั่นขึ้นมาโดยตรงในจิตใจ ผมพยายามข่มอารมณ์ลงด้วยความหวังที่แทบไม่มีหวังสักน้อยนิด เจรจากับตัวเองราวคนบ้า
“คืนวรดาและลูกของฉันคืนมา” ผมพูดออกไปด้วยคำพูดของมนุษย์ อยากให้แน่ใจว่ามันจะรับรู้
“คุณอยากให้เธอหายไปไม่ใช่เหรอ” เสียงถามในหัวอีก
“ฉันเคยคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ ของเธอเป็นลูกและเมียของฉัน ได้โปรดคืนพวกเธอคืนมา...”
“พวกเธอมีความสุขดี อยู่กับพวกเรา ไม่ต้องทนทรมานกับคำว่าชีวิตอีกต่อไป คุณเองก็ควรจะไปอยู่กับครอบครัว พวกเขารอคุณอยู่ เรามีเพื่อนฝูงมากมาย คุณจะไม่มีวันเหงาในโลกแห่งความมืด พวกเราคือแห่ลงแห่งถูมิปัญญาไร้ขีดจำกัด พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณได้รับเลือกทำไมไม่ยอมรับข้อเสนอ เพียงก้าวออกไปสู่ความมืดเท่านั้น คุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา เป็นอมตะตลอดกาล ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย มันโลกในฝันของคนหลายคน ทำไมต้องปฏิเสธต่อต้านด้วย”
“ฉันเพียงอยากมีชีวิตธรรมดา แบบธรรมดา คืนพวกเขาคืนมา” ผมคุกเข่าลงบนพิ้นในท่าทางยอมสยบ จะให้ทำอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ชีวิตแบบเดิมกลับคืนมา แต่หลังจากนั้นไม่มีเสียงบ้าบออะไรในหัวสมองอีก รู้ทันทีว่าการร้องขอไร้ผล
ได้เลย....ผมคิดในใจอย่างคลั่งแค้นจนสติกระเจิดกระเจิง ไม่ว่าแกจะยิ่งใหญ่เพียงไร ฉันจะสู้กับแกด้วยเรี่ยวแรงของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งให้ถึงที่สุด ไม้ขีดอยู่ในมือเตรียมพร้อมเมื่อผมลุกขึ้นอีกครั้ง ต่อไปนี้จะไม่มีวันคุกเข่าให้กับเจ้าความมืดนรกอีก
เมื่อไม้ขีดจุดติดไฟขึ้น บ้านทั้งหลังกลายเป็นกองเพลิงลุกโชติช่วงเผาผลาญความมืดรอบด้าน มันอาจไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยก็อาจเป็นทางเดียวในการแสดงให้มันเห็นว่าผมไม่ได้งอมืองอเท้ารอมันมาเล่นงานได้ง่าย ๆ ทุกคราเมื่อเปลวไฟสะบัดเปลวลุกโชน พวกมันพากันหัวหดถดถอยหนีอย่างประหวั่นพรั่นพรึงต่อแสงสว่างและความร้อนแรง แกก็กลัวเป็นเหมือนกัน เจ้าความมืดนรก!
บ้านทั้งหลังติดไฟลุกโชน สว่างเจิดจ้า นานพอจนถึงเวลาแสงเงินแสงทองแรกส่องฟากฟ้า
"ความมืดเล่นงาน.....บ้าชัด ๆ..."
