ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/37916885
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/37919801
ตอนที่ 3
https://ppantip.com/topic/37922910
และเมื่อกลุ่มลูกค้าที่เขาอยากใช้บริการของเรา หรือ Outside Caterer อื่นๆ มีมากขึ้นเท่าไหร่ ทางสถานที่จัดงานอีเว้นท์ที่บังคับให้ลูกค้าใช้เคเทริ่งของเขา ก็เริ่มไม่มีลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเขารู้เหตุผลว่า มันเป็นเพราะเคเทอริ่งของเรา มี option ให้เขาเลือกมากกว่าที่บริษัทเคเทอริ่งของเขานำเสนอ เขาจึงอยากให้เคเทริ่งที่มาเช่าสถานที่ของเขา เพิ่ม option ให้มากขึ้นตามความต้องการของลูกค้า บางบริษัทก็ทำได้ บางบริษัทก็ทำไม่ได้ บริษัทไหนที่ทำได้ เขาก็ให้เช่าที่ต่อ บริษัทไหนทำไม่ได้เขาก็ไม่ต่อสัญญาเช่าที่ ก็มีหลายบริษัทที่ต้องปิดตัวไป (สงสารเขาเหมือนกัน แต่มันคือการแข่งขันค่ะ) สถานที่ที่ให้เช่าทำอีเว้นท์ไหนที่ยังมี เคเทอริ่งประจำ ก็เริ่มอนุญาตให้ลูกค้าใช้บริการ Outside Caterer ได้ แต่เขาเก็บเงินค่าธรรมเนียม กับลูกค้าที่ไม่ใช้เคเทอริ่งของเขา ลูกค้าบางคนชอบทั้งบริษัทเราและสถานที่ของเขาก็ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมนั้น แต่ถ้าลูกค้าคนไหนที่ชอบเรามากกว่า แต่ไม่อยากจ่ายค่าธรรมเนียมเขาก็ไปหา Venue อื่นที่ไม่มีเก็บค่าธรรมเนียมแบบนี้ และในเมื่อลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น สุดท้าย Venue รายย่อยต่างๆ ก็หันมาให้ลูกค้าใช้ เคเทอริ่งบริษัทไหนก็ได้โดยไม่จำกัด ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทเรารับงานได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง โฉมหน้าวงการการให้บริการของสถานที่จัดงานและ Event Center ค่ะ ฉันนี้อยาก ได้เครดิต และอยากคุยจังเลยว่าเรานี่แหละที่เป็นคนทำให้มันเปลี่ยนไป 555 คุณเห็นด้วยไหมคะ
อย่างที่รู้ๆกันค่ะ คนเรามีทั้งคนที่รักและคนที่ไม่รักค่ะ บริษัทเราก็เจอ เพราะไม่มีธุรกิจใหนชอบให้มีคู่แข่งค่ะ วันหนึ่งเพื่อนของเรา โพสต์ในเฟสบุคเพจ ของตัวเอง รีวิวชมบริษัทเรา ว่าไปงานเว็ดดิ้งโชว์ แล้วแวะบู๊ทบริษัทเคเทอริ่งของเรา บู้ทนี้ดูดีน่ารักจัง อะไรประมาณนี้ ทีนี้ก็มีแฟนคลับของอีกบริษัทนึงมาโพสต์คล้ายๆว่า ว่าบริษัทเคเทอริ่งของเรา ว่าเป็นบริษัทอะไรไม่เห็นเข้าท่า บริษัทนี้ (คู่แข่ง) ดีกว่า อาหารอร่อยกว่า บริการดีกว่า อะไรประมาณนี้ พอทางคุณแม่สามีเจอข้อความอันนั้น เกิดปรี๊ดแตก เพราะมาว่าบริษัทลูกชายสุดที่รัก นางก็ตอกกลับอีกตาคนนั้น แบบว่า Boo Hoo ไม่รู้จักเขามาว่าเขาทำไม บริษัทนายดีนักเหรอ อีตาคนนั้นก็ตอกกลับมา อย่างเจ็บแสบเหมือนกัน กลายเป็นว่าเกิดการตอกกลับไปกลับมา จนฉันไปเข้าเห็น เลยโพสต์บอกว่า "บริษัทของเรา ไม่เคยแข่งกับใคร เพราะว่าเราถือว่าเราเป็นคนในวงการเดียวกัน และเราดีใจที่อยู่ในวงการนี้ ที่มีแต่คนดีมีน้ำใจ และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" เท่านั้นค่ะ สงครามเฟสบุคระหว่างคุณแม่สามี กับชายคนนั้นถึงได้จบ ฉันเลยไปบอกคุณสามีว่านับตั้งแต่นี้ไปกรุณาอย่าให้คุณแม่สามี