เส้นทางโรคไต 14 ปีที่ผ่านมา
การล้างไตทางช่องท้อง (ทางเลือกสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจ) ปล.เรื่องเล่ายาวมาก
http://ppantip.com/topic/30258072
อาหารการกิน กินยังอะไร สำหรับคนเป็นโรคไต จากประสบการณ์การกินของเรา
http://ppantip.com/topic/30258072/comment61
เมื่อฉันติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 2 ครั้ง 2 ครา (คราวนี้เล่ายาวสำหรับอ่านเพลินๆ)
http://ppantip.com/topic/31565636
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 5 ครั้ง ยังไม่ตาย (เรื่องเล่ายาวอีกแล้ว)
https://ppantip.com/topic/34511162
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง เพราะน้ำแข็งนอกบ้านสกปรกมาก วอนร้านค้าช่วยดูแล (ครั้งที่6)
https://ppantip.com/topic/37867409
ได้เปลี่ยนไตแล้วนะ (เรื่องเล่าการรอไตที่ยาวนาน 7 ปี )
https://ppantip.com/topic/38869733
เปลี่ยนไต ครบ 1 ปี แฮปปี้มากๆเลย (เรื่องเล่ายาวทั้งปี)
https://ppantip.com/topic/39860172
อัพเดทชีวิต 2 พค 66 เปลี่ยนไตครบ 4 ปี แข็งแรงดีจ้า
https://ppantip.com/topic/41995158
สอบถามพูดคุยปรึกษากันได้ในกลุ่ม อุ้ย...ไตวาย ว๊ายกรี๊ด
https://www.facebook.com/groups/1681219468779675/
มาอีกแล้ว ยัยคนนี้มีเรื่องเล่ายาวมากมาอีกแล้ว 555
6 ปีมาแล้ว ยังไม่ตายนะจ้ะ ยังอยู่ แข็งแรงดี สบายดี
ที่เขียนกระทู้นี้ก็เอาไว้ระลึกถึง และให้คนอื่นได้อ่านเป็นประสบการณ์บอกเล่า
.....
อ่ะ พร้อมแล้ว มาเล่าให้ฟังว่าไปทำอีท่าไหน ทำไมไปนอนโรงพยาบาลมา 12 วัน
เนื่องมาจาก 25 พค 61 กลับจากห้าง ก็รู้สึกปวดท้อง
ไม่ทราบสาเหตุ นึกว่าเป็นโรคกระเพาะ เพราะกินราเม็งแล้วปวดเลย มันเคยเป็นๆหายๆ
กลับมานอน กินยา เอากระเป๋าร้อนประคบ ก็ไม่ดีขึ้น
คิดในใจเอาแล้ว ติดเชื้อแน่ๆ
แต่ก็คิดไม่ออกว่าก่อนหน้านั้นไปทำอะไรมา
เพราะอาหารที่กินก็สุกร้อน สะอาดทุกมื้อ ไม่มีมื้อไหนที่ไม่ร้อนไม่สะอาด
ทำน้ำยาล้างไต ก็มั่นใจว่าสะอาดล้างมือทุกขั้นตอน
ที่สำคัญคือ ทำหนเดียวก่อนนอน เครื่องอัตโนมัติระบบปิด จะไม่ได้สัมผัสถูกอะไรเลย
มือจะไม่ได้สัมผัสสายในเครื่องเลย ปากแผลสายล้างไตก็ทำความสะอาดทุกวันหลังอาบน้ำ
มั่นใจว่าไม่เคยเผลอเรอในทุกๆด้าน
และไม่เคยติดเชื้อมา 2 ปีกว่าแล้ว นับจากครั้งสุดท้ายกลางปี 59
.
แต่มีอย่างนึงที่แปลกปลอมในชีวิตครั้งนี้คือ การไปตรวจภายในหาเชื้อมะเร็ง
ถามพยาบาลว่าเป็นไปได้ไหน ก็บอกเป็นไปได้ ตามสถิติ 50% ติดเชื้อจากการตรวจภายในสตรี (พยาบาลเล่างานวิจัยของรพ.บ้านแพ้วให้ฟังนะ)
ก็เลยคิดได้ 2 ประเด็นคือ
1.วันไปตรวจมะเร็งได้กิน ราดหน้าและ มะนาวโซดา (ครั้งนี้กินน้ำแข็งนอกบ้าน ปกติไม่เคยกินนะพกแก้วYETIติดตัวตลอด)
2.เครื่องมือตรวจภายในไม่สะอาด ทำให้ติดเชื้อ (แต่หมอรับรองการสเตอริไรซ์ของโรงพยาบาลสะอาดมาก)
(ปล.เราทำอาหารกินเองสุกสะอาดทุกวันนะ ยกเว้นเวลาเดินทางไปนอกบ้าน)
.