จิตแพทย์หนุ่มพึมพำ หลังปิดสมุดบันทึกของคนไข้ ในช่วงเย็นของวันสุดสัปดาห์ในห้องทำงานส่วนตัว บริเวณชั้นล่างของอาคารใหญ่ นั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ข้อความในบันทึกเหมือนคนบ้าเขียนมากกว่าจะเป็นคนปกติ หรือไม่ก็เป็นนิยายเรื่องหนึ่ง แต่ถ้า... ลองคิดแบบคนบ้าเล่น ๆ ดู
ความมืดจะมีชีวิตได้อย่างไร ถ้าเป็นจริงทำไมมันไม่กลืนกินสรรพสิ่งในโลกให้หมดไปในคราวเดียว หรือว่าถ้ามันมีชีวิตจริงมันจะมีวิธีการเลือกเหยื่ออย่างเหมาะสมด้วยวิธีการ และจุดประสงค์เร้นลับอะไรบางอย่าง คิดเพียงแค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะฟุ้งซ่านแล้วเหมือนกัน
คนไข้เจ้าของบันทึกหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่มีพายุฝน ไฟฟ้าดับลงเป็นครั้งแรกในรอบปี สถาบันทางจิตอยู่ในสภาพวุ่นวายพอสมควร แต่ทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้ในที่สุดเมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้งในสิบนาทีต่อมา มีเพียงคนไข้ทางจิตเจ้าของบันทึกฉบับนี้ที่หายไปจากห้องอย่างลึกลับ
เขานึกถึงวันแรกในการรับมอบตัวคนไข้รายนี้ ความจริงเขาตกเป็นผู้ต้องหาวางเพลิงเผาบ้านพักตากอากาศชายทะเล และเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายไปของคนในครอบครัว ไม่มีใครพบศพของภรรยาและลูกของเขา คำให้การของเขาฟังดูประหลาดเหลือเชื่อ แต่เครื่องจับเท็จรายงานว่าเขาพูดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า
ใครล่ะจะเชื่อ... ที่เชื่อกันคือพวกคนบ้าทำให้เรื่องบ้าบอเป็นเรื่องจริงได้ในความคิดของพวกหมอ ในเมื่อทุกคนคิดว่าใครบางคนเป็นฆาตกรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะข่าวลือ ความจริง การเติมเสริมแต่ง ความเชื่อนั้นจะถูกตอกฝังลงไปในความคิด จนเหตุผลใดก็ยากจะงัดแงะออกมาให้พิจารณาหาเหตุผลเที่ยงธรรมได้ง่าย อิทธิพลของความเชื่อทำให้ระนาบแห่งความเที่ยงธรรมเอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดเสมอ มือเผาบ้านถูกส่งมาแผนกจิตวิเคราะห์แห่งนี้เพื่อหาข้อมูลไปประกอบการพิจารณาคดี
คนไข้รายนี้อ้อนวอนขอไม้ขีด เทียนไข ไฟฉาย ไว้ในห้อง แน่ล่ะ..ใครจะไปยอมให้ไฟกับคนเผาบ้านพักจนวายวอด วันดีคืนดีเกิดแกนึกสนุกเผาตึกเล่นใครจะรับผิดชอบ เขาถูกกักตัวในห้องบำบัด ถูกนำตัวเข้าตรวจวัดสภาพจิตใจ ผลการตรวจวัดยังไม่สรุปผล แต่เขาดูหวาดกลัวมากกว่าจะทำร้ายตนเองหรือใครได้
ในคืนที่แล้วไฟดับ เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่มียามรักษาการณ์เฝ้าดูอยู่หลายคน ประตูล็อคจากด้านนอกแน่นหนา ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเขาหายไปได้อย่างไร นอกจากจะระเหยกลายเป็นไอ
จิตแพทย์หนุ่มเดินไปชะโงกดูทางหน้าต่าง ความมืดเริ่มมาเยือนอย่างรวดเร็วแต่แสงไฟสว่างตามหมู่ตึกเรียงรายรอบล้อมทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่โดดเดี่ยว ความสว่างกระจ่างชัดดูอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าความมืด คุณหมอมองไม่เห็นคนในหมู่ตึก แต่รู้ว่ามีคนมากมายกำลังดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของตัวเอง ทุกข์สุขอย่างไรยากจะหยั่งรู้ การคิดแบบนั้นทำให้ไม่รู้สึกว่าอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังในโลก
ห้องทำงานมีหน้าต่างเปิดออกไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากอยู่มุมตัวอาคารพอดี มองออกไปจากหน้าต่างสองด้าน เห็นแสงไฟไล่เรียงรายสูงต่ำตามสภาพอาคารบ้านเรือน แต่ทำไมด้านทิศตะวันตกดำมืดอย่างน่าประหลาด มันเป็นความมืดแบบไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสมาก่อน มืดยิ่งกว่าคืนเดือนมืด
หมอหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองอย่างเงียบงัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแปลก ๆ โดยไม่มีเหตุผล ความเย็นยะเยียบชนิดหนึ่งกำลังบรรจงกดลงบนบ่า ค่อยไหลลงไปตามแผ่นหลังอย่างเชื่องช้า เป็นความรู้สึกสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจอันหวาดกลัวหรืออย่างไร
ตึกสูงหลายสิบชั้นหลังหนึ่งที่มองเห็นไฟสว่างทั่วตึก จู่ ๆ ไฟสว่างที่ทั้งตึกก็ดับวูบลง
จิตแพทย์มองดูอย่างแปลกใจแกมงุนงง
อาจเป็นได้ว่าไฟฟ้าดับทั้งตึกเป็นเหตุการณ์ไม่บ่อยและไม่น่าจะเกิด ไม่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ไฟฟ้าดับลงได้อย่างไร แถมฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างเสียด้วย เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า มันดำมืดจนน่ากลัว และบางส่วนยังคล้ายเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีแมงกะพรุนยักษ์สีดำข้นบนฟากฟ้า เกลียวแห่งความมืดดำคล้ายบิดม้วนไปมาอย่างน่าสยดสยอง
ไม่มีแสงสายฟ้า ไม่มีเสียงคำรามของลมพายุ
เขานึกถึงเรื่องในสมุดบันทึกของคนไข้ จะมีใครเชื่อสิ่งที่คนบ้าเขียน มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะอ่านดูแล้วมันบ้ายิ่งกว่าบ้า ความมืดก็คือสภาพการมีวัตถุทึบแสงมาบังแสงสว่างเท่านั้น จะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร อย่าว่าแต่มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีตัวตนอะไรเลย
แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ เขาอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้… ความมืดมีชีวิตกำลังคืบคลานมา กลืนกินมนุษยชาติโดยจุดประสงค์ที่ยากต่อการเข้าใจ
ด้านทิศตะวันตก ไฟเคยเห็นสว่างตามตึกอาคารบ้านเรือนต่างทยอยดับลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดหน้าต่างทางทิศตะวันตกก็เหลือเพียงฉากดำคลี่ทิ้งตัวลงมาปกคลุมจนหมดสิ้น
กว่าจะรู้ตัวจิตแพทย์หนุ่มก็พบว่าตัวเองกำลังควานหาเทียนไข ไม้ขีดไฟ ในลิ้นชักเป็นการใหญ่ บางอย่างมากับความมืดทำให้เขารู้สึกตัวเย็นเฉียบอย่างไม่มีเหตุผล แสงไฟบนเพดานยังสว่างไม่ได้ดับลงอย่างที่วิตกกังวล แต่แสงของมันดูสลัวเลือนรางอย่างประหลาด ถ้าตาไม่ฝาดหรือไม่คิดมากเกินไป เขาคิดว่าเห็นละอองแห่งความมืดรั่วไหลเข้ามาทางหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ
เขามีเทียนไขอยู่กล่องหนึ่งกับไม้ขีดไฟ จึงจับมาวางบนโต๊ะ จะจุดเทียนตอนนี้ก็รู้สึกละอายใจกับการกระทำอันดูแล้วไม่ต่างคนคนบ้าเท่าไรนัก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจจุดเทียนด้วยมือสั่นระริก
มองออกไปทางหน้าต่าง ม่านราตรีโรยรายปรายโปรยลงมารุกไล่กลืนกินหมู่ตึก อาคารบ้านเรือน อย่างหิวกระหาย แสงไฟเริ่มดับไล่มาจากด้านตะวันตกอย่างน่ากลัว เขานึกอะไรขึ้นมาได้ รีบปราดไปยังโทรศัพท์กดเบอร์โทรออกไปยังบ้านที่มีภรรยาและลูกชายหญิง ก็เหมือนครอบครัวธรรมดาอื่น สิบกว่าปีกับการรับบทของความเป็นพ่อ และการพยายามทำหน้าที่ของสามี ทุกข์บ้างสุขบ้างว่ากันไป
“คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ” เสียงภรรยาแว่วมาตามสาย “รู้สึกว่าวันนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ กว่าทุกวัน”
“อะไรที่ว่าแปลก” เขากลั้นใจถาม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
“ฝนทำท่าจะตก ฟ้าดำมืดมาเชียว แต่แปลกนะคะ ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือฟ้าแลบอย่างเคยเห็น ทุกอย่างมันดูเงียบแบบบอกไม่ถูก คุณรีบกลับมาเถอะค่ะ”
เสียงของเธอมีแววร้อนรนปนประหลาดใจ เขารีบกรอกเสียงสวนกลับไป
“คุณหาไฟฉาย ตะเกียง เทียนไข หรืออะไรก็ได้ จุดไฟให้สว่างเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เปิดไฟทุกดวงในบ้าน ผมจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้”
“มีอะไรหรือคะ”
“ทำตามที่ผมบอกเถอะ มันอธิบายตอนนี้ไม่ได้ รอผมในบ้าน อย่าออกไปไหน” เขาพูดเสียงดัง จนรู้สึกตกใจกับตัวเอง
จู่ ๆ โทรศัพท์เงียบกริบเหมือนสายขาด....เขายืนถือหูโทรศัพท์ยืนค้างนิ่งเนิ่นนาน แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นไปได้ อะไรบางอย่างกำลังพยายามให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกบอกอย่างนั้น
.