โพสต์อะไรแบบนี้อีก เพราะมันไม่ได้ช่วยเรา มันจะทำให้ภาพลักษณ์เราไม่ดี ถ้าไปต่อล้อต่อเถียงกันใน Social Network อีกทั้งยังย้ำกับพนักงานทุกคน ห้ามนินทา ว่าร้าย เสียดสี บริษัทใด หรือใคร ให้กับลูกค้าหรือคนอื่นๆฟัง เพราะการที่เราชมบริษัทเราว่าดี แต่ว่าร้ายบริษัทอื่น มันไม่ได้เป็นแผนการตลาดที่ดี มันไม่ได้ทำให้เราขายงานได้มากขึ้น แต่มันจะกลับสร้างความร้าวฉานในกลุ่มผู้ประกอบการงานแต่งงาน และนำผลเสียต่างๆ มาสู่บริษัทเรา ซึ่งฉันย้ำหนักย้ำหนาแบบนี้ให้พนักงานฟัง โดยเฉพาะ คุณสามีที่ปากคอเลาะร้ายยิ่งกว่าเชแเรมซี่เสียอีก คุณสามีของฉัน คนนี้นี่ตัวดีเลย เพราะเป็นคนวงใน ข่าวกรองเยอะมาก ว่าใครดี ทำอาหารอร่อย ใครไม่ดี ทำอาหารแย่ ฉันกำชับเลยว่า ห้ามเลยนะ ห้ามเอาไปพูดต่อเด็ดขาด เรื่องของเขาเราอย่าไปสนใจ ซึ่งพนักงานทุกคน และรวมไปถึงคุณสามีด้วย ก็ทำตามแบบเคร่งครัด ทำให้เราไม่ผิดใจกับใครๆ เพราะเราเข้าใจว่าในแต่ละกลุ่มสายงาน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มดีเจ ช่างภาพ สถานที่จัดงานเลี้ยง เสื้อผ้าหน้าผม เขามีการแข่งขันกันในกลุ่มอยู่แล้ว ก็มีบ้างที่จะสาดสี สาดโคลนใส่กัน และจ้องที่จะหาเพื่อนเข้าร่วมก๊วนโจมตีคู่แข่งของเขา เราบอกเลยว่า งานนี้เราจะไม่ยุ่ง
ในเมื่อบริษัทของเราเดินสายกลาง เป็นมิตรกับทุกคนทุกกลุ่ม เวลาเราไปทำอาหารให้งานไหน เราจะทำอาหารไปเผื่อเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนงานของสถานที่จัดงาน เด็กรับรถ ดีเจ ช่างภาพ หรือใครๆก็ตาม ถ้าอยู่ที่นั่น เราไปตามมากินหมดทุกคน ส่วนเจ้าของงานลูกค้าเรา ไม่ว่าอะไร เพราะอาหารมีมากมายจนแขกกินกันไม่หมด จนบางทีต้องห่อให้เขาเอากลับบ้านด้วย ตอนแรกๆคนที่ทำงานต่างๆ เขาก็เกรงใจ คือเขาไม่เคยมีบริษัทเคเทอริ่ง บริษัทไหนมาเรียกให้กินอาหาร เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วค่ะ เมื่อก่อนเคเทอริ่งเขาทำพอดีคนกับแขกที่มา ถ้าอาหารขาด ลูกค้าต้องวางเงินเพิ่ม เขาจึงเอาอาหารมาวางเพิ่มให้แขกกิน ดังนั้นจะไม่มีอาหารเหลือให้คนงานคนอื่นๆกิน แต่ฉันป็นคนไทยไงคะ ไม่ชอบเห็นคนอดอาหารค่ะ และเป็นนิสัยของคุณสามีที่ชอบทำอะไร เยอะแยะมากมาย เพราะกลัวว่าอาหารจะไม่พอกินกัน อาหารเราจึงมีพอแบ่งปันให้ทุกคนในงาน จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ถ้าบริษัทเคเทอริ่งของเรา ไปงานไหน งานนั้นไม่มีคนอดอาหาร ได้กินกันอิ่มหนำสำราญ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครมีธุรกิจอะไร หรืออยู่ในกลุ่มใหน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสถานที่ ดีเจ ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า ทำผม ร้านให้เช่าเครื่องตกแต่งและอุปกรณ์งานเลี้ยง ถ้าลูกค้าติดต่อไป เขาจะถามลูกค้าทันทีว่า มีคนทำอาหารให้หรือยัง และก็จะแนะนำ ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ ของบริษัทเคเทอริ่งของเรา ให้ลูกค้าไปในทันทีทันใด นี่ก็คืออีกวิธีหนึ่งค่ะ ที่ทางบริษัทได้งานจากการ preferred จากคนในวงการค่ะ