ตอนเย็นไม่หายปวดคิดว่าต้องใช่ต้องใช่แน่ๆ
เลยลองทำการปล่อยน้ำยาที่เหลือในท้องออกมาดู
ปรากฎว่าน้ำขุ่นจริงๆ จึงทำการใส่น้ำยาใหม่เข้าไป
และไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งนึ่งในสุพรรณบุรี
ไปถึงก็ได้พบหมออายุรกรรมทั่วไป
ก็ทำการเอาน้ำยาไปตรวจ รอไปเกือบ2ชม ไปเอ็กซเรย์ ไปตรวจเลือด ทำนู่นนี่นั่น ผลเชื้อก็ออกมา ว่าติดเชื้อจริงๆ
แต่
ทางโรงพยาบาลไม่มีแพทย์เฉพาะทางโรคไตในการรักษา
และไม่มียาที่เหมาะสมในการรักษากับเชื้อชนิดนี้ ให้ยาอื่นไปกลัวเชื้อจะดื้อยา
ขอให้ท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลจะดีกว่า
คือปฏิเสธการรักษาแหล่ะ
อืม ตั้ง 2 ชม.เพื่อที่จะบอกว่าไม่สามารถรักษา
จ่ายไปสองพันกว่าบาท
ก็เลยปรึกษากันว่า จะเข้าโรงพยาบาลไหนดี
คิดว่าในวันศุกร์ค่ำๆแบบนี้ ที่ไหนจะได้เจอหมอไตมากกว่า
ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองคงเจอแพทย์เวร ไม่ต่างกัน
จึงเลือกขับรถเข้าศิริราช(รักษาประจำที่นี่) เพราะพอทนไหวกับ 1ชม กว่า
คนขับรถห้อตะบึงเข้ากรุงเทพฯทันที
โทรบอกพยาบาลโรคไตล่วงหน้าแล้ว
เดี๋ยวไปถึงให้โทรบอกเค้าอีกที
จะได้เชิญแพทย์โรคไตมาช่วย
1 ชั่วโมงครึ่ง ประมาณ2ทุ่ม ถึงศิริราช ขับอย่างกะกู้ภัยเลย
รีบไปที่อาคารผู้ป่วยนอก
นอนบนเปลเข็นแบบไม่ไหวแล้ว
พยาบาลให้เอาบัตรประชาชนไปสแกนที่ห้องเวชระเบียน
ค่ะ เจริญค่ะ นอนตัวขดตัวงอ จะไปได้อย่างไร
จะให้บัตรคนแปลกหน้าไปก็กระไรอยู่
โชคดีเหมือนสามีจะรู้ล่วงหน้า ตอนเอารถไปจอดหลังรพ โทรให้ลูกศิษย์วิ่งมาช่วย
ก็มาช่วยเอาบัตรไปที่ห้องเวชระเบียน สแกนบัตรให้
ก็เข็นต่อไปที่ห้องแพทย์เวร
นอนร้องครวญครางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ปวดระดับ 10 เรียกว่า อยากตายตรงนั้นเลย ไม่ไหวจริงๆ
หมอแพทย์เวรมาดู รีบบอกว่า ฉันติดเชื้อล้างไตทางช่องท้อง
ไม่ต้องวินิจฉัยแล้วววว ขอยา ขอยา ยาอะไรก็ได้
ขอแก้ปวด ขอยาแก้ปวด ได้โปรดดดดดดดดดดด
ร้องไห้ขอหมออย่างหมดสภาพ
หมอมากดๆๆท้อง แล้วก็ส่งต่อหมอโรคไต
หมอโรคไต มากดๆๆท้อง มาให้ปล่อยน้ำยาเอาไปตรวจ
แล้วก็มากดแล้วถาม กดแล้วถาม
คือมันปวดมากเกินระดับการปวด
หมอเลยบอก จะปรึกษาหมอศัลย์ ว่ามีอาการแปลกๆ ปวดมากไป ปวดเว่อร์ๆ
กัวจะลำไส้แตก ส่งต่อหมอศัลย์ แล้วหมอไตก็หายไป
หมอศัลย์มาอีกทีในตอนดึก จำไม่ได้ ตี1ตี2 เบลอไปหมด
ก็รับช่วงต่อ ให้งดน้ำงดอาหาร เพื่อรอ CTสแกนว่าตับไตไส้พุงจะเป็นอย่างไร
ทีนี้ห้องCTสแกนมมันไม่ว่าง ก็งดน้ำและอาหารไปเรื่อยๆ
แล้วหมอทุกคนก็หายไป
ได้ยาฆ่าเชื้อมาขวดนึง กับยาแก้ปวด
ตอนนี้ก็เบลอๆ ปวดจนเบลอจะอะไรไม่ได้แล้ว
รู้แต่ว่าปวดจนนอนจิกมือคนเฝ้าแขนช้ำไปหมด
นอนร้องหมอช่วยด้วยๆ
แต่ก็ไม่มีใครสนใจ นอกจากพยาบาลวัดไข้ วัดความดัน ได้ยาแก้ไข้แก้ปวดบ้าง ยันเช้า
ก็นอนปวดอยู่ริมทางเดิน ทั้งคนป่วยคนเฝ้าแทบหมดกำลังใจ
