ท่านที่เคารพรักครับ ยุคสมัยของบู๊ลิ้มไม่มีการทำโพล สุ่มสำรวจแบบค้านสายตาหวังผลชี้นำ
ยุคสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องดื่มที่ผสมซิงค์หรือเครื่องดื่มผสมวิตามิน B 12 ที่บำรุงสมอง แต่ชาวยุทธจักรก็ไม่ได้โง่เขลา เพราะในเรื่อง " ฤทธิ์มีดสั้น " ผลงานของท่านโกวเล้ง เมื่อแป๊ะเฮี่ยวเซ็งจัดอันดับมีดสั้นของเซี่ยวลี้ถ่ำฮวย หรือลี้คิมฮวงว่า อยู่ในอันดับ 3 ก็ไม่มีข่าวต่อต้านหรือปฏิเสธ
นั่นก็คือเหล่าประดามือดีในยุทธภพล้วนน้อมยอมรับกันถึง " ความจริง " ข้อนี้ว่า มีดสั้นของลี้คิมฮวงนั้น มีอานุภาพที่น่ายำเกรงจริงๆ
เพราะลี้คิมฮวงที่มีฉายาว่า เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่เคยพลาดเป้า นั้น นอกจากจะแม่นยำ ฉับไว รวดเร็วแล้ว มีดสั้นยังมีบารมี
อันเป็นบารมีที่เกิดจาก " จิตใจ " และบารมีของฤทธิ์มีดสั้นก็คือ
มีดสั้นของลี้คิมฮวง มีไว้เพื่อ " ช่วยคน " มิใช่ มีไว้เพื่อ " ทำลายคน " นี่คือความจริง
แต่ปัจจุบันการบอกเล่าความจริงกับใครสักคน เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนขึ้นมาทันที หากความจริงนั้นเป็นสิ่งที่คนๆนั้นไม่อยากฟัง
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรให้คนฟังยอมรับกับความจริงเรื่องนั้น และ " ความจริง " นั้นก็จะเป็นสิ่งที่ยอมรับ
ปราศจากการถกเถียงก็ต่อเมื่อมันปรากฏขึ้นมา เพราะไม่อย่างนั้น ก็จะมีการแถไปเรื่อยๆ มิหนำซ้ำคุณค่าของความจริงก็โดนทำลายกลับว่าเป็นเพียงข่าวโคมลอย ข่าวลือ ที่รอวันโดนกลบ ลบหายไปจากความทรงจำเรื่อยๆ
ซึ่งความจริงจะมาพร้อมกับ " มายาคติ " ไม่ว่าความจริงนั้นจะมาเช้า สาย บ่าย เย็น เมื่อความจริงมา มายาคติก็มา
บางครั้งความจริงไม่มา แต่มายาคติมา
นั่นกลายเป็น " ความจริง " ว่า มนุษย์อยู่ด้วย " มายาคติ "
อันคำว่า มายาแปลว่า ความลวง " คติ " นั้นแปลว่า แบบอย่างของความเป็นไป ซึ่งแบบอย่างของความเป็นไป นี่แหละคือสิ่งที่ครอบงำตัวตนของแต่ละคน
ไม่ให้ " ความจริง " เข้าถึง หรือ ไม่ให้เข้าถึง ความจริง
ความเคลือบแคลงสงสัยที่มาของบทเพลงหนุ่มฟ้อ หล่อเฟี้ยว เป็นประเด็นให้สังคมตื่นตัวสืบค้นหาเจ้าของความคิดนี้ ที่แท้จริง
กรณีประเด็นของประชานิยม พรรคไทยรักไทย และประชาวิวัฒน์ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมมาถึงสิ่งที่กำลังทำของคุณสมคิดเวลานี้
ก็เป็นปมประเด็นชวนให้ประชาชนคิดถวิลหา " ต้นฉบับ " และ " แรงบันดาลใจ " ของสุดยอดนโยบายนี้
ยังไม่ต้องพูดถึง ประชารัฐ เราพูดกันถึงประชานิยม และประชาวิวัฒน์ก็พอ เพราะหากจำกันได้ถึงวันที่ คุณอภิสิทธิ์แถลงเปิดตัว 9 นโยบายประชาวิวัฒน์ในปี 54 นั้นฉากหลังบนเวทีมีข้อความว่า