ในเมื่อตีตลาดทางด้านงานแต่งงานและอีเว้นท์ได้แล้ว ทำให้เรามีงานเกือบทุกศุกร์และเสาร์แล้ว ดังนั้นคุณสามีเลยก็ออกจากงานประจำมาทำงานที่บริษัทอย่างเต็มตัว แต่เมื่อออกมาแล้ววันธรรมดาจันทร์ถึงพุธนี่ก็ว่างค่ะ เราเลยเริ่มมองหางานในส่วนของ Corporate Catering งานนี้ก็คือการไปขายอาหารให้บริษัทสำนักงานต่างๆ ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน เพราะส่วนใหญ่บริษัทต่างๆจะมีการประชุม มีตติ้งกันในช่วงกลางวัน และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลางาน และเวลากินอาหารกลางวันของเขา เขาก็เลยกินอาหารกลางวัน และคุยงานกันไปด้วย ซึ่งการตีตลาดนี้ก็ต้องทำเหมือนกับการตีตลาดสินค้าและบริการอื่นๆ คือการต้องไปขอพบลูกค้า โน้มน้าวให้เขาหันมาสั่งอาหารกับเรา แต่เราสองคนสามีภรรยา ไม่ชอบทำหน้าที่นี้สิคะ คุณสามีถนัดเรื่องทำอาหารอย่างเดียว งานไปหาลูกค้า ติดต่องานกับคนอื่นๆ นางง่อยมากๆเลย ทำไม่เป็นและไม่ชอบทำ ส่วนฉันนี่ก็งานยุ่งมาก เพราะตอนนั้นเลื่อนมาเป็นผู้จัดการโรงแรมแล้วค่ะ ทำงานประจำ และทำงานเป็นเบื้องหลังให้บริษัทเคเทอริ่งของเรา เลี้ยงลูก และดูแลงานบ้าน แค่นี้ก็หมดเวลาแล้ว จะออกไปเดินสายเป็นเซลก็ไม่มีเวลาค่ะ อีกทั้งการที่มีเมนูเปิดนี่เป็นอะไรที่ยากในการ ขายงานให้กับตลาดนี้มาก เพราะตลาดนี้เขาเอาความสะดวกเข้าว่าค่ะ เแค่แซนวิชกล่องเดียวกับน้ำอัดลม จบค่ะ เราเลยมานั่งคิดกันว่าจะจ้างเซลสักคนให้ไปขายงานให้เราดีไหม แต่มีปัญหาที่ว่าแล้วเซลเขาจะเอาอะไรไปขายให้ลูกค้า เพราะมันเป็นเมนูเปิด และถ้าจะให้ลูกค้ามานั่งพูดนั่งคุยกับเรา เพื่อที่เราจะเขียนเมนูให้เขานี่ เขาไม่มีเวลาค่ะ เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทอง เอาอีกแล้วค่ะเจอโจทย์ยากอีกแล้ว เราก็มานั่งคิดกันค่ะ คิดไปคิดมาก็มาจบที่ เราต้องมีเซ็ทเมนู เพื่อขายเมนูให้ลูกค้า ตอนแรก ฉันค้านหัวชนฝาเลย ว่าคอนเซ็บเราเป็นแบบ Open and Custom Menu และเราก็สู้เบิกทางไอเดียนี้มาจนถึงตอนนี้ จะให้ย้อนกลับไปที่เก่าเหรอ ใจฉันนี่หดหู่มาก เหมือนกับว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำมาอย่างยากเย็น กลายเป็นไร้ค่าไป แต่คุณสามีให้คำแนะนำว่า เราอย่าคิดถึงแต่ตัวเอง และติดอยู่กับสิ่งที่เราต้องการ เราต้องคิดถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นอันดับแรก มันอาจจะใช่ว่า Open Menu มันใช้ได้กับงานแต่งงานและอีเว้นท์ต่างๆ เราจะคงของมันไว้แบบนั้น แต่ในตลาด Coporate Catering มันอาจจะใช้ไม่ได้เลย และอีกอย่าง แนวทางและความต้องการของคนในตลาดนี้ก็เป็นคนละแนวทางของกลุ่มเป้าหมายในตลาดอื่น ดังนั้นการมีเซ็ทเมนูจึงเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด แต่ถึงแม้เราจะมีเซ็ทเมนู แต่เมนูของเราจะคงคอนเซ็บของเรา ที่ให้ตัวเลือกอาหารแตกต่างและวาไรตี้ ให้ option กับลูกค้ามากที่สุด
