สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC แอ๊ด (หวางเจ๋)) ประจำการครับ ^^
วันนี้วันเข้าพรรษา หลายๆวัด จะมีการ "ตักบาตรดอกไม้" กัน จึงขอนำเรื่องราว ที่มาของการ "
ตักบาตรดอกไม้" มาเล่าสู่กันฟังครับ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนายมาลาการ (ช่างทำดอกไม้,ร้อยดอกไม้) ชื่อสุมนะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า
ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ดังนี้เป็นต้น
ดังได้สดับมา นายมาลาการนั้น บำรุงพระเจ้าพิมพิสารด้วยดอกมะลิ ๘ ทะนานแต่เช้าตรู่ทุกวัน ได้เงินพระราชทานตอบแทนวันละ ๘ กหาปณะ
วันหนึ่ง เมื่อเขากำลังเดินถือดอกไม้เข้าไปสู่พระนคร ก็พบพระผู้มีพระภาคซึ่งมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีเสด็จเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ด้วยพระพุทธานุภาพและพระพุทธลีลายิ่งใหญ่
ความจริงแล้ว บางคราว พระผู้มีพระภาคจะทรงปิดพระฉัพพรรณรังสี (แสงสว่างแห่งรัศมี ๖ สี) ด้วยจีวรแล้วจึงเสด็จไป เหมือนภิกษุธรรมดาผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรสักรูปหนึ่ง ตลอดทาง ๓๐ โยชน์, บางคราวก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีเหมือนทรงเปล่งในเวลาเสด็จเข้าไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นต้น ถึงในวันนั้นพระองค์ก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีจากพระสรีระเสด็จเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ ด้วยพระพุทธานุภาพและพระพุทธลีลายิ่งใหญ่เช่นกัน
ครั้งนั้น นายมาลาการเห็นพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเป็นเช่นกับรัตนะและทองอันมีค่า ประดับด้วยลักษณะแห่งพระมหาบุรุษ ๓๒ ประการอันมีส่วนแห่งความงามด้วยพระสิริคืออนุพยัญชนะอีก ๘๐ อย่าง ก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า "เราจักทำการบูชาอันยิ่งแด่พระศาสดาอย่างไรดีหนอ ?" เมื่อไม่เห็นสิ่งอื่นใด จึงคิดว่า "เราจักบูชาพระผู้มีพระภาคด้วยดอกไม้เหล่านี้" แล้วคิดอีกว่า "ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้สำหรับบำรุงพระราชาเป็นประจำ, พระราชา เมื่อไม่ทรงได้ดอกไม้เหล่านี้ ก็คงจะรับสั่งให้จองจำเรา ให้ฆ่าเรา หรือขับไล่เราไปเสียจากแว่นแคว้นก็เป็นได้, เราจะทำอย่างไรดี ?”
ทีนั้นเขาก็มีความคิดอย่างนี้ว่า "พระราชาจะทรงฆ่าเราหรือขับไล่เราไปเสียจากแว่นแคว้นก็ช่าง, ก็พระองค์แม้เมื่อพระราชทานแก่เรา ก็คงจะพระราชทานทรัพย์ซึ่งเพียงแค่เลี้ยงชีพในชาตินี้เท่านั้นแหละ ส่วนการบูชาพระศาสดา สามารถเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขให้แก่เราในหลายโกฏิหลายกัปป์ทีเดียว" จึงยอมสละชีวิตของตนแด่พระตถาคตเจ้า