ความมืด .........4
https://ppantip.com/topic/37907148
ความเดินตอนที่แล้ว
ชายหนุ่มและครอบครัว ที่กำลังมีปํญหาเรื่องความสัมพันธ์กัน พาครอบครัวไปพักร้อนชายทะเล
แต่แล้วเมื่อความมืดมาเยือน เขาก็พบว่าสมาชิกในครอบครัว พากันหายไปหมดหมดสิ้น แม้แต่สุนัข
.......................
เสียงลูกสาวดังแว่วมาจากไกลแสนไกล ผมสะดุ้งตื่นจากอาการตกอยู่ในภวังค์จมในความเศร้าจนเคลิ้มหลับไป สายตาเลือนรางเห็นร่างน้อยในชุดนอนปลิวไสวกลางความมืด ดวงหน้าหม่นเศร้า ปากขยับไปมาเหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ความมืดห้อมล้อมกระชากดูดกลืนเธอกลับไปจนหมดในเวลาไม่กี่วินาที
สติสัมปชัญญะของผมตื่นตัวกะทันหัน ลูกสาวคงมาเตือนอะไรสักอย่าง ผมไม่ได้ฝันไป
......................
นั่นไง ...เทียนกำลังจะหมดเล่ม ความมืดมันกำลังคืบคลานเข้าหาอย่างอย่างหิวกระหาย ดูเอาเถิด.... เธอยังอุตส่าห์เป็นห่วง ผมคำรามในใจอย่างโกรธแค้น
ไฟฉายยังมีแสงสว่างเหลือพอ ผมวิ่งไปยังรถซึ่งจอดอยู่ข้างบ้าน โชคดีว่ารถไม่ได้หายไปไหน ความมืดอุบาทว์คงไม่ชอบสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ รสนิยมของมันชอบสิ่งมีชีวิต ท้ายรถมีถังน้ำมันสำรอง ผมจัดการเทน้ำมันออกมาราดรอบบ้านและในบ้านจนหมดถัง คำรามกระหึ่มในลำคอ ไอ้ความมืดนรก....! แกพรากทุกอย่างไปจากฉัน เอาสิวะ....ดูว่าแกจะทำอะไรได้อีก ฉันจะสู้กับแกจนวินาทีสุดท้าย
“คุณจะทำอะไร...”
เสียงของความมืดดังอยู่ในหัว ผมแน่ใจว่าเป็นเสียงของมัน เพราะการรับรู้เหมือนไม่ได้ผ่านโสตประสาทสัมผัสธรรมดา แต่ราวกับว่ามันยัดเข้ามาในความรู้สึก ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะมันลั่นขึ้นมาโดยตรงในจิตใจ ผมพยายามข่มอารมณ์ลงด้วยความหวังที่แทบไม่มีหวังสักน้อยนิด เจรจากับตัวเองราวคนบ้า
“คืนวรดาและลูกของฉันคืนมา” ผมพูดออกไปด้วยคำพูดของมนุษย์ อยากให้แน่ใจว่ามันจะรับรู้
“คุณอยากให้เธอหายไปไม่ใช่เหรอ” เสียงถามในหัวอีก
“ฉันเคยคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ ของเธอเป็นลูกและเมียของฉัน ได้โปรดคืนพวกเธอคืนมา...”