สรุปเป็นอันว่า เรามีเซ็ทเมนูให้กับบริษัทต่างๆที่เรียกว่า Coporate Menu ซึ่งผลออกมาเป็นที่ตอบรับและขายงานให้แก่ลูกค้ามากขึ้นค่ะ แต่เมนูของเรามีตัวเลือกให้เลือกพอสมควร ที่ลูกค้ามิกซ์และแมทช์ กันไปมาจนไม่รู้สึกว่าเขากินอาหารจำเจ อยู่ทุกวัน และอีกอย่างก็เป็นการง่ายสำหรับคุณสามีที่เมื่อก่อนเขาต้องเป็นคนรับงาน รับออเดอร์ เขียนเมนูให้แต่ละงาน พอมามี Coporate Menu ทางลูกน้องก็สามารถรับงานในส่วนนี้ได้ และเราก็สอนเขาทำอาหารในส่วนเมนูนี้ ให้แก่คนงานเป็นคนทำ โดยที่คุณสามีเป็นคนคุมเข้มในเรื่องคุณภาพและรสชาดของอาหาร ซึ่งในตอนนี้ส่วนมากคุณสามีก็ทีหน้าที่ เขียนเมนูและทำอาหารให้แก่ งานแต่งและงานอีเวนท์อย่างเดียว
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ก็หมดไส้หมดพุงแล้วค่ะ คิดว่าเรื่องเล่าและประการณ์ที่นำมาให้ได้อ่านกันจะมีประโยชน์กับคุณบ้าง และอยากให้กำลังใจคนที่กำลังเริ่มต้นกิจการงานใดๆ และเลยไปถึงคนที่มีและทำกิจการงานใดๆอยู่ค่ะ ว่าอย่าท้อนะคะ ฉันคิดอยู่เสมอว่าถ้าเราก้าวเดินหน้าไปเรื่อยๆ เราจะมีทางเดินเสมอ แต่มันก็ไม่ได้เป็นทางเดินตรงๆเสมอไป อาจจะเป็นทางคดเคี้ยว เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขาว หรือหลงทางกันไปบ้าง แต่ถ้าเรายังก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่มีวันหมดทางเดิน นอกเสียจากเราจะหยุดเดินเองค่ะ ประสบการณ์ที่คุณๆได้อ่านกัน มันเริ่มมาจากก้าวเล็กๆค่ะ และก็ค่อยๆเดินมาทีละก้าวๆ จนวันนี้เดินทางมาสิบปีแล้วค่ะ จะบอกว่ามันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะทำให้เราทั้งสองคน สามีภรรยาจะหยุดเดินค่ะ เราสองคนก็มีท้อบ้าง ความเห็นไม่ตรงกันบ้าง ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่เราไม่ปล่อยมือจากกันค่ะ เราสองคนเดินไปพร้อมกันจูงมือกันไป
ถึงวันนี้แล้ว งานบริษัทเคเทอริ่งก็เป็นรูปเป็นร่าง แต่การเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุดลงตรงนี้ค่ะ เรามีงานมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ปีหน้าเราจะขยับบริษัทเราจาก LLC ไปเป็น Corporate ค่ะ เพราะงานเข้ามาเยอะมาก เรื่องจิปาถะหยุ่มหยิมก็มีมากขึ้น การขยับฐานะเป็น Coporate ก็จะทำอะไรได้สะดวกมากขึ้นค่ะ แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องของอนาคต ฉันไม่ค่อยซีเรียสกับมันเท่าไหร่ เพราะจะคิดแค่วันนี้ค่ะว่า เราจะทำดีที่สุดในแต่ละวัน
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะคะ
งานนี้ชอบมากเลยค่ะ เจ้าบ่าวเป็นคนเวียดนาม แต่เจ้าสาวเป้นคนอเมริกัน นอกจากอาหารอเมริกันแล้ว เขาอยากให้เสิรฟก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม ในงานแต่งของเขา คุณสามีนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร จะเสริฟแบบบัพเฟต์ดีไหม ฉันบอกว่าไม่ดีหรอก เอาเป็นว่าให้มีมุมร้านก๋วยเตียวดีไหม พอเสนอเจ้าบ่าวเขาบอกชอบมาก ในวันงานก็จัดเลยค่ะ ร้านก๋วยเตี๋ยวลวกเส้นกันสดๆ ตรงนั้นเลย แขกในงานไม่ว่าคนเวียดนาม หรืออเมริกัน ชอบมากเลยค่ะ
งานนี้เจ้าสาวขอเมนู Seafood Boil แบบนิวออร์ลีนค่ะ ก็ลวกอาหารทะเลสดๆกันในงานเลย งานนี้ก็เป็นงานอีกงานหนึ่งที่ชอบมาก
คุณสามีกับการทำซูชิ ในคืน Sushi Night ค่ะ ทำอร่อยมากจนใครๆให้ฉายา Green Eyes Sushi Guy