เขาคิดว่า "จิตเลื่อมใสของเรายังไม่แปรผันตราบใด เราก็จักทำการบูชาตราบนั้นทีเดียว" แล้วก็ร่าเริงบันเทิงใจ มีจิตเบิกบานแช่มชื่น บูชาพระศาสดา
ถามว่าเขาบูชาอย่างไร ? เฉลยว่า ทีแรก นายมาลาการซัดดอกไม้สองกำมือขึ้นไปในเบื้องบนแห่งพระตถาคตก่อน ดอกไม้สองกำนั้นได้รวมตัวกันแผ่เป็นเพดานลอยอยู่ ณ เบื้องบนเหนือพระเศียร
เขาซัดดอกไม้ไปอีกสองกำมือ ดอกไม้เหล่านั้นได้ย้อยลงมาเป็นแผงกั้นอยู่ทางด้านพระหัตถ์ขวา โดยอาการซึ่งมาลาปิดบังไว้
เขาซัดดอกไม้ไปอีกสองกำมือ ดอกไม้สองกำนั้นก็ได้ห้อยย้อยลงมาเป็นแผงกั้นอยู่ทางด้านพระปฤษฎางค์ (หลัง) ของพระศาสดาเหมือนอย่างนั้น ครั้นเขาซัดดอกไม้ไปอีกสองกำ ดอกไม้เหล่านั้นก็ห้อยย้อยเป็นแผงลงมากั้นอยู่ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายอย่างนั้นเช่นกัน
ดอกไม้ทั้ง ๘ ทะนาน แบ่งเป็น ๘ กำมือ แวดล้อมพระตถาคตในทิศทั้ง ๔ ด้วยอาการอย่างนี้ ได้มีช่องทางพอเป็นประตูให้เดินเข้าไปข้างหน้าได้เท่านั้น ขั้วดอกไม้ทั้งหลายหันเข้าข้างใน กลีบดอกไม้หันออกข้างนอก
พระผู้มีพระภาค เป็นดุจถูกแวดล้อมด้วยแผ่นเงิน เสด็จพระพุทธดำเนินไปแล้ว
ดอกไม้ทั้งหลาย แม้ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่อาศัยบุคคลผู้มีชีวิตจิตใจ จึงไม่แยกจากกันไป ไม่ร่วงหล่น ลอยไปพร้อมกับองค์พระศาสดาเลยทีเดียว และหยุดลอยอยู่เฉยๆ ในที่ประทับยืน
พระรัศมี เป็นดุจสายฟ้าแลบนับแสนสาย กระจายออกจากพระสรีระของพระศาสดา พระรัศมีที่แลบออกมานั้น แลบออกมาทั้งข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา และเบื้องบนแห่งพระเศียร พระรัศมีแม้แต่สายเดียวก็ไม่หายไป ณ ที่ตรงเบื้องพระพักตร์เลย ทั้งหมดทุกสายทำการประทักษิณพระศาสดา ๓ รอบแล้วรวมตัวกันเป็นพระรัศมีลำใหญ่ประมาณเท่าต้นตาลหนุ่ม พุ่งตรงไปข้างหน้าทางเดียว
ชนทั้งหลายแตกตื่นกันทั่วทั้งพระนคร บรรดาชน ๑๘๐ ล้านคน คือในภายในนคร ๙๐ ล้าน ภายนอกนครอีก ๙๐ ล้าน ชายหรือหญิงที่ชื่อว่าจะไม่ถือเอาภิกษาออกไป (เพื่อจะถวาย) ไม่มีแม้สักคนเดียว มหาชนส่งเสียงดังอื้ออึง ยกท่อนผ้านับพันโบกสะบัดอยู่ข้างหน้าของพระศาสดาทีเดียว
ฝ่ายพระศาสดา เพื่อจะทรงทำคุณของนายมาลาการให้ได้รู้กันทั่ว จึงได้เสด็จเที่ยวไปในพระนครเป็นระยะทางยาวตลอด ๓ คาวุต ตามเส้นทางที่เขาเที่ยวตีกลองป่าวร้องประกาศไปนั่นเอง
ทั่วร่างของนายมาลาการเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ๕ ประการ เขาเที่ยวไปพร้อมกับพระตถาคตหน่อยหนึ่งเท่านั้นแล้วเข้าไปภายในพระพุทธรัศมี เป็นดุจจมเข้าไปในรสแห่งมโนสิลา (เหมือนคนเดินชนผนังหินที่มีลักษณะเหลวๆ แล้วถูกดูดหายเข้าไป) ชมเชยถวายบังคมพระศาสดาแล้วได้ถือเอากระเช้าเปล่าๆ เท่านั้นกลับบ้านไป
พอกลับถึงบ้าน ภรรยาก็ถามเขาว่า "ดอกไม้อยู่ไหน ?"
นายมาลาการตอบว่า “ฉันบูชาพระศาสดาแล้ว”
“แล้วตอนนี้เธอจะทำอะไรถวายพระราชาเล่า ?”