“พวกเธอมีความสุขดี อยู่กับพวกเรา ไม่ต้องทนทรมานกับคำว่าชีวิตอีกต่อไป คุณเองก็ควรจะไปอยู่กับครอบครัว พวกเขารอคุณอยู่ เรามีเพื่อนฝูงมากมาย คุณจะไม่มีวันเหงาในโลกแห่งความมืด พวกเราคือแห่ลงแห่งถูมิปัญญาไร้ขีดจำกัด พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณได้รับเลือกทำไมไม่ยอมรับข้อเสนอ เพียงก้าวออกไปสู่ความมืดเท่านั้น คุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา เป็นอมตะตลอดกาล ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย มันโลกในฝันของคนหลายคน ทำไมต้องปฏิเสธต่อต้านด้วย”
“ฉันเพียงอยากมีชีวิตธรรมดา แบบธรรมดา คืนพวกเขาคืนมา” ผมคุกเข่าลงบนพิ้นในท่าทางยอมสยบ จะให้ทำอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ชีวิตแบบเดิมกลับคืนมา แต่หลังจากนั้นไม่มีเสียงบ้าบออะไรในหัวสมองอีก รู้ทันทีว่าการร้องขอไร้ผล
ได้เลย....ผมคิดในใจอย่างคลั่งแค้นจนสติกระเจิดกระเจิง ไม่ว่าแกจะยิ่งใหญ่เพียงไร ฉันจะสู้กับแกด้วยเรี่ยวแรงของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งให้ถึงที่สุด ไม้ขีดอยู่ในมือเตรียมพร้อมเมื่อผมลุกขึ้นอีกครั้ง ต่อไปนี้จะไม่มีวันคุกเข่าให้กับเจ้าความมืดนรกอีก
เมื่อไม้ขีดจุดติดไฟขึ้น บ้านทั้งหลังกลายเป็นกองเพลิงลุกโชติช่วงเผาผลาญความมืดรอบด้าน มันอาจไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยก็อาจเป็นทางเดียวในการแสดงให้มันเห็นว่าผมไม่ได้งอมืองอเท้ารอมันมาเล่นงานได้ง่าย ๆ ทุกคราเมื่อเปลวไฟสะบัดเปลวลุกโชน พวกมันพากันหัวหดถดถอยหนีอย่างประหวั่นพรั่นพรึงต่อแสงสว่างและความร้อนแรง แกก็กลัวเป็นเหมือนกัน เจ้าความมืดนรก!
บ้านทั้งหลังติดไฟลุกโชน สว่างเจิดจ้า นานพอจนถึงเวลาแสงเงินแสงทองแรกส่องฟากฟ้า
"ความมืดเล่นงาน.....บ้าชัด ๆ..."
จิตแพทย์หนุ่มพึมพำ หลังปิดสมุดบันทึกของคนไข้ ในช่วงเย็นของวันสุดสัปดาห์ในห้องทำงานส่วนตัว บริเวณชั้นล่างของอาคารใหญ่ นั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ข้อความในบันทึกเหมือนคนบ้าเขียนมากกว่าจะเป็นคนปกติ หรือไม่ก็เป็นนิยายเรื่องหนึ่ง แต่ถ้า... ลองคิดแบบคนบ้าเล่น ๆ ดู
ความมืดจะมีชีวิตได้อย่างไร ถ้าเป็นจริงทำไมมันไม่กลืนกินสรรพสิ่งในโลกให้หมดไปในคราวเดียว หรือว่าถ้ามันมีชีวิตจริงมันจะมีวิธีการเลือกเหยื่ออย่างเหมาะสมด้วยวิธีการ และจุดประสงค์เร้นลับอะไรบางอย่าง คิดเพียงแค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะฟุ้งซ่านแล้วเหมือนกัน
คนไข้เจ้าของบันทึกหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่มีพายุฝน ไฟฟ้าดับลงเป็นครั้งแรกในรอบปี สถาบันทางจิตอยู่ในสภาพวุ่นวายพอสมควร แต่ทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้ในที่สุดเมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้งในสิบนาทีต่อมา มีเพียงคนไข้ทางจิตเจ้าของบันทึกฉบับนี้ที่หายไปจากห้องอย่างลึกลับ
เขานึกถึงวันแรกในการรับมอบตัวคนไข้รายนี้ ความจริงเขาตกเป็นผู้ต้องหาวางเพลิงเผาบ้านพักตากอากาศชายทะเล และเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายไปของคนในครอบครัว ไม่มีใครพบศพของภรรยาและลูกของเขา คำให้การของเขาฟังดูประหลาดเหลือเชื่อ แต่เครื่องจับเท็จรายงานว่าเขาพูดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า