เล่าได้เล่าดี ตอนเคเทอริ่งที่รัก ตอนที่ 4 (จบ)
ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/37919801
ตอนที่ 3 https://ppantip.com/topic/37922910
และเมื่อกลุ่มลูกค้าที่เขาอยากใช้บริการของเรา หรือ Outside Caterer อื่นๆ มีมากขึ้นเท่าไหร่ ทางสถานที่จัดงานอีเว้นท์ที่บังคับให้ลูกค้าใช้เคเทริ่งของเขา ก็เริ่มไม่มีลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเขารู้เหตุผลว่า มันเป็นเพราะเคเทอริ่งของเรา มี option ให้เขาเลือกมากกว่าที่บริษัทเคเทอริ่งของเขานำเสนอ เขาจึงอยากให้เคเทริ่งที่มาเช่าสถานที่ของเขา เพิ่ม option ให้มากขึ้นตามความต้องการของลูกค้า บางบริษัทก็ทำได้ บางบริษัทก็ทำไม่ได้ บริษัทไหนที่ทำได้ เขาก็ให้เช่าที่ต่อ บริษัทไหนทำไม่ได้เขาก็ไม่ต่อสัญญาเช่าที่ ก็มีหลายบริษัทที่ต้องปิดตัวไป (สงสารเขาเหมือนกัน แต่มันคือการแข่งขันค่ะ) สถานที่ที่ให้เช่าทำอีเว้นท์ไหนที่ยังมี เคเทอริ่งประจำ ก็เริ่มอนุญาตให้ลูกค้าใช้บริการ Outside Caterer ได้ แต่เขาเก็บเงินค่าธรรมเนียม กับลูกค้าที่ไม่ใช้เคเทอริ่งของเขา ลูกค้าบางคนชอบทั้งบริษัทเราและสถานที่ของเขาก็ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมนั้น แต่ถ้าลูกค้าคนไหนที่ชอบเรามากกว่า แต่ไม่อยากจ่ายค่าธรรมเนียมเขาก็ไปหา Venue อื่นที่ไม่มีเก็บค่าธรรมเนียมแบบนี้ และในเมื่อลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น สุดท้าย Venue รายย่อยต่างๆ ก็หันมาให้ลูกค้าใช้ เคเทอริ่งบริษัทไหนก็ได้โดยไม่จำกัด ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทเรารับงานได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง โฉมหน้าวงการการให้บริการของสถานที่จัดงานและ Event Center ค่ะ ฉันนี้อยาก ได้เครดิต และอยากคุยจังเลยว่าเรานี่แหละที่เป็นคนทำให้มันเปลี่ยนไป 555 คุณเห็นด้วยไหมคะ
อย่างที่รู้ๆกันค่ะ คนเรามีทั้งคนที่รักและคนที่ไม่รักค่ะ บริษัทเราก็เจอ เพราะไม่มีธุรกิจใหนชอบให้มีคู่แข่งค่ะ วันหนึ่งเพื่อนของเรา โพสต์ในเฟสบุคเพจ ของตัวเอง รีวิวชมบริษัทเรา ว่าไปงานเว็ดดิ้งโชว์ แล้วแวะบู๊ทบริษัทเคเทอริ่งของเรา บู้ทนี้ดูดีน่ารักจัง อะไรประมาณนี้ ทีนี้ก็มีแฟนคลับของอีกบริษัทนึงมาโพสต์คล้ายๆว่า ว่าบริษัทเคเทอริ่งของเรา ว่าเป็นบริษัทอะไรไม่เห็นเข้าท่า บริษัทนี้ (คู่แข่ง) ดีกว่า อาหารอร่อยกว่า บริการดีกว่า อะไรประมาณนี้ พอทางคุณแม่สามีเจอข้อความอันนั้น เกิดปรี๊ดแตก เพราะมาว่าบริษัทลูกชายสุดที่รัก นางก็ตอกกลับอีกตาคนนั้น แบบว่า Boo Hoo ไม่รู้จักเขามาว่าเขาทำไม บริษัทนายดีนักเหรอ อีตาคนนั้นก็ตอกกลับมา อย่างเจ็บแสบเหมือนกัน กลายเป็นว่าเกิดการตอกกลับไปกลับมา จนฉันไปเข้าเห็น เลยโพสต์บอกว่า "บริษัทของเรา ไม่เคยแข่งกับใคร เพราะว่าเราถือว่าเราเป็นคนในวงการเดียวกัน และเราดีใจที่อยู่ในวงการนี้ ที่มีแต่คนดีมีน้ำใจ และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" เท่านั้นค่ะ สงครามเฟสบุคระหว่างคุณแม่สามี กับชายคนนั้นถึงได้จบ ฉันเลยไปบอกคุณสามีว่านับตั้งแต่นี้ไปกรุณาอย่าให้คุณแม่สามี