“พระราชาจะทรงฆ่าฉัน หรือจะทรงขับไล่ฉันไปจากแว่นแคว้นก็ช่าง, ฉันสละชีวิตบูชาพระศาสดาแล้ว, ดอกไม้ทั้งหมดมี ๘ กำมือ, กลายเป็นการบูชาแบบนี้แล้ว, มหาชนทำการโห่ร้องนับพัน เที่ยวไปพร้อมกับพระศาสดา, นั่นไง เสียงโห่ร้องของมหาชนในที่นั้น
ทีนั้น ภรรยาของเขาซึ่งเป็นหญิงอันธพาล ไม่เกิดความเลื่อมใสในพระปาฏิหาริย์แบบนั้นเลย ด่าเขาแล้วกล่าวว่า "ขึ้นชื่อว่าพระราชาทั้งหลาย ย่อมดุร้าย กริ้วคราวเดียวก็ทำความพินาศเป็นอันมากเช่นตัดมือและเท้า, ความพินาศต้องมีแม้แก่ฉันเพราะการกระทำของเธอ"
แล้วนางก็พาลูกๆ ไปสู่ราชตระกูล ถูกพระราชาตรัสเรียกมาถามว่า “มีเรื่องอะไรกันนี่ ?” จึงกราบทูลว่า "สามีของหม่อมฉันเอาดอกไม้สำหรับบำรุงพระองค์ไปบูชาพระศาสดาเสียแล้วกลับบ้านมือเปล่า หม่อมฉันถามว่าดอกไม้อยู่ไหน ก็กล่าวเช่นนี้ๆ, หม่อมฉันด่าเขาว่าอย่างนี้ๆแล้วก็ทิ้งเขามาในที่นี้ สิ่งที่เขาทำลงไปจะดีหรือชั่วก็ตาม,ขอให้ กรรมนั้นจงเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเพคะ ขอพระองค์จงทรงทราบว่าหม่อมฉันทิ้งเขาแล้ว”
ก็พระราชา ทรงบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ทรงถึงพร้อมด้วยศรัทธา เป็นอริยสาวก ด้วยการทรงเห็นทีแรก (คือเห็นโสดาปัตติมรรค) นั่นแล ทรงดำริว่า "โธ่เอ๋ย! หญิงนี้เป็นคนบอดเขลา ไม่เกิดความเลื่อมใสในคุณแบบนี้เลย" ท้าวเธอจึงแสร้งทำทีกริ้วตรัสว่า "เจ้าว่าอะไรนะ แม่หญิง ? เขาทำการบูชาด้วยดอกไม้สำหรับบำรุงข้าหรือ ?"
"ถูกแล้วเพคะ"
"เจ้าทิ้งเขาไป ทำดีแล้ว, ข้าจักจัดการกับนายมาลาการผู้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ทั้งหลายของข้าเอง" แล้วก็ทรงส่งนางกลับไป จากนั้นจึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วเสด็จเที่ยวไปพร้อมกับพระศาสดาเองทีเดียว
พระศาสดาทรงทราบความเลื่อมใสแห่งพระหฤทัยของพระราชานั้น จึงเสด็จเที่ยวไปสู่พระนครตามถนนซึ่งเขาเที่ยวตีกลองป่าวประกาศ แล้วได้เสด็จไปสู่พระทวารแห่งพระราชมนเทียรของพระราชา
พระราชาทรงรับบาตรแล้ว ได้ทรงมีพระประสงค์จะเชิญเสด็จพระศาสดาเข้าไปสู่พระราชมนเทียร แต่พระศาสดาทรงแสดงพระอาการจะประทับนั่งในพระลานหลวงนั่นเอง พระราชาทรงทราบความหมายในพระอาการนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้ตั้งปะรำในขณะนั้นนั่นเอง ด้วยพระดำรัสสั่งว่า "ท่านทั้งหลายจงสร้างปะรำโดยเร็ว" หลังจากนั้น พระศาสดาก็ประทับนั่งกับหมู่ภิกษุ
ถามว่า "ก็เพราะเหตุไร พระศาสดาจึงไม่เสด็จเข้าสู่พระราชมนเทียร ?" เฉลยว่า "เพราะได้ยินว่าพระองค์มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า “ ถ้าเราเข้าไปนั่งข้างใน, มหาชนก็จะมิได้เห็นเรา และคุณของนายมาลาการก็จะไม่ปรากฏ, แต่ว่า มหาชนจักได้เห็นเรานั่งอยู่ ณ พระลานหลวง, คุณของนายมาลาการก็จักปรากฏให้รู้กันทั่ว"
แท้ที่จริง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ย่อมอาจกระทำคุณของผู้มีคุณทั้งหลายให้ปรากฏได้, ชนที่เหลือเมื่อจะกล่าวคุณของผู้มีคุณทั้งหลาย มักจะตระหนี่ (คือออมเสีย ไม่ค่อยจะบอกให้ใครๆรู้ กลัวเขาเด่นดังได้หน้า ฯลฯ)
แผงดอกไม้ทั้ง ๔ แผงได้ตั้งอยู่ในทิศทั้ง ๔ มหาชนก็แวดล้อมพระศาสดา
พระราชาทรงถวายภัตตาหารแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยอาหารอันประณีต ในเวลาเสด็จภัตกิจ ทรงกระทำการอนุโมทนาแล้ว มีแผงดอกไม้ ๔ แผงแวดล้อมดังที่กล่าวมา และมหาชนผู้บันลือสีหนาทแวดล้อม ได้เสด็จไปสู่พระวิหาร
พระราชาตามส่งเสด็จพระศาสดา แล้วรับสั่งให้หาตัวนายมาลาการมาตรัสถามว่า "เจ้าเอาดอกไม้ที่พึงนำมาเพื่อบำรุงเรา ไปบูชาพระศาสดาหมดแล้ว จะว่าอย่างไร ?"
นายมาลาการกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าพระองค์คิดว่า 'พระราชาจะฆ่าเราหรือจะขับไล่เราไปเสียจากแว่นแคว้นก็ช่าง เราจะสละชีวิตบูชาพระศาสดา ดังนี้แล้ว จึงเอาดอกไม้บูชาพระศาสดา พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสว่า "เจ้านับว่าเป็นมหาบุรุษแท้" แล้วพระราชทานสิ่งของที่ควรพระราชทาน ๘ อย่างคือ ช้าง ๘ เชือก ม้า ๘ ตัว ทาส ๘ คน ทาสี ๘ นาง เครื่องประดับชิ้นใหญ่ ๘ ชิ้น เงินกหาปณะ ๘ พัน นารี ๘ นาง ซึ่งนำมาจากราชตระกูลประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ และบ้านส่วย (สำนักเก็บภาษี) ๘ ตำบล (อย่างสุดท้ายนี้สำคัญที่สุดละครับ แค่ตำบลเดียวก็รวยสบายๆ นี่ตั้งแปดตำบล รวยเละตลอดชาติ)
พระอานนทเถระคิดว่า "วันนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงอื้ออึงนับพัน และการยกท่อนผ้านับพันโบกสะบัด, ผลบุญของนายมาลาการเป็นอย่างไรกันนะ ?" แล้วจึงทูลถามพระศาสดา
ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะท่านว่า "อานนท์ เธออย่าได้คาดคิดว่า นายมาลาการนี้ทำกรรมมีประมาณเล็กน้อย' ก็เพราะเขาได้สละชีวิตทำการบูชาเราแล้ว,ทำจิตให้เลื่อมใสในเราด้วยอาการอย่างนี้แล้ว จักไม่ไปสู่ทุคติ ตลอดกาลนานแสนกัปป์" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาหนึ่งซึ่งมีความว่า
นายมาลาการ จักดำรงอยู่ในหมู่เทพและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่ไปสู่คติตลอดแสนกัป
นี่เป็นผลแห่งกรรมนั้น, ภายหลังเขาจักเป็นพระปัจเจกพุทเจ้านามว่าสุมนะ ฯ
ก็ในเวลาพระศาสดาเสด็จถึงพระวิหารเข้าไปสู่พระคันธกุฎี ดอกไม้เหล่านั้นก็ร่วงตกลงไปที่ซุ้มประตูทั้งหมด
ในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "โอ้โฮ ! บุญกรรมของนายมาลาการ น่าอัศจรรย์, เขาสละชีวิตเพื่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทำการบูชาด้วยดอกไม้แล้วได้ของพระราชทานอย่างละแปดๆ ทันทีทีเดียว"
พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎีแล้วเสด็จไปสู่โรงธรรม ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์แล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลบอกแล้วจึงตรัสว่า "ก็อย่างนั้นแหละภิกษุทั้งหลาย ความเดือดร้อนในภายหลังย่อมไม่มี โสมนัสเท่านั้นย่อมเกิดขึ้นทุกขณะที่ระลึกได้ เพราะบุคคลกระทำกรรมใด, กรรมแบบนั้น บุคคลควรทำโดยแท้ ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาอันมีใจความว่า
บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้อิ่มเอิบ มีใจดี
ย่อมเสวยผลกรรมใด, กรรมนั้นแล อันบุคคลทำแล้ว ย่อมเป็นกรรมดี ฯ
และต่อมาภายหลัง การถวายดอกไม้ ได้กลายเป็นประเพณี “ตักบาตรดอกไม้” คือการนำดอกไม้ใส่บาตรเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างที่นายช่างดอกไม้สุมนะเคยทำถวายพระพุทธองค์ในครั้งนั้น ทุกวันเข้าพรรษา สืบเนื่องกันมาตราบจบถึงทุกวันนี้