" ร่วมเดินหน้า ปฏิรูปประเทศไทย " นั่นคือพันธะสัญญาว่าประชาธิปัตย์จะปฏิรูปประเทศไทยด้วย ประชาวิวัฒน์ 9 ประการ
หลายกลุ่มหลายคนอาจจะขัดเขิน สะเทิ้นอาย หากพูดว่าทำตาม หรือคิดขึ้นมาเอง แต่ที่ชัดเจนกว่าใคร คือนโยบาย " ประชานิยม สังคมเป็นสุข " ของพรรคภูมิใจไทย ที่พูดออกมาตรงๆ ไม่เพี้ยนเสียงหรือเล่นคำ ประชานิยม ก็ประชานิยม เอาประชานิยม มาสู้กับ ประชานิยม
การเอานโยบายมาสู้ซึ่งหน้ากับนโยบาย ไม่เหมือนการลด แลก แจก แถม สิ้นเดือนตามห้าง เพราะประชาชนสัมผัสถึง " ความจริง " ทางการเมือง สุดท้ายประชาชนไม่เลือกภูมิใจไทย ทั้งๆที่ชู ประชานิยม
ราวกับทิ้งเป็นปมปริศนาหนึ่งชั้น ที่ชวนให้ขบคิดว่า เพราะเหตุใด ประชาชนถึงไม่แยแส นโยบายของพรรคอื่น คนอื่น
ปมปริศนานี้ยังมีปริศนาซ้อนให้ขบคิดตีความลึกซึ้งขึ้นไปอีกชั้นว่า หากเพื่อไทยเก่านี้ ลงเลือกตั้ง แต่ไม่เสนอนโยบายอะไรเลย จะได้รับเลือกหรือไม่ ?
ที่ผ่านมาในยุคสมัยที่ดื่มสุราชามโต กัดกินเนื้อก้อนใหญ่ ตีแผ่หัวใจคบหาด้วยคุณธรรมน้ำมิตรนั้น ในเรื่อง อินทรีผงาดฟ้า หรืออีกชื่อว่า ฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ เต็งพ้งใช้กระบี่ มีกระบวนท่า ดาวตกเหนือฟ้า เป็นไม้ตาย ที่สร้างชื่อเสียงในยุทธภพ
แต่ลิ้วเยียกซ้งคู่ต่อสู้ ที่เป็นขิงแก่กว่า ไม่กล้าสู้ซึ่งหน้าอย่างยุติธรรม ได้ใช้กลอุบายทำลายป้ายสีเต็งพ้ง โดยฮุบเอาคัมภีร์และอ้างว่าตนเองก็มีกระบวนท่ากระบี่เช่นนี้เหมือนกัน นั่นคือท่ากระบี่ที่มีชื่อว่า สายลมใต้ต้นสน
แต่อานุภาพกระบี่จากการใช้ออกในท่า ดาวตกเหนือฟ้า ของเต็งพ้ง กลับเหนือล้ำกว่าที่ลิ้วเยียกซ้งใช้ออกนัก สำหรับความนัยข้อนี้ ท่านโกวเล้งได้เคยเผยไว้ว่า
ระดับความสำเร็จของมือกระบี่ ขึ้นกับระดับของจิตใจ ระดับแรกของมือกระบี่คือ " ขอเพียงชักกระบี่จากฝัก จะไม่ไว้ไมตรี " แต่สูงกว่านั้นขึ้นมาคือ
" ไม่ว่าท่านจะมีชื่อเสียงเพียงใด ท่านไม่อาจลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ยิ่งไม่อาจไล่ล่าจนสิ้นซาก ท่านหากต้องการให้ผู้อื่นเคารพท่านอย่างจริงใจ
ก็ต้องละเว้นหนทางสายหนึ่งให้กับผู้อื่น "
ระดับจิตใจของเต็งพ้งคือสามารถควบคุมกระบี่ ควบคุมจิตใจ ใช้ออกและยั้งไว้ด้วยไมตรี ตามใจนึก ไม่ตกในรังสีอำมหิต หรืออาถรรพ์ของกระบี่
นี่จึงคือระดับที่สูงขึ้นกว่ามือกระบี่ทั่วไป กรณีของ การเอาท่ากระบี่ดาวตกเหนือฟ้า มาอ้างว่าเป็นผลงานของตนเองในชื่อ สายลมใต้ต้นสน นั้น
แสดงว่าการลอกเลียนแบบความคิดผู้อื่นมาใช้หรือหยิบฉวยมาเปลี่ยนชื่อ มีมาแต่โบราณกาล