โพสต์อะไรแบบนี้อีก เพราะมันไม่ได้ช่วยเรา มันจะทำให้ภาพลักษณ์เราไม่ดี ถ้าไปต่อล้อต่อเถียงกันใน Social Network อีกทั้งยังย้ำกับพนักงานทุกคน ห้ามนินทา ว่าร้าย เสียดสี บริษัทใด หรือใคร ให้กับลูกค้าหรือคนอื่นๆฟัง เพราะการที่เราชมบริษัทเราว่าดี แต่ว่าร้ายบริษัทอื่น มันไม่ได้เป็นแผนการตลาดที่ดี มันไม่ได้ทำให้เราขายงานได้มากขึ้น แต่มันจะกลับสร้างความร้าวฉานในกลุ่มผู้ประกอบการงานแต่งงาน และนำผลเสียต่างๆ มาสู่บริษัทเรา ซึ่งฉันย้ำหนักย้ำหนาแบบนี้ให้พนักงานฟัง โดยเฉพาะ คุณสามีที่ปากคอเลาะร้ายยิ่งกว่าเชแเรมซี่เสียอีก คุณสามีของฉัน คนนี้นี่ตัวดีเลย เพราะเป็นคนวงใน ข่าวกรองเยอะมาก ว่าใครดี ทำอาหารอร่อย ใครไม่ดี ทำอาหารแย่ ฉันกำชับเลยว่า ห้ามเลยนะ ห้ามเอาไปพูดต่อเด็ดขาด เรื่องของเขาเราอย่าไปสนใจ ซึ่งพนักงานทุกคน และรวมไปถึงคุณสามีด้วย ก็ทำตามแบบเคร่งครัด ทำให้เราไม่ผิดใจกับใครๆ เพราะเราเข้าใจว่าในแต่ละกลุ่มสายงาน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มดีเจ ช่างภาพ สถานที่จัดงานเลี้ยง เสื้อผ้าหน้าผม เขามีการแข่งขันกันในกลุ่มอยู่แล้ว ก็มีบ้างที่จะสาดสี สาดโคลนใส่กัน และจ้องที่จะหาเพื่อนเข้าร่วมก๊วนโจมตีคู่แข่งของเขา เราบอกเลยว่า งานนี้เราจะไม่ยุ่ง
ในเมื่อบริษัทของเราเดินสายกลาง เป็นมิตรกับทุกคนทุกกลุ่ม เวลาเราไปทำอาหารให้งานไหน เราจะทำอาหารไปเผื่อเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนงานของสถานที่จัดงาน เด็กรับรถ ดีเจ ช่างภาพ หรือใครๆก็ตาม ถ้าอยู่ที่นั่น เราไปตามมากินหมดทุกคน ส่วนเจ้าของงานลูกค้าเรา ไม่ว่าอะไร เพราะอาหารมีมากมายจนแขกกินกันไม่หมด จนบางทีต้องห่อให้เขาเอากลับบ้านด้วย ตอนแรกๆคนที่ทำงานต่างๆ เขาก็เกรงใจ คือเขาไม่เคยมีบริษัทเคเทอริ่ง บริษัทไหนมาเรียกให้กินอาหาร เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วค่ะ เมื่อก่อนเคเทอริ่งเขาทำพอดีคนกับแขกที่มา ถ้าอาหารขาด ลูกค้าต้องวางเงินเพิ่ม เขาจึงเอาอาหารมาวางเพิ่มให้แขกกิน ดังนั้นจะไม่มีอาหารเหลือให้คนงานคนอื่นๆกิน แต่ฉันป็นคนไทยไงคะ ไม่ชอบเห็นคนอดอาหารค่ะ และเป็นนิสัยของคุณสามีที่ชอบทำอะไร เยอะแยะมากมาย เพราะกลัวว่าอาหารจะไม่พอกินกัน อาหารเราจึงมีพอแบ่งปันให้ทุกคนในงาน จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ถ้าบริษัทเคเทอริ่งของเรา ไปงานไหน งานนั้นไม่มีคนอดอาหาร ได้กินกันอิ่มหนำสำราญ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครมีธุรกิจอะไร หรืออยู่ในกลุ่มใหน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสถานที่ ดีเจ ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า ทำผม ร้านให้เช่าเครื่องตกแต่งและอุปกรณ์งานเลี้ยง ถ้าลูกค้าติดต่อไป เขาจะถามลูกค้าทันทีว่า มีคนทำอาหารให้หรือยัง และก็จะแนะนำ ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ ของบริษัทเคเทอริ่งของเรา ให้ลูกค้าไปในทันทีทันใด นี่ก็คืออีกวิธีหนึ่งค่ะ ที่ทางบริษัทได้งานจากการ preferred จากคนในวงการค่ะ