ไม่รู้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างไร
ความปวดทีวีคูณสุดขีด ไม่รู้ว่าปวดที่สุดในชีวิตเป็นอย่างไร
แต่คราวนี้ก็ปวดที่สุดในชีวิตจริงๆ
จนต้องบอกให้คนเฝ้า ไปนอนในรถ ไม่งั้นไม่ไหวจะยืนไม่อยู่
อดข้าวอดน้ำตั้งแต่ 2 ทุ่มเมื่อวาน จนบ่าย 2 ก็ได้ไป CT สแกน ผลสแกนออกมาว่า "ไม่มีลำไส้แตก ลำไส้สบายดี"
ก็ส่งกลับให้หมออายุรกรรม
(ทำไมไม่ส่งหมอโรคไตยังสงสัยอยู่)
หมออายุรกรรมก็ บอกให้รอเตียงว่าง ตอนนี้ยังไม่มี
รอไปเรื่อยๆก่อน จนเกือบเย็นจึงพอมีเตียงว่าง
จึงได้ขึ้นไปที่ตึก มองผ่านๆ มีแต่คนแก่เต็มไปหมด สายระโยงระยาง
นี่เราป่วยหนักใช่มั้ย อืมมม น่าจะใช่
มานอนที่เตียงตัวขดตัวงอ หมอก็มากดๆๆท้อง
วนกันมากดท้อง กดๆๆๆท้อง กดกันจนระบม
กดตรงไหนก็ปวด ถามกี่ครั้งก็ปวด
ผลเพราะเชื้อออกมาแล้วก็เจอเชื้อ3000กว่าตัว(ตัวอะไรไม่รู้)
ก็ได้ยาฆ่าเชื้อ หลายขนาน หลายหลอด วนเวียนสลับตลอดเวลา
ข้าวก็ไม่กิน คือลุกไม่ไหว น้ำไม่อาบ ฟันไม่แปรง ชีวิคคือนอน
นอนปวดจนร้องขอยาแก้ปวดที่แรงที่สุดเท่าที่หมอจะให้ได้ พาราฯเอาไม่อยู่
เหมือนๆว่าหมอจะให้มอร์ฟีน(หรืออะไรไม่รู้) ฉีดเข้าเส้นทุก 6 ชม
พอยาหมดฤทธิ์ก็ปวดอีก ก็ร้องขออีก ตลอดเวลา
พยาบาลก็ดีใจหาย 555 ขออะไรไม่ได้เลย เพราะต้องทำตามคำสั่งหมอเท่านั้น จะให้ยา จะทำอะไรไม่ได้เลย (อันนี้เข้าใจ)
ก็นอนปวดกันไป
พยาบาลมาจับเปลี่ยนชุดใส่แพมเพิร์ส จ้ะ ไม่ผิดหรอก
ต้องนอนใส่แพมเพิ่ร์ส ป้องกันการอึ ฉี่
แกเอ้ย การฉี่ใส่ผ้าอ้อม บอกตรงๆ ฉี่ไม่ออกจริงๆ
โดนพยาบาลจับอาบน้ำ บนเตียงผู้ป่วย เหมือนคนช่วยตัวเองไม่ได้ โดนแก้ผ้าล้างทุกอย่าง
ฟอกสบู่ เช็ดด้วยผ้าเปียก ล้างตรูดล้างอะไรหมด เช็ดให้แห้ง ทาแป้ง แล้วนุ่งชุดโรงยาบาล
แล้วก็นอนปวดต่อไป นอนก็ไม่หลับ ปวดก็ปวด ปวดจนหลับ
จนได้เชื้อที่ถูกต้องแล้ว จากการเพาะเชื้อ
ก็เปลี่ยนมาให้ยาฆ่าเชื้อทางน้ำยา สลับกับทางสายน้ำเกลือ
ตอนที่เอาน้ำยาใส่ท้องนี่แหล่ะ แกเอ้ย
ปวดจนบอก พยาบาล พอแล้วๆ พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว จ๊ากกก
ต้องร้องขอยาแก้ปวดอีก วันละ 4 รอบ คือทุก 6 ชมเลย
จนสามารถทนความปวดมาได้ 7 วัน อึดที่สุดเท่าที่เคยทำมา
นอนจิกขอบเตียงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น อาหารกินไม่ได้ กินได้แต่นม
หมอมาบอก ยาที่ให้ไป เชื้อไม่ลดลงเลย
อาจจะต้องผ่าเอาสายออก แล้วเลิกล้างไตทางช่องท้อง
ก็รู้สึกเสียใจมาก เพราะชีวิตกำลังลงตัว
ถ้าไปฟอกเลือด เราจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่หมด
(เรื่องของการหาที่ฟอก คนขับรถพาไปฟอก การปฏิบัติตัวอีก)
และเราก็ไม่ชอบฟอกเลือดเลย เคยลองแล้วเครียดมาก
ก็นอนร้องไห้ ไม่อยากฟอกเลือด
คุณสามีมาเห็น ก็ไม่รู้จะทำไง จับมือคุยกัน เอาไงเอากัน
เปลี่ยนก็เปลี่ยน ทำใจกันใหม่ ก็โอเค เลิกก็เลิก
หมอมาคุยก็โอเค ยอมเอาสายออก
นัดหมอศัลย์มาดู รอนัดห้องผ่าตัด
.