ท่านที่เคารพรักครับ การบอกเล่าความจริงกับใครสักคน เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนขึ้นมาทันที แม้ทั้งๆที่เคยมีคำพูดที่ว่า " จีนตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว ลาวตื่นผี " ซึ่งหมายถึงว่า ไทยเรามีวัฒนธรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการอยากรู้ อยากเห็น เรื่องของชาวบ้าน ทั้งๆที่สื่อเองก็มี หลักการทำข่าวมานำเสนอที่ว่า
" อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร "
แต่เพราะเหตุใด " ความจริง " จึงไม่ค่อยปรากฏในลักษณะขุดคุ้ยหรือตีแผ่ความจริง
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า สื่อเองเมื่อก้าวเข้าสู่กระแสการแข่งขันกันสูงเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในระบบทุนนิยม เป้าหมายการข่าว เบี่ยงเบนไปสู่คำว่า
" สุนัขกัดคนไม่เป็นข่าว คนกัดสุนัขเป็นข่าว " ข่าวสารที่กระจายรายล้อม จึงเป็นเรื่อง " ให้สนใจ " ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
นั่นก็คือข่าวที่เหนือความจริง และยังผสมมายาคติ การเล่าข่าว เสนอข่าว จะป้อนความคิดเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายด้วยเจตนา
แม้สื่อจะพยายามบอกว่า เป็นกลาง เป็นกลาง แต่สุดท้าย สื่อก็กลายพันธ์เป็นสื่อใคร สื่อมัน แปรสภาพเป็นกระบอกเสียงของแต่ละฝ่าย
ที่ไม่สร้างสรรค์ แต่ จ้องทำลายกัน มวลชนล้วนตกอยู่ในการโดนครอบงำป้อนข้อมูลของสื่อแต่ละสี
ปัญหาก็คือ ทุกวันนี้มนุษย์ตื่นเช้าขึ้นมารับรู้ความจริง หรือ รับรู้ มายาคติ ครับ
ขุนเขาแห่งจิตวิญญาณ " ความจริง " หรือ " มายาคติ " ที่พบเจอระหว่างพูดคุยการเมือง
ยุคสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องดื่มที่ผสมซิงค์หรือเครื่องดื่มผสมวิตามิน B 12 ที่บำรุงสมอง แต่ชาวยุทธจักรก็ไม่ได้โง่เขลา เพราะในเรื่อง " ฤทธิ์มีดสั้น " ผลงานของท่านโกวเล้ง เมื่อแป๊ะเฮี่ยวเซ็งจัดอันดับมีดสั้นของเซี่ยวลี้ถ่ำฮวย หรือลี้คิมฮวงว่า อยู่ในอันดับ 3 ก็ไม่มีข่าวต่อต้านหรือปฏิเสธ
นั่นก็คือเหล่าประดามือดีในยุทธภพล้วนน้อมยอมรับกันถึง " ความจริง " ข้อนี้ว่า มีดสั้นของลี้คิมฮวงนั้น มีอานุภาพที่น่ายำเกรงจริงๆ
เพราะลี้คิมฮวงที่มีฉายาว่า เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่เคยพลาดเป้า นั้น นอกจากจะแม่นยำ ฉับไว รวดเร็วแล้ว มีดสั้นยังมีบารมี
อันเป็นบารมีที่เกิดจาก " จิตใจ " และบารมีของฤทธิ์มีดสั้นก็คือ
มีดสั้นของลี้คิมฮวง มีไว้เพื่อ " ช่วยคน " มิใช่ มีไว้เพื่อ " ทำลายคน " นี่คือความจริง