ในเมื่อตีตลาดทางด้านงานแต่งงานและอีเว้นท์ได้แล้ว ทำให้เรามีงานเกือบทุกศุกร์และเสาร์แล้ว ดังนั้นคุณสามีเลยก็ออกจากงานประจำมาทำงานที่บริษัทอย่างเต็มตัว แต่เมื่อออกมาแล้ววันธรรมดาจันทร์ถึงพุธนี่ก็ว่างค่ะ เราเลยเริ่มมองหางานในส่วนของ Corporate Catering งานนี้ก็คือการไปขายอาหารให้บริษัทสำนักงานต่างๆ ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน เพราะส่วนใหญ่บริษัทต่างๆจะมีการประชุม มีตติ้งกันในช่วงกลางวัน และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลางาน และเวลากินอาหารกลางวันของเขา เขาก็เลยกินอาหารกลางวัน และคุยงานกันไปด้วย ซึ่งการตีตลาดนี้ก็ต้องทำเหมือนกับการตีตลาดสินค้าและบริการอื่นๆ คือการต้องไปขอพบลูกค้า โน้มน้าวให้เขาหันมาสั่งอาหารกับเรา แต่เราสองคนสามีภรรยา ไม่ชอบทำหน้าที่นี้สิคะ คุณสามีถนัดเรื่องทำอาหารอย่างเดียว งานไปหาลูกค้า ติดต่องานกับคนอื่นๆ นางง่อยมากๆเลย ทำไม่เป็นและไม่ชอบทำ ส่วนฉันนี่ก็งานยุ่งมาก เพราะตอนนั้นเลื่อนมาเป็นผู้จัดการโรงแรมแล้วค่ะ ทำงานประจำ และทำงานเป็นเบื้องหลังให้บริษัทเคเทอริ่งของเรา เลี้ยงลูก และดูแลงานบ้าน แค่นี้ก็หมดเวลาแล้ว จะออกไปเดินสายเป็นเซลก็ไม่มีเวลาค่ะ อีกทั้งการที่มีเมนูเปิดนี่เป็นอะไรที่ยากในการ ขายงานให้กับตลาดนี้มาก เพราะตลาดนี้เขาเอาความสะดวกเข้าว่าค่ะ เแค่แซนวิชกล่องเดียวกับน้ำอัดลม จบค่ะ เราเลยมานั่งคิดกันว่าจะจ้างเซลสักคนให้ไปขายงานให้เราดีไหม แต่มีปัญหาที่ว่าแล้วเซลเขาจะเอาอะไรไปขายให้ลูกค้า เพราะมันเป็นเมนูเปิด และถ้าจะให้ลูกค้ามานั่งพูดนั่งคุยกับเรา เพื่อที่เราจะเขียนเมนูให้เขานี่ เขาไม่มีเวลาค่ะ เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทอง เอาอีกแล้วค่ะเจอโจทย์ยากอีกแล้ว เราก็มานั่งคิดกันค่ะ คิดไปคิดมาก็มาจบที่ เราต้องมีเซ็ทเมนู เพื่อขายเมนูให้ลูกค้า ตอนแรก ฉันค้านหัวชนฝาเลย ว่าคอนเซ็บเราเป็นแบบ Open and Custom Menu และเราก็สู้เบิกทางไอเดียนี้มาจนถึงตอนนี้ จะให้ย้อนกลับไปที่เก่าเหรอ ใจฉันนี่หดหู่มาก เหมือนกับว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำมาอย่างยากเย็น กลายเป็นไร้ค่าไป แต่คุณสามีให้คำแนะนำว่า เราอย่าคิดถึงแต่ตัวเอง และติดอยู่กับสิ่งที่เราต้องการ เราต้องคิดถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นอันดับแรก มันอาจจะใช่ว่า Open Menu มันใช้ได้กับงานแต่งงานและอีเว้นท์ต่างๆ เราจะคงของมันไว้แบบนั้น แต่ในตลาด Coporate Catering มันอาจจะใช้ไม่ได้เลย และอีกอย่าง แนวทางและความต้องการของคนในตลาดนี้ก็เป็นคนละแนวทางของกลุ่มเป้าหมายในตลาดอื่น ดังนั้นการมีเซ็ทเมนูจึงเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด แต่ถึงแม้เราจะมีเซ็ทเมนู แต่เมนูของเราจะคงคอนเซ็บของเรา ที่ให้ตัวเลือกอาหารแตกต่างและวาไรตี้ ให้ option กับลูกค้ามากที่สุด