ใครล่ะจะเชื่อ... ที่เชื่อกันคือพวกคนบ้าทำให้เรื่องบ้าบอเป็นเรื่องจริงได้ในความคิดของพวกหมอ ในเมื่อทุกคนคิดว่าใครบางคนเป็นฆาตกรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะข่าวลือ ความจริง การเติมเสริมแต่ง ความเชื่อนั้นจะถูกตอกฝังลงไปในความคิด จนเหตุผลใดก็ยากจะงัดแงะออกมาให้พิจารณาหาเหตุผลเที่ยงธรรมได้ง่าย อิทธิพลของความเชื่อทำให้ระนาบแห่งความเที่ยงธรรมเอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดเสมอ มือเผาบ้านถูกส่งมาแผนกจิตวิเคราะห์แห่งนี้เพื่อหาข้อมูลไปประกอบการพิจารณาคดี
คนไข้รายนี้อ้อนวอนขอไม้ขีด เทียนไข ไฟฉาย ไว้ในห้อง แน่ล่ะ..ใครจะไปยอมให้ไฟกับคนเผาบ้านพักจนวายวอด วันดีคืนดีเกิดแกนึกสนุกเผาตึกเล่นใครจะรับผิดชอบ เขาถูกกักตัวในห้องบำบัด ถูกนำตัวเข้าตรวจวัดสภาพจิตใจ ผลการตรวจวัดยังไม่สรุปผล แต่เขาดูหวาดกลัวมากกว่าจะทำร้ายตนเองหรือใครได้
ในคืนที่แล้วไฟดับ เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่มียามรักษาการณ์เฝ้าดูอยู่หลายคน ประตูล็อคจากด้านนอกแน่นหนา ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเขาหายไปได้อย่างไร นอกจากจะระเหยกลายเป็นไอ
จิตแพทย์หนุ่มเดินไปชะโงกดูทางหน้าต่าง ความมืดเริ่มมาเยือนอย่างรวดเร็วแต่แสงไฟสว่างตามหมู่ตึกเรียงรายรอบล้อมทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่โดดเดี่ยว ความสว่างกระจ่างชัดดูอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าความมืด คุณหมอมองไม่เห็นคนในหมู่ตึก แต่รู้ว่ามีคนมากมายกำลังดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของตัวเอง ทุกข์สุขอย่างไรยากจะหยั่งรู้ การคิดแบบนั้นทำให้ไม่รู้สึกว่าอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังในโลก
ห้องทำงานมีหน้าต่างเปิดออกไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากอยู่มุมตัวอาคารพอดี มองออกไปจากหน้าต่างสองด้าน เห็นแสงไฟไล่เรียงรายสูงต่ำตามสภาพอาคารบ้านเรือน แต่ทำไมด้านทิศตะวันตกดำมืดอย่างน่าประหลาด มันเป็นความมืดแบบไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสมาก่อน มืดยิ่งกว่าคืนเดือนมืด
หมอหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองอย่างเงียบงัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแปลก ๆ โดยไม่มีเหตุผล ความเย็นยะเยียบชนิดหนึ่งกำลังบรรจงกดลงบนบ่า ค่อยไหลลงไปตามแผ่นหลังอย่างเชื่องช้า เป็นความรู้สึกสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจอันหวาดกลัวหรืออย่างไร
ตึกสูงหลายสิบชั้นหลังหนึ่งที่มองเห็นไฟสว่างทั่วตึก จู่ ๆ ไฟสว่างที่ทั้งตึกก็ดับวูบลง
จิตแพทย์มองดูอย่างแปลกใจแกมงุนงง
อาจเป็นได้ว่าไฟฟ้าดับทั้งตึกเป็นเหตุการณ์ไม่บ่อยและไม่น่าจะเกิด ไม่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ไฟฟ้าดับลงได้อย่างไร แถมฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างเสียด้วย เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า มันดำมืดจนน่ากลัว และบางส่วนยังคล้ายเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีแมงกะพรุนยักษ์สีดำข้นบนฟากฟ้า เกลียวแห่งความมืดดำคล้ายบิดม้วนไปมาอย่างน่าสยดสยอง