ระหว่างนี้ คุณสามีขอทำบุญใหญ่ เอาเงินปึกนึงมาให้อธิษฐาน
ทำบุญกับวัดกับมูลนิธิกับโรงพยาบาลและทำหลายแห่ง
พอจบเงินแล้วอธิษฐานขอทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด สามีก็หายไปวันนึง ไปตระเวนทำบุญ
พอดีเตียงที่นอนมองเห็นวัดระฆังและหลวงปู่โต ก็มองลงไป อธิษฐานกับหลวงปู่โต แล้วให้ลงไปทำบุญให้ที
ขอให้ท่านเลือกทางเลือกที่เหมาะสมกับเราด้วยเถอะ สาธุ
.
พอวันรุ่งนี้ ไม่รู้อุปทานรึเปล่า ตื่นมา หายปวดท้อง (คงจะรู้สึกดีที่ได้ทำบุญนะ ไม่ได้หายเพราะพุทธคุณ)
หายแบบหายเลย มีปวดนิดหน่อย ไม่ต้องร้องขอมอฟีน
ด้วยบุญบารมีที่ได้ทำมา คงมาช่วยเรา(เราเชื่อทางนี้นะ)
ยาฆ่าเชื้อมันคงมาออกฤทธิ์พอดีจังหวะ (เดี๋ยวคนอ่านจะไม่เข้าใจว่าต่อไปป่วยก็ไปหาพระซิ ไม่ใช่งั้นนะ)
หมอมากดๆๆ ไม่ปวดสักนิด
เอาน้ำยาไปตรวจเชื้อก็ลดลงจาก 3000 เหลือ 700
หมอก็เลยกลับไปปรึกษากันใหม่อีกที
หมอศัลย์ระงับห้องผ่าตัดไว้ก่อน (มีคิวผ่าบ่าย2นี้)
หมอไตขอดูอาการอีก 2 วัน
ให้ยาไปเรื่อยๆ พอ 2 วันเชื้อลงเหลือ 50
หมอตกลงสรุปกันว่า จะไม่เอาสายออก
และให้ยาต่อเนื่องไปอีก 14 วัน+7วัน
โดยถ้าอาการดีขึ้นจนสามารถกลับบ้านได้ก็ให้กลับไปให้ยาต่อที่บ้าน โดยการเติมยาฆ่าเชื้อลงในน้ำยาล้างไต
ก็ตรวจเชื้อทุกเช้า ตรวจเลือดอีกครั้ง ผลออกมาดี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนวันที่ 5 มิย.61 รวม 12 วัน ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล
กลับมาพักอยู่ที่บ้านเรียบร้อย
แล้วก็ทำการใส่น้ำยาฆ่าเชื้อในถุงน้ำยาล้างไตต่อไปอีก 14 วัน จนหายเป็นปกติ
เรื่องก็เป็นแบบนี้ เอวังเด้อ
.