พบกันใหม่คราวหน้าครับ
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียงเพลง 28/7/2561 - ที่มาการตักบาตรดอกไม้
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC แอ๊ด (หวางเจ๋)) ประจำการครับ ^^
วันนี้วันเข้าพรรษา หลายๆวัด จะมีการ "ตักบาตรดอกไม้" กัน จึงขอนำเรื่องราว ที่มาของการ "ตักบาตรดอกไม้" มาเล่าสู่กันฟังครับ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนายมาลาการ (ช่างทำดอกไม้,ร้อยดอกไม้) ชื่อสุมนะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ดังนี้เป็นต้น
ดังได้สดับมา นายมาลาการนั้น บำรุงพระเจ้าพิมพิสารด้วยดอกมะลิ ๘ ทะนานแต่เช้าตรู่ทุกวัน ได้เงินพระราชทานตอบแทนวันละ ๘ กหาปณะ
วันหนึ่ง เมื่อเขากำลังเดินถือดอกไม้เข้าไปสู่พระนคร ก็พบพระผู้มีพระภาคซึ่งมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีเสด็จเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ด้วยพระพุทธานุภาพและพระพุทธลีลายิ่งใหญ่
ความจริงแล้ว บางคราว พระผู้มีพระภาคจะทรงปิดพระฉัพพรรณรังสี (แสงสว่างแห่งรัศมี ๖ สี) ด้วยจีวรแล้วจึงเสด็จไป เหมือนภิกษุธรรมดาผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรสักรูปหนึ่ง ตลอดทาง ๓๐ โยชน์, บางคราวก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีเหมือนทรงเปล่งในเวลาเสด็จเข้าไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นต้น ถึงในวันนั้นพระองค์ก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีจากพระสรีระเสด็จเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ ด้วยพระพุทธานุภาพและพระพุทธลีลายิ่งใหญ่เช่นกัน
ครั้งนั้น นายมาลาการเห็นพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเป็นเช่นกับรัตนะและทองอันมีค่า ประดับด้วยลักษณะแห่งพระมหาบุรุษ ๓๒ ประการอันมีส่วนแห่งความงามด้วยพระสิริคืออนุพยัญชนะอีก ๘๐ อย่าง ก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า "เราจักทำการบูชาอันยิ่งแด่พระศาสดาอย่างไรดีหนอ ?" เมื่อไม่เห็นสิ่งอื่นใด จึงคิดว่า "เราจักบูชาพระผู้มีพระภาคด้วยดอกไม้เหล่านี้" แล้วคิดอีกว่า "ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้สำหรับบำรุงพระราชาเป็นประจำ, พระราชา เมื่อไม่ทรงได้ดอกไม้เหล่านี้ ก็คงจะรับสั่งให้จองจำเรา ให้ฆ่าเรา หรือขับไล่เราไปเสียจากแว่นแคว้นก็เป็นได้, เราจะทำอย่างไรดี ?”
ทีนั้นเขาก็มีความคิดอย่างนี้ว่า "พระราชาจะทรงฆ่าเราหรือขับไล่เราไปเสียจากแว่นแคว้นก็ช่าง, ก็พระองค์แม้เมื่อพระราชทานแก่เรา ก็คงจะพระราชทานทรัพย์ซึ่งเพียงแค่เลี้ยงชีพในชาตินี้เท่านั้นแหละ ส่วนการบูชาพระศาสดา สามารถเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขให้แก่เราในหลายโกฏิหลายกัปป์ทีเดียว" จึงยอมสละชีวิตของตนแด่พระตถาคตเจ้า