ไม่มีแสงสายฟ้า ไม่มีเสียงคำรามของลมพายุ
เขานึกถึงเรื่องในสมุดบันทึกของคนไข้ จะมีใครเชื่อสิ่งที่คนบ้าเขียน มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะอ่านดูแล้วมันบ้ายิ่งกว่าบ้า ความมืดก็คือสภาพการมีวัตถุทึบแสงมาบังแสงสว่างเท่านั้น จะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร อย่าว่าแต่มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีตัวตนอะไรเลย
แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ เขาอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้… ความมืดมีชีวิตกำลังคืบคลานมา กลืนกินมนุษยชาติโดยจุดประสงค์ที่ยากต่อการเข้าใจ
ด้านทิศตะวันตก ไฟเคยเห็นสว่างตามตึกอาคารบ้านเรือนต่างทยอยดับลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดหน้าต่างทางทิศตะวันตกก็เหลือเพียงฉากดำคลี่ทิ้งตัวลงมาปกคลุมจนหมดสิ้น
กว่าจะรู้ตัวจิตแพทย์หนุ่มก็พบว่าตัวเองกำลังควานหาเทียนไข ไม้ขีดไฟ ในลิ้นชักเป็นการใหญ่ บางอย่างมากับความมืดทำให้เขารู้สึกตัวเย็นเฉียบอย่างไม่มีเหตุผล แสงไฟบนเพดานยังสว่างไม่ได้ดับลงอย่างที่วิตกกังวล แต่แสงของมันดูสลัวเลือนรางอย่างประหลาด ถ้าตาไม่ฝาดหรือไม่คิดมากเกินไป เขาคิดว่าเห็นละอองแห่งความมืดรั่วไหลเข้ามาทางหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ
เขามีเทียนไขอยู่กล่องหนึ่งกับไม้ขีดไฟ จึงจับมาวางบนโต๊ะ จะจุดเทียนตอนนี้ก็รู้สึกละอายใจกับการกระทำอันดูแล้วไม่ต่างคนคนบ้าเท่าไรนัก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจจุดเทียนด้วยมือสั่นระริก
มองออกไปทางหน้าต่าง ม่านราตรีโรยรายปรายโปรยลงมารุกไล่กลืนกินหมู่ตึก อาคารบ้านเรือน อย่างหิวกระหาย แสงไฟเริ่มดับไล่มาจากด้านตะวันตกอย่างน่ากลัว เขานึกอะไรขึ้นมาได้ รีบปราดไปยังโทรศัพท์กดเบอร์โทรออกไปยังบ้านที่มีภรรยาและลูกชายหญิง ก็เหมือนครอบครัวธรรมดาอื่น สิบกว่าปีกับการรับบทของความเป็นพ่อ และการพยายามทำหน้าที่ของสามี ทุกข์บ้างสุขบ้างว่ากันไป
“คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ” เสียงภรรยาแว่วมาตามสาย “รู้สึกว่าวันนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ กว่าทุกวัน”
“อะไรที่ว่าแปลก” เขากลั้นใจถาม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
“ฝนทำท่าจะตก ฟ้าดำมืดมาเชียว แต่แปลกนะคะ ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือฟ้าแลบอย่างเคยเห็น ทุกอย่างมันดูเงียบแบบบอกไม่ถูก คุณรีบกลับมาเถอะค่ะ”
เสียงของเธอมีแววร้อนรนปนประหลาดใจ เขารีบกรอกเสียงสวนกลับไป
“คุณหาไฟฉาย ตะเกียง เทียนไข หรืออะไรก็ได้ จุดไฟให้สว่างเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เปิดไฟทุกดวงในบ้าน ผมจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้”
“มีอะไรหรือคะ”
“ทำตามที่ผมบอกเถอะ มันอธิบายตอนนี้ไม่ได้ รอผมในบ้าน อย่าออกไปไหน” เขาพูดเสียงดัง จนรู้สึกตกใจกับตัวเอง
จู่ ๆ โทรศัพท์เงียบกริบเหมือนสายขาด....เขายืนถือหูโทรศัพท์ยืนค้างนิ่งเนิ่นนาน แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นไปได้ อะไรบางอย่างกำลังพยายามให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกบอกอย่างนั้น
.