ปล.ใครแวะเข้ามาอ่านนี่คือบันทึกประสบการณ์ของข้าพเจ้า อย่าเอานิยมนิยายอะไรมากมาย เขียนไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง
ปล.ต้องขอบพระคุณทีมคุณหมอทุกท่านที่ระดมกันมาหลายท่านมาก คนไข้ 1 คนใช้หมอ 3 ทีม เกือบ 30 คน กราบบบ
(ภาพด้านล่างคือน้ำยาที่ติดเชื้อจะเป็นสีขุ่นแบบนี้ ปกติจะใสแจ๋ว)
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง เพราะน้ำแข็งนอกบ้านสกปรกมาก วอนร้านค้าช่วยดูแล
การล้างไตทางช่องท้อง (ทางเลือกสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจ) ปล.เรื่องเล่ายาวมาก
http://ppantip.com/topic/30258072
อาหารการกิน กินยังอะไร สำหรับคนเป็นโรคไต จากประสบการณ์การกินของเรา
http://ppantip.com/topic/30258072/comment61
เมื่อฉันติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 2 ครั้ง 2 ครา (คราวนี้เล่ายาวสำหรับอ่านเพลินๆ)
http://ppantip.com/topic/31565636
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 5 ครั้ง ยังไม่ตาย (เรื่องเล่ายาวอีกแล้ว)
https://ppantip.com/topic/34511162
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง เพราะน้ำแข็งนอกบ้านสกปรกมาก วอนร้านค้าช่วยดูแล (ครั้งที่6)
https://ppantip.com/topic/37867409
ได้เปลี่ยนไตแล้วนะ (เรื่องเล่าการรอไตที่ยาวนาน 7 ปี )
https://ppantip.com/topic/38869733
เปลี่ยนไต ครบ 1 ปี แฮปปี้มากๆเลย (เรื่องเล่ายาวทั้งปี)
https://ppantip.com/topic/39860172
อัพเดทชีวิต 2 พค 66 เปลี่ยนไตครบ 4 ปี แข็งแรงดีจ้า
https://ppantip.com/topic/41995158
สอบถามพูดคุยปรึกษากันได้ในกลุ่ม อุ้ย...ไตวาย ว๊ายกรี๊ด
https://www.facebook.com/groups/1681219468779675/
มาอีกแล้ว ยัยคนนี้มีเรื่องเล่ายาวมากมาอีกแล้ว 555
6 ปีมาแล้ว ยังไม่ตายนะจ้ะ ยังอยู่ แข็งแรงดี สบายดี
ที่เขียนกระทู้นี้ก็เอาไว้ระลึกถึง และให้คนอื่นได้อ่านเป็นประสบการณ์บอกเล่า
.....
อ่ะ พร้อมแล้ว มาเล่าให้ฟังว่าไปทำอีท่าไหน ทำไมไปนอนโรงพยาบาลมา 12 วัน
เนื่องมาจาก 25 พค 61 กลับจากห้าง ก็รู้สึกปวดท้อง
ไม่ทราบสาเหตุ นึกว่าเป็นโรคกระเพาะ เพราะกินราเม็งแล้วปวดเลย มันเคยเป็นๆหายๆ
กลับมานอน กินยา เอากระเป๋าร้อนประคบ ก็ไม่ดีขึ้น
คิดในใจเอาแล้ว ติดเชื้อแน่ๆ
แต่ก็คิดไม่ออกว่าก่อนหน้านั้นไปทำอะไรมา
เพราะอาหารที่กินก็สุกร้อน สะอาดทุกมื้อ ไม่มีมื้อไหนที่ไม่ร้อนไม่สะอาด
ทำน้ำยาล้างไต ก็มั่นใจว่าสะอาดล้างมือทุกขั้นตอน
ที่สำคัญคือ ทำหนเดียวก่อนนอน เครื่องอัตโนมัติระบบปิด จะไม่ได้สัมผัสถูกอะไรเลย
มือจะไม่ได้สัมผัสสายในเครื่องเลย ปากแผลสายล้างไตก็ทำความสะอาดทุกวันหลังอาบน้ำ
มั่นใจว่าไม่เคยเผลอเรอในทุกๆด้าน
และไม่เคยติดเชื้อมา 2 ปีกว่าแล้ว นับจากครั้งสุดท้ายกลางปี 59
.
แต่มีอย่างนึงที่แปลกปลอมในชีวิตครั้งนี้คือ การไปตรวจภายในหาเชื้อมะเร็ง
ถามพยาบาลว่าเป็นไปได้ไหน ก็บอกเป็นไปได้ ตามสถิติ 50% ติดเชื้อจากการตรวจภายในสตรี (พยาบาลเล่างานวิจัยของรพ.บ้านแพ้วให้ฟังนะ)
ก็เลยคิดได้ 2 ประเด็นคือ
1.วันไปตรวจมะเร็งได้กิน ราดหน้าและ มะนาวโซดา (ครั้งนี้กินน้ำแข็งนอกบ้าน ปกติไม่เคยกินนะพกแก้วYETIติดตัวตลอด)
2.เครื่องมือตรวจภายในไม่สะอาด ทำให้ติดเชื้อ (แต่หมอรับรองการสเตอริไรซ์ของโรงพยาบาลสะอาดมาก)
(ปล.เราทำอาหารกินเองสุกสะอาดทุกวันนะ ยกเว้นเวลาเดินทางไปนอกบ้าน)
.