แต่ปัจจุบันการบอกเล่าความจริงกับใครสักคน เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนขึ้นมาทันที หากความจริงนั้นเป็นสิ่งที่คนๆนั้นไม่อยากฟัง
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรให้คนฟังยอมรับกับความจริงเรื่องนั้น และ " ความจริง " นั้นก็จะเป็นสิ่งที่ยอมรับ
ปราศจากการถกเถียงก็ต่อเมื่อมันปรากฏขึ้นมา เพราะไม่อย่างนั้น ก็จะมีการแถไปเรื่อยๆ มิหนำซ้ำคุณค่าของความจริงก็โดนทำลายกลับว่าเป็นเพียงข่าวโคมลอย ข่าวลือ ที่รอวันโดนกลบ ลบหายไปจากความทรงจำเรื่อยๆ
ซึ่งความจริงจะมาพร้อมกับ " มายาคติ " ไม่ว่าความจริงนั้นจะมาเช้า สาย บ่าย เย็น เมื่อความจริงมา มายาคติก็มา
บางครั้งความจริงไม่มา แต่มายาคติมา
นั่นกลายเป็น " ความจริง " ว่า มนุษย์อยู่ด้วย " มายาคติ "
อันคำว่า มายาแปลว่า ความลวง " คติ " นั้นแปลว่า แบบอย่างของความเป็นไป ซึ่งแบบอย่างของความเป็นไป นี่แหละคือสิ่งที่ครอบงำตัวตนของแต่ละคน
ไม่ให้ " ความจริง " เข้าถึง หรือ ไม่ให้เข้าถึง ความจริง
ความเคลือบแคลงสงสัยที่มาของบทเพลงหนุ่มฟ้อ หล่อเฟี้ยว เป็นประเด็นให้สังคมตื่นตัวสืบค้นหาเจ้าของความคิดนี้ ที่แท้จริง
กรณีประเด็นของประชานิยม พรรคไทยรักไทย และประชาวิวัฒน์ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมมาถึงสิ่งที่กำลังทำของคุณสมคิดเวลานี้
ก็เป็นปมประเด็นชวนให้ประชาชนคิดถวิลหา " ต้นฉบับ " และ " แรงบันดาลใจ " ของสุดยอดนโยบายนี้
ยังไม่ต้องพูดถึง ประชารัฐ เราพูดกันถึงประชานิยม และประชาวิวัฒน์ก็พอ เพราะหากจำกันได้ถึงวันที่ คุณอภิสิทธิ์แถลงเปิดตัว 9 นโยบายประชาวิวัฒน์ในปี 54 นั้นฉากหลังบนเวทีมีข้อความว่า
" ร่วมเดินหน้า ปฏิรูปประเทศไทย " นั่นคือพันธะสัญญาว่าประชาธิปัตย์จะปฏิรูปประเทศไทยด้วย ประชาวิวัฒน์ 9 ประการ
หลายกลุ่มหลายคนอาจจะขัดเขิน สะเทิ้นอาย หากพูดว่าทำตาม หรือคิดขึ้นมาเอง แต่ที่ชัดเจนกว่าใคร คือนโยบาย " ประชานิยม สังคมเป็นสุข " ของพรรคภูมิใจไทย ที่พูดออกมาตรงๆ ไม่เพี้ยนเสียงหรือเล่นคำ ประชานิยม ก็ประชานิยม เอาประชานิยม มาสู้กับ ประชานิยม
การเอานโยบายมาสู้ซึ่งหน้ากับนโยบาย ไม่เหมือนการลด แลก แจก แถม สิ้นเดือนตามห้าง เพราะประชาชนสัมผัสถึง " ความจริง " ทางการเมือง สุดท้ายประชาชนไม่เลือกภูมิใจไทย ทั้งๆที่ชู ประชานิยม
ราวกับทิ้งเป็นปมปริศนาหนึ่งชั้น ที่ชวนให้ขบคิดว่า เพราะเหตุใด ประชาชนถึงไม่แยแส นโยบายของพรรคอื่น คนอื่น
ปมปริศนานี้ยังมีปริศนาซ้อนให้ขบคิดตีความลึกซึ้งขึ้นไปอีกชั้นว่า หากเพื่อไทยเก่านี้ ลงเลือกตั้ง แต่ไม่เสนอนโยบายอะไรเลย จะได้รับเลือกหรือไม่ ?
