จีน ถึงวันนี้ได้ วันที่ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในระดับผู้นำโลกอย่างเต็มตัว
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร
นั่นเพราะจีน "ไม่กลัว"
วลี "ความกลัวทำให้เสื่อม" ไม่ผิดเลยครับ
หากจีนกลัว ป่านนี้จีนก็ยังคงแค่พ่อค้าร้านชำขายกำแพงเมืองจีนไปวัน ๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้
แต่เพราะจีนไม่กลัว ไม่กลัวความเปลี่ยนแปลงและเปิดกว้าง
สร้างสมดุลที่พอเหมาะ แบ่งปันและกระจายความอยู่ดีกินดี สร้างความเท่าเทียม ขจัดความเหลื่อมล้ำให้ได้มากที่สุด
ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเท่าเทียมกันไปหมดในทุกเรื่อง
แต่หมายความว่า ทุกคนมีโอกาสได้รับและควรได้รับในสิ่งที่ควรได้
ส่วนรวมรับได้ ส่วนรวมพอใจ
ประเทศชาติก็เดินหน้า และพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทย เพราะเรา "กลัว" ทำให้เราล้าหลังในหลายเรื่องมาก ๆ
จะทำอะไร เปลี่ยนปรับอะไร ก็ติดที่คำว่า กลัว เกิดภาวะ เสื่อม กัดกินไปทั่ว
เราอยู่กันด้วยมายาคติที่เหลวไหลมาตลอด
สร้างมายาคติความดี เพื่อมอมเมาให้ประชาชนเดินตาม หลอกครอบว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อมมาโดยตลอด
เราจึงไม่ถึงไหนสักที มีอะไรนิดอะไรหน่อย ก็กลัวกันจนสะดุ้ง
กลัวจนฆ่ากันเองไปกี่รอบแล้ว ?
จะสร้างรถไฟความเร็วสูง
จะมีรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้า
จะปฏิรูปการเมือง การศึกษา ระบบราชการ
จะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
ฯลฯ
เรากลัวไปหมด
แล้วก็วนกลับมาที่เดิม คือ ประชาชนยังไม่พร้อม
ทั้งที่ความจริงคือ เรากลัวว่าจะเกิดผลกระทบ และสั่นคลอนอย่างไร้เหตุผลเท่านั้นเอง
เราไม่กล้าที่จะเผชิญปัญหาที่จะเกิดมากับการเปลี่ยนปรับ
เราคิด เรายึดติดกันอยู่แต่ว่า อย่าให้มีปัญหา เดี๋ยวจะเป็นปัญหา แล้วก็สร้างภาพความกลัวขึ้นมาเพื่อยุติการเปลี่ยนปรับ
บางเรื่อง เราเลยเถิก เอ๊ย เลยเถิด ถึงขนาดว่า หากลงมือปฏิบัติ
จะเกิดการเปลี่ยนปรับที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งที่ความจริงแล้ว มันคนละเรื่อง และไม่มีทางเป็นไปได้
เราปรับเปลี่ยนวิธี เทคนิค การจัดการ เราไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
แต่ก็มีการโยงสร้างภาพหวาดกลัวว่าจะเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตามมา เลยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
ดักดานกันอยู่ต่อไป
ความกลัว เป็นเรื่องของความรู้สึกครับ ไม่ใช่เหตุผล
พอกลัวก็วิ่งหาความเชื่อต่าง ๆ หมอดู พระ ทรงเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหาทางออกให้ความรู้สึกกลัว
แทนที่จะคิดด้วยเหตุผล ใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา กลับเชื่อธูปสามดอก เชื่อไพ่หมอดู เชื่อโหร บนบานขอเอาง่าย ๆ
แทนที่จะเชื่อในเรื่องเหตุผล กลายเป็นว่า เราเชื่อในเรื่องไร้เหตุผล
เพราะสังคมไทยสอนครอบกันไว้ว่า ดีได้แต่อย่าเด่น ซึ่งก็คือ เก่งได้แต่อย่ากล้า
ความกลัวจึงคลุมคิดของสังคมไทยอยู่ไม่คลาย เก่งแค่ไหนก็ไม่กล้า เพราะขืนกล้า โดน
ทักษิณ ชินวัตร คือคนล่าสุด
เพราะเราโดนปลูกฝังให้กลัว เราจึงเหมือนมนุษย์ก้นถ้ำ
ไม่เคยเห็นแสงสว่างนอกถ้ำ ไม่เคยเห็นว่าอะไรอยู่นอกถ้ำ คิดว่าโลกนี้คือก้นถ้ำเท่านั้น
ได้เห็นเพียงรูปเงาวูบวาบที่สะท้อนผนังก้นถ้ำ ที่เขาทำให้เห็น โดนมอมเมาด้วยฉากมายาคติสารพันเรื่อง
เราต้องช่วยกันทำลายกำแพงแห่งความกลัว
เริ่มจาก มาเลิกกลัวด้วยการตั้งกระทู้การเมืองกันเถอะครับ
เชิญคุณ ๆ ก่อนเลย
ส่วนผม ขอหล่ออยู่เงียบ ๆ
อย่างเจียมหล่อก็พอครับ
Tear Down The Wall !!!