เขาคิดว่า "จิตเลื่อมใสของเรายังไม่แปรผันตราบใด เราก็จักทำการบูชาตราบนั้นทีเดียว" แล้วก็ร่าเริงบันเทิงใจ มีจิตเบิกบานแช่มชื่น บูชาพระศาสดา
ถามว่าเขาบูชาอย่างไร ? เฉลยว่า ทีแรก นายมาลาการซัดดอกไม้สองกำมือขึ้นไปในเบื้องบนแห่งพระตถาคตก่อน ดอกไม้สองกำนั้นได้รวมตัวกันแผ่เป็นเพดานลอยอยู่ ณ เบื้องบนเหนือพระเศียร
เขาซัดดอกไม้ไปอีกสองกำมือ ดอกไม้เหล่านั้นได้ย้อยลงมาเป็นแผงกั้นอยู่ทางด้านพระหัตถ์ขวา โดยอาการซึ่งมาลาปิดบังไว้
เขาซัดดอกไม้ไปอีกสองกำมือ ดอกไม้สองกำนั้นก็ได้ห้อยย้อยลงมาเป็นแผงกั้นอยู่ทางด้านพระปฤษฎางค์ (หลัง) ของพระศาสดาเหมือนอย่างนั้น ครั้นเขาซัดดอกไม้ไปอีกสองกำ ดอกไม้เหล่านั้นก็ห้อยย้อยเป็นแผงลงมากั้นอยู่ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายอย่างนั้นเช่นกัน
ดอกไม้ทั้ง ๘ ทะนาน แบ่งเป็น ๘ กำมือ แวดล้อมพระตถาคตในทิศทั้ง ๔ ด้วยอาการอย่างนี้ ได้มีช่องทางพอเป็นประตูให้เดินเข้าไปข้างหน้าได้เท่านั้น ขั้วดอกไม้ทั้งหลายหันเข้าข้างใน กลีบดอกไม้หันออกข้างนอก
พระผู้มีพระภาค เป็นดุจถูกแวดล้อมด้วยแผ่นเงิน เสด็จพระพุทธดำเนินไปแล้ว
ดอกไม้ทั้งหลาย แม้ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่อาศัยบุคคลผู้มีชีวิตจิตใจ จึงไม่แยกจากกันไป ไม่ร่วงหล่น ลอยไปพร้อมกับองค์พระศาสดาเลยทีเดียว และหยุดลอยอยู่เฉยๆ ในที่ประทับยืน
พระรัศมี เป็นดุจสายฟ้าแลบนับแสนสาย กระจายออกจากพระสรีระของพระศาสดา พระรัศมีที่แลบออกมานั้น แลบออกมาทั้งข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา และเบื้องบนแห่งพระเศียร พระรัศมีแม้แต่สายเดียวก็ไม่หายไป ณ ที่ตรงเบื้องพระพักตร์เลย ทั้งหมดทุกสายทำการประทักษิณพระศาสดา ๓ รอบแล้วรวมตัวกันเป็นพระรัศมีลำใหญ่ประมาณเท่าต้นตาลหนุ่ม พุ่งตรงไปข้างหน้าทางเดียว
ชนทั้งหลายแตกตื่นกันทั่วทั้งพระนคร บรรดาชน ๑๘๐ ล้านคน คือในภายในนคร ๙๐ ล้าน ภายนอกนครอีก ๙๐ ล้าน ชายหรือหญิงที่ชื่อว่าจะไม่ถือเอาภิกษาออกไป (เพื่อจะถวาย) ไม่มีแม้สักคนเดียว มหาชนส่งเสียงดังอื้ออึง ยกท่อนผ้านับพันโบกสะบัดอยู่ข้างหน้าของพระศาสดาทีเดียว
ฝ่ายพระศาสดา เพื่อจะทรงทำคุณของนายมาลาการให้ได้รู้กันทั่ว จึงได้เสด็จเที่ยวไปในพระนครเป็นระยะทางยาวตลอด ๓ คาวุต ตามเส้นทางที่เขาเที่ยวตีกลองป่าวร้องประกาศไปนั่นเอง
ทั่วร่างของนายมาลาการเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ๕ ประการ เขาเที่ยวไปพร้อมกับพระตถาคตหน่อยหนึ่งเท่านั้นแล้วเข้าไปภายในพระพุทธรัศมี เป็นดุจจมเข้าไปในรสแห่งมโนสิลา (เหมือนคนเดินชนผนังหินที่มีลักษณะเหลวๆ แล้วถูกดูดหายเข้าไป) ชมเชยถวายบังคมพระศาสดาแล้วได้ถือเอากระเช้าเปล่าๆ เท่านั้นกลับบ้านไป
พอกลับถึงบ้าน ภรรยาก็ถามเขาว่า "ดอกไม้อยู่ไหน ?"
นายมาลาการตอบว่า “ฉันบูชาพระศาสดาแล้ว”
“แล้วตอนนี้เธอจะทำอะไรถวายพระราชาเล่า ?”