ตอนเย็นไม่หายปวดคิดว่าต้องใช่ต้องใช่แน่ๆ
เลยลองทำการปล่อยน้ำยาที่เหลือในท้องออกมาดู
ปรากฎว่าน้ำขุ่นจริงๆ จึงทำการใส่น้ำยาใหม่เข้าไป
และไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งนึ่งในสุพรรณบุรี
ไปถึงก็ได้พบหมออายุรกรรมทั่วไป
ก็ทำการเอาน้ำยาไปตรวจ รอไปเกือบ2ชม ไปเอ็กซเรย์ ไปตรวจเลือด ทำนู่นนี่นั่น ผลเชื้อก็ออกมา ว่าติดเชื้อจริงๆ
แต่
ทางโรงพยาบาลไม่มีแพทย์เฉพาะทางโรคไตในการรักษา
และไม่มียาที่เหมาะสมในการรักษากับเชื้อชนิดนี้ ให้ยาอื่นไปกลัวเชื้อจะดื้อยา
ขอให้ท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลจะดีกว่า
คือปฏิเสธการรักษาแหล่ะ
อืม ตั้ง 2 ชม.เพื่อที่จะบอกว่าไม่สามารถรักษา
จ่ายไปสองพันกว่าบาท
ก็เลยปรึกษากันว่า จะเข้าโรงพยาบาลไหนดี
คิดว่าในวันศุกร์ค่ำๆแบบนี้ ที่ไหนจะได้เจอหมอไตมากกว่า
ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองคงเจอแพทย์เวร ไม่ต่างกัน
จึงเลือกขับรถเข้าศิริราช(รักษาประจำที่นี่) เพราะพอทนไหวกับ 1ชม กว่า
คนขับรถห้อตะบึงเข้ากรุงเทพฯทันที
โทรบอกพยาบาลโรคไตล่วงหน้าแล้ว
เดี๋ยวไปถึงให้โทรบอกเค้าอีกที
จะได้เชิญแพทย์โรคไตมาช่วย
1 ชั่วโมงครึ่ง ประมาณ2ทุ่ม ถึงศิริราช ขับอย่างกะกู้ภัยเลย
รีบไปที่อาคารผู้ป่วยนอก
นอนบนเปลเข็นแบบไม่ไหวแล้ว
พยาบาลให้เอาบัตรประชาชนไปสแกนที่ห้องเวชระเบียน
ค่ะ เจริญค่ะ นอนตัวขดตัวงอ จะไปได้อย่างไร
จะให้บัตรคนแปลกหน้าไปก็กระไรอยู่
โชคดีเหมือนสามีจะรู้ล่วงหน้า ตอนเอารถไปจอดหลังรพ โทรให้ลูกศิษย์วิ่งมาช่วย
ก็มาช่วยเอาบัตรไปที่ห้องเวชระเบียน สแกนบัตรให้
ก็เข็นต่อไปที่ห้องแพทย์เวร
นอนร้องครวญครางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ปวดระดับ 10 เรียกว่า อยากตายตรงนั้นเลย ไม่ไหวจริงๆ
หมอแพทย์เวรมาดู รีบบอกว่า ฉันติดเชื้อล้างไตทางช่องท้อง
ไม่ต้องวินิจฉัยแล้วววว ขอยา ขอยา ยาอะไรก็ได้
ขอแก้ปวด ขอยาแก้ปวด ได้โปรดดดดดดดดดดด
ร้องไห้ขอหมออย่างหมดสภาพ
หมอมากดๆๆท้อง แล้วก็ส่งต่อหมอโรคไต
หมอโรคไต มากดๆๆท้อง มาให้ปล่อยน้ำยาเอาไปตรวจ
แล้วก็มากดแล้วถาม กดแล้วถาม
คือมันปวดมากเกินระดับการปวด
หมอเลยบอก จะปรึกษาหมอศัลย์ ว่ามีอาการแปลกๆ ปวดมากไป ปวดเว่อร์ๆ
กัวจะลำไส้แตก ส่งต่อหมอศัลย์ แล้วหมอไตก็หายไป
หมอศัลย์มาอีกทีในตอนดึก จำไม่ได้ ตี1ตี2 เบลอไปหมด
ก็รับช่วงต่อ ให้งดน้ำงดอาหาร เพื่อรอ CTสแกนว่าตับไตไส้พุงจะเป็นอย่างไร
ทีนี้ห้องCTสแกนมมันไม่ว่าง ก็งดน้ำและอาหารไปเรื่อยๆ
แล้วหมอทุกคนก็หายไป
ได้ยาฆ่าเชื้อมาขวดนึง กับยาแก้ปวด
ตอนนี้ก็เบลอๆ ปวดจนเบลอจะอะไรไม่ได้แล้ว
รู้แต่ว่าปวดจนนอนจิกมือคนเฝ้าแขนช้ำไปหมด
นอนร้องหมอช่วยด้วยๆ
แต่ก็ไม่มีใครสนใจ นอกจากพยาบาลวัดไข้ วัดความดัน ได้ยาแก้ไข้แก้ปวดบ้าง ยันเช้า
ก็นอนปวดอยู่ริมทางเดิน ทั้งคนป่วยคนเฝ้าแทบหมดกำลังใจ