ที่ผ่านมาในยุคสมัยที่ดื่มสุราชามโต กัดกินเนื้อก้อนใหญ่ ตีแผ่หัวใจคบหาด้วยคุณธรรมน้ำมิตรนั้น ในเรื่อง อินทรีผงาดฟ้า หรืออีกชื่อว่า ฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ เต็งพ้งใช้กระบี่ มีกระบวนท่า ดาวตกเหนือฟ้า เป็นไม้ตาย ที่สร้างชื่อเสียงในยุทธภพ
แต่ลิ้วเยียกซ้งคู่ต่อสู้ ที่เป็นขิงแก่กว่า ไม่กล้าสู้ซึ่งหน้าอย่างยุติธรรม ได้ใช้กลอุบายทำลายป้ายสีเต็งพ้ง โดยฮุบเอาคัมภีร์และอ้างว่าตนเองก็มีกระบวนท่ากระบี่เช่นนี้เหมือนกัน นั่นคือท่ากระบี่ที่มีชื่อว่า สายลมใต้ต้นสน
แต่อานุภาพกระบี่จากการใช้ออกในท่า ดาวตกเหนือฟ้า ของเต็งพ้ง กลับเหนือล้ำกว่าที่ลิ้วเยียกซ้งใช้ออกนัก สำหรับความนัยข้อนี้ ท่านโกวเล้งได้เคยเผยไว้ว่า
ระดับความสำเร็จของมือกระบี่ ขึ้นกับระดับของจิตใจ ระดับแรกของมือกระบี่คือ " ขอเพียงชักกระบี่จากฝัก จะไม่ไว้ไมตรี " แต่สูงกว่านั้นขึ้นมาคือ
" ไม่ว่าท่านจะมีชื่อเสียงเพียงใด ท่านไม่อาจลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ยิ่งไม่อาจไล่ล่าจนสิ้นซาก ท่านหากต้องการให้ผู้อื่นเคารพท่านอย่างจริงใจ
ก็ต้องละเว้นหนทางสายหนึ่งให้กับผู้อื่น "
ระดับจิตใจของเต็งพ้งคือสามารถควบคุมกระบี่ ควบคุมจิตใจ ใช้ออกและยั้งไว้ด้วยไมตรี ตามใจนึก ไม่ตกในรังสีอำมหิต หรืออาถรรพ์ของกระบี่
นี่จึงคือระดับที่สูงขึ้นกว่ามือกระบี่ทั่วไป กรณีของ การเอาท่ากระบี่ดาวตกเหนือฟ้า มาอ้างว่าเป็นผลงานของตนเองในชื่อ สายลมใต้ต้นสน นั้น
แสดงว่าการลอกเลียนแบบความคิดผู้อื่นมาใช้หรือหยิบฉวยมาเปลี่ยนชื่อ มีมาแต่โบราณกาล
ท่านที่เคารพรักครับ การบอกเล่าความจริงกับใครสักคน เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนขึ้นมาทันที แม้ทั้งๆที่เคยมีคำพูดที่ว่า " จีนตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว ลาวตื่นผี " ซึ่งหมายถึงว่า ไทยเรามีวัฒนธรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการอยากรู้ อยากเห็น เรื่องของชาวบ้าน ทั้งๆที่สื่อเองก็มี หลักการทำข่าวมานำเสนอที่ว่า
" อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร "
แต่เพราะเหตุใด " ความจริง " จึงไม่ค่อยปรากฏในลักษณะขุดคุ้ยหรือตีแผ่ความจริง
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า สื่อเองเมื่อก้าวเข้าสู่กระแสการแข่งขันกันสูงเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในระบบทุนนิยม เป้าหมายการข่าว เบี่ยงเบนไปสู่คำว่า
" สุนัขกัดคนไม่เป็นข่าว คนกัดสุนัขเป็นข่าว " ข่าวสารที่กระจายรายล้อม จึงเป็นเรื่อง " ให้สนใจ " ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
นั่นก็คือข่าวที่เหนือความจริง และยังผสมมายาคติ การเล่าข่าว เสนอข่าว จะป้อนความคิดเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายด้วยเจตนา
แม้สื่อจะพยายามบอกว่า เป็นกลาง เป็นกลาง แต่สุดท้าย สื่อก็กลายพันธ์เป็นสื่อใคร สื่อมัน แปรสภาพเป็นกระบอกเสียงของแต่ละฝ่าย
ที่ไม่สร้างสรรค์ แต่ จ้องทำลายกัน มวลชนล้วนตกอยู่ในการโดนครอบงำป้อนข้อมูลของสื่อแต่ละสี
ปัญหาก็คือ ทุกวันนี้มนุษย์ตื่นเช้าขึ้นมารับรู้ความจริง หรือ รับรู้ มายาคติ ครับ