“พระราชาจะทรงฆ่าฉัน หรือจะทรงขับไล่ฉันไปจากแว่นแคว้นก็ช่าง, ฉันสละชีวิตบูชาพระศาสดาแล้ว, ดอกไม้ทั้งหมดมี ๘ กำมือ, กลายเป็นการบูชาแบบนี้แล้ว, มหาชนทำการโห่ร้องนับพัน เที่ยวไปพร้อมกับพระศาสดา, นั่นไง เสียงโห่ร้องของมหาชนในที่นั้น
ทีนั้น ภรรยาของเขาซึ่งเป็นหญิงอันธพาล ไม่เกิดความเลื่อมใสในพระปาฏิหาริย์แบบนั้นเลย ด่าเขาแล้วกล่าวว่า "ขึ้นชื่อว่าพระราชาทั้งหลาย ย่อมดุร้าย กริ้วคราวเดียวก็ทำความพินาศเป็นอันมากเช่นตัดมือและเท้า, ความพินาศต้องมีแม้แก่ฉันเพราะการกระทำของเธอ"
แล้วนางก็พาลูกๆ ไปสู่ราชตระกูล ถูกพระราชาตรัสเรียกมาถามว่า “มีเรื่องอะไรกันนี่ ?” จึงกราบทูลว่า "สามีของหม่อมฉันเอาดอกไม้สำหรับบำรุงพระองค์ไปบูชาพระศาสดาเสียแล้วกลับบ้านมือเปล่า หม่อมฉันถามว่าดอกไม้อยู่ไหน ก็กล่าวเช่นนี้ๆ, หม่อมฉันด่าเขาว่าอย่างนี้ๆแล้วก็ทิ้งเขามาในที่นี้ สิ่งที่เขาทำลงไปจะดีหรือชั่วก็ตาม,ขอให้ กรรมนั้นจงเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเพคะ ขอพระองค์จงทรงทราบว่าหม่อมฉันทิ้งเขาแล้ว”
ก็พระราชา ทรงบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ทรงถึงพร้อมด้วยศรัทธา เป็นอริยสาวก ด้วยการทรงเห็นทีแรก (คือเห็นโสดาปัตติมรรค) นั่นแล ทรงดำริว่า "โธ่เอ๋ย! หญิงนี้เป็นคนบอดเขลา ไม่เกิดความเลื่อมใสในคุณแบบนี้เลย" ท้าวเธอจึงแสร้งทำทีกริ้วตรัสว่า "เจ้าว่าอะไรนะ แม่หญิง ? เขาทำการบูชาด้วยดอกไม้สำหรับบำรุงข้าหรือ ?"
"ถูกแล้วเพคะ"
"เจ้าทิ้งเขาไป ทำดีแล้ว, ข้าจักจัดการกับนายมาลาการผู้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ทั้งหลายของข้าเอง" แล้วก็ทรงส่งนางกลับไป จากนั้นจึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วเสด็จเที่ยวไปพร้อมกับพระศาสดาเองทีเดียว
พระศาสดาทรงทราบความเลื่อมใสแห่งพระหฤทัยของพระราชานั้น จึงเสด็จเที่ยวไปสู่พระนครตามถนนซึ่งเขาเที่ยวตีกลองป่าวประกาศ แล้วได้เสด็จไปสู่พระทวารแห่งพระราชมนเทียรของพระราชา
พระราชาทรงรับบาตรแล้ว ได้ทรงมีพระประสงค์จะเชิญเสด็จพระศาสดาเข้าไปสู่พระราชมนเทียร แต่พระศาสดาทรงแสดงพระอาการจะประทับนั่งในพระลานหลวงนั่นเอง พระราชาทรงทราบความหมายในพระอาการนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้ตั้งปะรำในขณะนั้นนั่นเอง ด้วยพระดำรัสสั่งว่า "ท่านทั้งหลายจงสร้างปะรำโดยเร็ว" หลังจากนั้น พระศาสดาก็ประทับนั่งกับหมู่ภิกษุ
ถามว่า "ก็เพราะเหตุไร พระศาสดาจึงไม่เสด็จเข้าสู่พระราชมนเทียร ?" เฉลยว่า "เพราะได้ยินว่าพระองค์มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า “ ถ้าเราเข้าไปนั่งข้างใน, มหาชนก็จะมิได้เห็นเรา และคุณของนายมาลาการก็จะไม่ปรากฏ, แต่ว่า มหาชนจักได้เห็นเรานั่งอยู่ ณ พระลานหลวง, คุณของนายมาลาการก็จักปรากฏให้รู้กันทั่ว"
แท้ที่จริง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ย่อมอาจกระทำคุณของผู้มีคุณทั้งหลายให้ปรากฏได้, ชนที่เหลือเมื่อจะกล่าวคุณของผู้มีคุณทั้งหลาย มักจะตระหนี่ (คือออมเสีย ไม่ค่อยจะบอกให้ใครๆรู้ กลัวเขาเด่นดังได้หน้า ฯลฯ)
แผงดอกไม้ทั้ง ๔ แผงได้ตั้งอยู่ในทิศทั้ง ๔ มหาชนก็แวดล้อมพระศาสดา
พระราชาทรงถวายภัตตาหารแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยอาหารอันประณีต ในเวลาเสด็จภัตกิจ ทรงกระทำการอนุโมทนาแล้ว มีแผงดอกไม้ ๔ แผงแวดล้อมดังที่กล่าวมา และมหาชนผู้บันลือสีหนาทแวดล้อม ได้เสด็จไปสู่พระวิหาร
พระราชาตามส่งเสด็จพระศาสดา แล้วรับสั่งให้หาตัวนายมาลาการมาตรัสถามว่า "เจ้าเอาดอกไม้ที่พึงนำมาเพื่อบำรุงเรา ไปบูชาพระศาสดาหมดแล้ว จะว่าอย่างไร ?"
นายมาลาการกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าพระองค์คิดว่า 'พระราชาจะฆ่าเราหรือจะขับไล่เราไปเสียจากแว่นแคว้นก็ช่าง เราจะสละชีวิตบูชาพระศาสดา ดังนี้แล้ว จึงเอาดอกไม้บูชาพระศาสดา พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสว่า "เจ้านับว่าเป็นมหาบุรุษแท้" แล้วพระราชทานสิ่งของที่ควรพระราชทาน ๘ อย่างคือ ช้าง ๘ เชือก ม้า ๘ ตัว ทาส ๘ คน ทาสี ๘ นาง เครื่องประดับชิ้นใหญ่ ๘ ชิ้น เงินกหาปณะ ๘ พัน นารี ๘ นาง ซึ่งนำมาจากราชตระกูลประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ และบ้านส่วย (สำนักเก็บภาษี) ๘ ตำบล (อย่างสุดท้ายนี้สำคัญที่สุดละครับ แค่ตำบลเดียวก็รวยสบายๆ นี่ตั้งแปดตำบล รวยเละตลอดชาติ)
พระอานนทเถระคิดว่า "วันนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงอื้ออึงนับพัน และการยกท่อนผ้านับพันโบกสะบัด, ผลบุญของนายมาลาการเป็นอย่างไรกันนะ ?" แล้วจึงทูลถามพระศาสดา
ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะท่านว่า "อานนท์ เธออย่าได้คาดคิดว่า นายมาลาการนี้ทำกรรมมีประมาณเล็กน้อย' ก็เพราะเขาได้สละชีวิตทำการบูชาเราแล้ว,ทำจิตให้เลื่อมใสในเราด้วยอาการอย่างนี้แล้ว จักไม่ไปสู่ทุคติ ตลอดกาลนานแสนกัปป์" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาหนึ่งซึ่งมีความว่า
นายมาลาการ จักดำรงอยู่ในหมู่เทพและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่ไปสู่คติตลอดแสนกัป
นี่เป็นผลแห่งกรรมนั้น, ภายหลังเขาจักเป็นพระปัจเจกพุทเจ้านามว่าสุมนะ ฯ
ก็ในเวลาพระศาสดาเสด็จถึงพระวิหารเข้าไปสู่พระคันธกุฎี ดอกไม้เหล่านั้นก็ร่วงตกลงไปที่ซุ้มประตูทั้งหมด
ในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "โอ้โฮ ! บุญกรรมของนายมาลาการ น่าอัศจรรย์, เขาสละชีวิตเพื่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทำการบูชาด้วยดอกไม้แล้วได้ของพระราชทานอย่างละแปดๆ ทันทีทีเดียว"
พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎีแล้วเสด็จไปสู่โรงธรรม ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์แล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลบอกแล้วจึงตรัสว่า "ก็อย่างนั้นแหละภิกษุทั้งหลาย ความเดือดร้อนในภายหลังย่อมไม่มี โสมนัสเท่านั้นย่อมเกิดขึ้นทุกขณะที่ระลึกได้ เพราะบุคคลกระทำกรรมใด, กรรมแบบนั้น บุคคลควรทำโดยแท้ ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาอันมีใจความว่า
บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้อิ่มเอิบ มีใจดี
ย่อมเสวยผลกรรมใด, กรรมนั้นแล อันบุคคลทำแล้ว ย่อมเป็นกรรมดี ฯ
และต่อมาภายหลัง การถวายดอกไม้ ได้กลายเป็นประเพณี “ตักบาตรดอกไม้” คือการนำดอกไม้ใส่บาตรเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างที่นายช่างดอกไม้สุมนะเคยทำถวายพระพุทธองค์ในครั้งนั้น ทุกวันเข้าพรรษา สืบเนื่องกันมาตราบจบถึงทุกวันนี้
พบกันใหม่คราวหน้าครับ