ไม่รู้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างไร
ความปวดทีวีคูณสุดขีด ไม่รู้ว่าปวดที่สุดในชีวิตเป็นอย่างไร
แต่คราวนี้ก็ปวดที่สุดในชีวิตจริงๆ
จนต้องบอกให้คนเฝ้า ไปนอนในรถ ไม่งั้นไม่ไหวจะยืนไม่อยู่
อดข้าวอดน้ำตั้งแต่ 2 ทุ่มเมื่อวาน จนบ่าย 2 ก็ได้ไป CT สแกน ผลสแกนออกมาว่า "ไม่มีลำไส้แตก ลำไส้สบายดี"
ก็ส่งกลับให้หมออายุรกรรม
(ทำไมไม่ส่งหมอโรคไตยังสงสัยอยู่)
หมออายุรกรรมก็ บอกให้รอเตียงว่าง ตอนนี้ยังไม่มี
รอไปเรื่อยๆก่อน จนเกือบเย็นจึงพอมีเตียงว่าง
จึงได้ขึ้นไปที่ตึก มองผ่านๆ มีแต่คนแก่เต็มไปหมด สายระโยงระยาง
นี่เราป่วยหนักใช่มั้ย อืมมม น่าจะใช่
มานอนที่เตียงตัวขดตัวงอ หมอก็มากดๆๆท้อง
วนกันมากดท้อง กดๆๆๆท้อง กดกันจนระบม
กดตรงไหนก็ปวด ถามกี่ครั้งก็ปวด
ผลเพราะเชื้อออกมาแล้วก็เจอเชื้อ3000กว่าตัว(ตัวอะไรไม่รู้)
ก็ได้ยาฆ่าเชื้อ หลายขนาน หลายหลอด วนเวียนสลับตลอดเวลา
ข้าวก็ไม่กิน คือลุกไม่ไหว น้ำไม่อาบ ฟันไม่แปรง ชีวิคคือนอน
นอนปวดจนร้องขอยาแก้ปวดที่แรงที่สุดเท่าที่หมอจะให้ได้ พาราฯเอาไม่อยู่
เหมือนๆว่าหมอจะให้มอร์ฟีน(หรืออะไรไม่รู้) ฉีดเข้าเส้นทุก 6 ชม
พอยาหมดฤทธิ์ก็ปวดอีก ก็ร้องขออีก ตลอดเวลา
พยาบาลก็ดีใจหาย 555 ขออะไรไม่ได้เลย เพราะต้องทำตามคำสั่งหมอเท่านั้น จะให้ยา จะทำอะไรไม่ได้เลย (อันนี้เข้าใจ)
ก็นอนปวดกันไป
พยาบาลมาจับเปลี่ยนชุดใส่แพมเพิร์ส จ้ะ ไม่ผิดหรอก
ต้องนอนใส่แพมเพิ่ร์ส ป้องกันการอึ ฉี่
แกเอ้ย การฉี่ใส่ผ้าอ้อม บอกตรงๆ ฉี่ไม่ออกจริงๆ
โดนพยาบาลจับอาบน้ำ บนเตียงผู้ป่วย เหมือนคนช่วยตัวเองไม่ได้ โดนแก้ผ้าล้างทุกอย่าง
ฟอกสบู่ เช็ดด้วยผ้าเปียก ล้างตรูดล้างอะไรหมด เช็ดให้แห้ง ทาแป้ง แล้วนุ่งชุดโรงยาบาล
แล้วก็นอนปวดต่อไป นอนก็ไม่หลับ ปวดก็ปวด ปวดจนหลับ
จนได้เชื้อที่ถูกต้องแล้ว จากการเพาะเชื้อ
ก็เปลี่ยนมาให้ยาฆ่าเชื้อทางน้ำยา สลับกับทางสายน้ำเกลือ
ตอนที่เอาน้ำยาใส่ท้องนี่แหล่ะ แกเอ้ย
ปวดจนบอก พยาบาล พอแล้วๆ พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว จ๊ากกก
ต้องร้องขอยาแก้ปวดอีก วันละ 4 รอบ คือทุก 6 ชมเลย
จนสามารถทนความปวดมาได้ 7 วัน อึดที่สุดเท่าที่เคยทำมา
นอนจิกขอบเตียงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น อาหารกินไม่ได้ กินได้แต่นม
หมอมาบอก ยาที่ให้ไป เชื้อไม่ลดลงเลย
อาจจะต้องผ่าเอาสายออก แล้วเลิกล้างไตทางช่องท้อง
ก็รู้สึกเสียใจมาก เพราะชีวิตกำลังลงตัว
ถ้าไปฟอกเลือด เราจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่หมด
(เรื่องของการหาที่ฟอก คนขับรถพาไปฟอก การปฏิบัติตัวอีก)
และเราก็ไม่ชอบฟอกเลือดเลย เคยลองแล้วเครียดมาก
ก็นอนร้องไห้ ไม่อยากฟอกเลือด
คุณสามีมาเห็น ก็ไม่รู้จะทำไง จับมือคุยกัน เอาไงเอากัน
เปลี่ยนก็เปลี่ยน ทำใจกันใหม่ ก็โอเค เลิกก็เลิก
หมอมาคุยก็โอเค ยอมเอาสายออก
นัดหมอศัลย์มาดู รอนัดห้องผ่าตัด
.