นานนักที่เสียตัว เอ๊ย ที่เสียโอกาสเพราะความกลัว .................................................... โดย ตระกองขวัญ
จีน ถึงวันนี้ได้ วันที่ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในระดับผู้นำโลกอย่างเต็มตัว
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร
นั่นเพราะจีน "ไม่กลัว"
วลี "ความกลัวทำให้เสื่อม" ไม่ผิดเลยครับ
หากจีนกลัว ป่านนี้จีนก็ยังคงแค่พ่อค้าร้านชำขายกำแพงเมืองจีนไปวัน ๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้
แต่เพราะจีนไม่กลัว ไม่กลัวความเปลี่ยนแปลงและเปิดกว้าง
สร้างสมดุลที่พอเหมาะ แบ่งปันและกระจายความอยู่ดีกินดี สร้างความเท่าเทียม ขจัดความเหลื่อมล้ำให้ได้มากที่สุด
ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเท่าเทียมกันไปหมดในทุกเรื่อง
แต่หมายความว่า ทุกคนมีโอกาสได้รับและควรได้รับในสิ่งที่ควรได้
ส่วนรวมรับได้ ส่วนรวมพอใจ
ประเทศชาติก็เดินหน้า และพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทย เพราะเรา "กลัว" ทำให้เราล้าหลังในหลายเรื่องมาก ๆ
จะทำอะไร เปลี่ยนปรับอะไร ก็ติดที่คำว่า กลัว เกิดภาวะ เสื่อม กัดกินไปทั่ว
เราอยู่กันด้วยมายาคติที่เหลวไหลมาตลอด
สร้างมายาคติความดี เพื่อมอมเมาให้ประชาชนเดินตาม หลอกครอบว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อมมาโดยตลอด
เราจึงไม่ถึงไหนสักที มีอะไรนิดอะไรหน่อย ก็กลัวกันจนสะดุ้ง
กลัวจนฆ่ากันเองไปกี่รอบแล้ว ?
จะสร้างรถไฟความเร็วสูง
จะมีรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้า
จะปฏิรูปการเมือง การศึกษา ระบบราชการ
จะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
ฯลฯ
เรากลัวไปหมด
แล้วก็วนกลับมาที่เดิม คือ ประชาชนยังไม่พร้อม
ทั้งที่ความจริงคือ เรากลัวว่าจะเกิดผลกระทบ และสั่นคลอนอย่างไร้เหตุผลเท่านั้นเอง
เราไม่กล้าที่จะเผชิญปัญหาที่จะเกิดมากับการเปลี่ยนปรับ
เราคิด เรายึดติดกันอยู่แต่ว่า อย่าให้มีปัญหา เดี๋ยวจะเป็นปัญหา แล้วก็สร้างภาพความกลัวขึ้นมาเพื่อยุติการเปลี่ยนปรับ
บางเรื่อง เราเลยเถิก เอ๊ย เลยเถิด ถึงขนาดว่า หากลงมือปฏิบัติ
จะเกิดการเปลี่ยนปรับที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งที่ความจริงแล้ว มันคนละเรื่อง และไม่มีทางเป็นไปได้
เราปรับเปลี่ยนวิธี เทคนิค การจัดการ เราไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
แต่ก็มีการโยงสร้างภาพหวาดกลัวว่าจะเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตามมา เลยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
ดักดานกันอยู่ต่อไป
ความกลัว เป็นเรื่องของความรู้สึกครับ ไม่ใช่เหตุผล
พอกลัวก็วิ่งหาความเชื่อต่าง ๆ หมอดู พระ ทรงเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหาทางออกให้ความรู้สึกกลัว
แทนที่จะคิดด้วยเหตุผล ใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา กลับเชื่อธูปสามดอก เชื่อไพ่หมอดู เชื่อโหร บนบานขอเอาง่าย ๆ
แทนที่จะเชื่อในเรื่องเหตุผล กลายเป็นว่า เราเชื่อในเรื่องไร้เหตุผล
เพราะสังคมไทยสอนครอบกันไว้ว่า ดีได้แต่อย่าเด่น ซึ่งก็คือ เก่งได้แต่อย่ากล้า
ความกลัวจึงคลุมคิดของสังคมไทยอยู่ไม่คลาย เก่งแค่ไหนก็ไม่กล้า เพราะขืนกล้า โดน
ทักษิณ ชินวัตร คือคนล่าสุด
เพราะเราโดนปลูกฝังให้กลัว เราจึงเหมือนมนุษย์ก้นถ้ำ
ไม่เคยเห็นแสงสว่างนอกถ้ำ ไม่เคยเห็นว่าอะไรอยู่นอกถ้ำ คิดว่าโลกนี้คือก้นถ้ำเท่านั้น
ได้เห็นเพียงรูปเงาวูบวาบที่สะท้อนผนังก้นถ้ำ ที่เขาทำให้เห็น โดนมอมเมาด้วยฉากมายาคติสารพันเรื่อง
เราต้องช่วยกันทำลายกำแพงแห่งความกลัว
เริ่มจาก มาเลิกกลัวด้วยการตั้งกระทู้การเมืองกันเถอะครับ
เชิญคุณ ๆ ก่อนเลย
ส่วนผม ขอหล่ออยู่เงียบ ๆ
อย่างเจียมหล่อก็พอครับ
Tear Down The Wall !!!