สรุปเป็นอันว่า เรามีเซ็ทเมนูให้กับบริษัทต่างๆที่เรียกว่า Coporate Menu ซึ่งผลออกมาเป็นที่ตอบรับและขายงานให้แก่ลูกค้ามากขึ้นค่ะ แต่เมนูของเรามีตัวเลือกให้เลือกพอสมควร ที่ลูกค้ามิกซ์และแมทช์ กันไปมาจนไม่รู้สึกว่าเขากินอาหารจำเจ อยู่ทุกวัน และอีกอย่างก็เป็นการง่ายสำหรับคุณสามีที่เมื่อก่อนเขาต้องเป็นคนรับงาน รับออเดอร์ เขียนเมนูให้แต่ละงาน พอมามี Coporate Menu ทางลูกน้องก็สามารถรับงานในส่วนนี้ได้ และเราก็สอนเขาทำอาหารในส่วนเมนูนี้ ให้แก่คนงานเป็นคนทำ โดยที่คุณสามีเป็นคนคุมเข้มในเรื่องคุณภาพและรสชาดของอาหาร ซึ่งในตอนนี้ส่วนมากคุณสามีก็ทีหน้าที่ เขียนเมนูและทำอาหารให้แก่ งานแต่งและงานอีเวนท์อย่างเดียว
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ก็หมดไส้หมดพุงแล้วค่ะ คิดว่าเรื่องเล่าและประการณ์ที่นำมาให้ได้อ่านกันจะมีประโยชน์กับคุณบ้าง และอยากให้กำลังใจคนที่กำลังเริ่มต้นกิจการงานใดๆ และเลยไปถึงคนที่มีและทำกิจการงานใดๆอยู่ค่ะ ว่าอย่าท้อนะคะ ฉันคิดอยู่เสมอว่าถ้าเราก้าวเดินหน้าไปเรื่อยๆ เราจะมีทางเดินเสมอ แต่มันก็ไม่ได้เป็นทางเดินตรงๆเสมอไป อาจจะเป็นทางคดเคี้ยว เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขาว หรือหลงทางกันไปบ้าง แต่ถ้าเรายังก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่มีวันหมดทางเดิน นอกเสียจากเราจะหยุดเดินเองค่ะ ประสบการณ์ที่คุณๆได้อ่านกัน มันเริ่มมาจากก้าวเล็กๆค่ะ และก็ค่อยๆเดินมาทีละก้าวๆ จนวันนี้เดินทางมาสิบปีแล้วค่ะ จะบอกว่ามันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะทำให้เราทั้งสองคน สามีภรรยาจะหยุดเดินค่ะ เราสองคนก็มีท้อบ้าง ความเห็นไม่ตรงกันบ้าง ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่เราไม่ปล่อยมือจากกันค่ะ เราสองคนเดินไปพร้อมกันจูงมือกันไป
ถึงวันนี้แล้ว งานบริษัทเคเทอริ่งก็เป็นรูปเป็นร่าง แต่การเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุดลงตรงนี้ค่ะ เรามีงานมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ปีหน้าเราจะขยับบริษัทเราจาก LLC ไปเป็น Corporate ค่ะ เพราะงานเข้ามาเยอะมาก เรื่องจิปาถะหยุ่มหยิมก็มีมากขึ้น การขยับฐานะเป็น Coporate ก็จะทำอะไรได้สะดวกมากขึ้นค่ะ แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องของอนาคต ฉันไม่ค่อยซีเรียสกับมันเท่าไหร่ เพราะจะคิดแค่วันนี้ค่ะว่า เราจะทำดีที่สุดในแต่ละวัน
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะคะ
งานนี้ชอบมากเลยค่ะ เจ้าบ่าวเป็นคนเวียดนาม แต่เจ้าสาวเป้นคนอเมริกัน นอกจากอาหารอเมริกันแล้ว เขาอยากให้เสิรฟก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม ในงานแต่งของเขา คุณสามีนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร จะเสริฟแบบบัพเฟต์ดีไหม ฉันบอกว่าไม่ดีหรอก เอาเป็นว่าให้มีมุมร้านก๋วยเตียวดีไหม พอเสนอเจ้าบ่าวเขาบอกชอบมาก ในวันงานก็จัดเลยค่ะ ร้านก๋วยเตี๋ยวลวกเส้นกันสดๆ ตรงนั้นเลย แขกในงานไม่ว่าคนเวียดนาม หรืออเมริกัน ชอบมากเลยค่ะ
งานนี้เจ้าสาวขอเมนู Seafood Boil แบบนิวออร์ลีนค่ะ ก็ลวกอาหารทะเลสดๆกันในงานเลย งานนี้ก็เป็นงานอีกงานหนึ่งที่ชอบมาก
คุณสามีกับการทำซูชิ ในคืน Sushi Night ค่ะ ทำอร่อยมากจนใครๆให้ฉายา Green Eyes Sushi Guy