(เนื้อหากระทู้มีนัยยะทางศาสนา ที่เกี่ยวกับอวกาศและจักรวาล ท่านใดไม่มีความเชื่อทางศาสนา สามารถอ่านไว้เป็นความรู้และสำหรับไว้คิดต่อยอดได้ ว่าเพราะอะไรคนสมัยก่อนถึงมีความคิดว่า มีระบบสุริยจักรวาลอื่น ๆ นอกจากของเราอีก แถมยังมีศาสดาในระบบสุริยจักรวาลของเรา ไปแสดงธรรมะของศาสนาตนเองในระบบสุริยจักรวาลนั้นด้วย ถือว่าคิดนอกกรอบทีเดียว)
ในอรรถกถามหาสีหนาทสูตร มีข้อความตอนหนึ่งเนื้อความว่า พระพุทธเจ้าครั้งยังทรงมีพระชนม์อยู่ มิได้ทรงแสดงธรรมเพียงแค่กับพุทธบริษัทในโลกเราเท่านั้น แต่ก็ทรงแสดงธรรมกับมนุษย์ดาวอื่นด้วย ซึ่งมนุษย์ดาวอื่น ๆ ที่ทรงไปแสดงธรรมให้นั้น ไม่ใช่พุทธบริษัทโดยตรงซะทีเดียว แต่ทรงเสด็จไปแสดงธรรม เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีอุปนิสัยปัจจัยได้มาเกิดมารับพระรัตนตรัยเป็นสรณะในชาติต่อไปได้
- อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรคมหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท -
(ข้อความตอนหนึ่ง)
ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้ระบบสุริยจักรวาลเหล่าอื่นหรือ. ใช่ เสด็จไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว.
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้วด้วยธรรมีกถาก็หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.
เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลาและของหอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาวบ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ.
พระศาสดาเสด็จไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อมเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนักดังนี้. ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้าง พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มีเสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้ว ย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการพิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใครหนอแลอยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวานด้วยภาษามคธ ด้วยภาษาสีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.
ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร? (หมายถึงทรงแสดงธรรมกับมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นทำไม)
ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัย (แห่งการได้มรรคผลนิพพานของมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น) ในอนาคตนั้นเทียว.
********
ซึ่งการได้มามีพระรัตนตรัยเป๊นสรณะ ก็สามารถไปเกิดใหม่แล้วมามีได้ในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน และศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปก็ได้เช่นกัน
จุดนี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุแล้ว ทรงใช้ความเป็นพระพุทธเจ้าคุ้มทีเดียว ทรงกวาดบรรดาคนที่มีสิทธิ์จะได้โอกาสไปนิพพานได้ ให้ได้ไปเต็มที่
ปล.นี่แสดงให้เห็นว่า สังคมระบบสุริยจักรวาลอื่น ๆ ก็ปรกครองโดยระบอบกษัตริย์เช่นเดียวกัน
มหาสีหนาทสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=12&siri=12
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=159
พระพุทธเจ้าทรงเคยเสด็จไปแสดงธรรมให้กับระบบสุริยจักรวาลอื่น
ในอรรถกถามหาสีหนาทสูตร มีข้อความตอนหนึ่งเนื้อความว่า พระพุทธเจ้าครั้งยังทรงมีพระชนม์อยู่ มิได้ทรงแสดงธรรมเพียงแค่กับพุทธบริษัทในโลกเราเท่านั้น แต่ก็ทรงแสดงธรรมกับมนุษย์ดาวอื่นด้วย ซึ่งมนุษย์ดาวอื่น ๆ ที่ทรงไปแสดงธรรมให้นั้น ไม่ใช่พุทธบริษัทโดยตรงซะทีเดียว แต่ทรงเสด็จไปแสดงธรรม เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีอุปนิสัยปัจจัยได้มาเกิดมารับพระรัตนตรัยเป็นสรณะในชาติต่อไปได้
- อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรคมหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท -
(ข้อความตอนหนึ่ง)
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้ระบบสุริยจักรวาลเหล่าอื่นหรือ. ใช่ เสด็จไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว.
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้วด้วยธรรมีกถาก็หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.
เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลาและของหอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาวบ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ.
พระศาสดาเสด็จไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อมเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนักดังนี้. ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้าง พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มีเสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้ว ย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการพิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใครหนอแลอยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวานด้วยภาษามคธ ด้วยภาษาสีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.
ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร? (หมายถึงทรงแสดงธรรมกับมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นทำไม)
ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัย (แห่งการได้มรรคผลนิพพานของมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น) ในอนาคตนั้นเทียว.
********
ซึ่งการได้มามีพระรัตนตรัยเป๊นสรณะ ก็สามารถไปเกิดใหม่แล้วมามีได้ในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน และศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปก็ได้เช่นกัน
จุดนี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุแล้ว ทรงใช้ความเป็นพระพุทธเจ้าคุ้มทีเดียว ทรงกวาดบรรดาคนที่มีสิทธิ์จะได้โอกาสไปนิพพานได้ ให้ได้ไปเต็มที่
ปล.นี่แสดงให้เห็นว่า สังคมระบบสุริยจักรวาลอื่น ๆ ก็ปรกครองโดยระบอบกษัตริย์เช่นเดียวกัน
มหาสีหนาทสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=12&siri=12
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=159