ระหว่างนี้ คุณสามีขอทำบุญใหญ่ เอาเงินปึกนึงมาให้อธิษฐาน
ทำบุญกับวัดกับมูลนิธิกับโรงพยาบาลและทำหลายแห่ง
พอจบเงินแล้วอธิษฐานขอทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด สามีก็หายไปวันนึง ไปตระเวนทำบุญ
พอดีเตียงที่นอนมองเห็นวัดระฆังและหลวงปู่โต ก็มองลงไป อธิษฐานกับหลวงปู่โต แล้วให้ลงไปทำบุญให้ที
ขอให้ท่านเลือกทางเลือกที่เหมาะสมกับเราด้วยเถอะ สาธุ
.
พอวันรุ่งนี้ ไม่รู้อุปทานรึเปล่า ตื่นมา หายปวดท้อง (คงจะรู้สึกดีที่ได้ทำบุญนะ ไม่ได้หายเพราะพุทธคุณ)
หายแบบหายเลย มีปวดนิดหน่อย ไม่ต้องร้องขอมอฟีน
ด้วยบุญบารมีที่ได้ทำมา คงมาช่วยเรา(เราเชื่อทางนี้นะ)
ยาฆ่าเชื้อมันคงมาออกฤทธิ์พอดีจังหวะ (เดี๋ยวคนอ่านจะไม่เข้าใจว่าต่อไปป่วยก็ไปหาพระซิ ไม่ใช่งั้นนะ)
หมอมากดๆๆ ไม่ปวดสักนิด
เอาน้ำยาไปตรวจเชื้อก็ลดลงจาก 3000 เหลือ 700
หมอก็เลยกลับไปปรึกษากันใหม่อีกที
หมอศัลย์ระงับห้องผ่าตัดไว้ก่อน (มีคิวผ่าบ่าย2นี้)
หมอไตขอดูอาการอีก 2 วัน
ให้ยาไปเรื่อยๆ พอ 2 วันเชื้อลงเหลือ 50
หมอตกลงสรุปกันว่า จะไม่เอาสายออก
และให้ยาต่อเนื่องไปอีก 14 วัน+7วัน
โดยถ้าอาการดีขึ้นจนสามารถกลับบ้านได้ก็ให้กลับไปให้ยาต่อที่บ้าน โดยการเติมยาฆ่าเชื้อลงในน้ำยาล้างไต
ก็ตรวจเชื้อทุกเช้า ตรวจเลือดอีกครั้ง ผลออกมาดี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนวันที่ 5 มิย.61 รวม 12 วัน ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล
กลับมาพักอยู่ที่บ้านเรียบร้อย
แล้วก็ทำการใส่น้ำยาฆ่าเชื้อในถุงน้ำยาล้างไตต่อไปอีก 14 วัน จนหายเป็นปกติ
เรื่องก็เป็นแบบนี้ เอวังเด้อ
.
ปล.ใครแวะเข้ามาอ่านนี่คือบันทึกประสบการณ์ของข้าพเจ้า อย่าเอานิยมนิยายอะไรมากมาย เขียนไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง
ปล.ต้องขอบพระคุณทีมคุณหมอทุกท่านที่ระดมกันมาหลายท่านมาก คนไข้ 1 คนใช้หมอ 3 ทีม เกือบ 30 คน กราบบบ
(ภาพด้านล่างคือน้ำยาที่ติดเชื้อจะเป็นสีขุ่นแบบนี้ ปกติจะใสแจ๋ว)