ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 5 ครั้ง ยังไม่ตาย (เรื่องเล่ายาวอีกแล้ว)

ไม่ได้เล่ามานานพอสมควร กลับมาเล่าให้ฟังกันอีก

เส้นทางโรคไต 14 ปีที่ผ่านมา
 
การล้างไตทางช่องท้อง (ทางเลือกสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจ)
http://ppantip.com/topic/30258072
 
เมื่อฉันติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 2 ครั้ง 2 ครา (คราวนี้เล่ายาวสำหรับอ่านเพลินๆ)
http://ppantip.com/topic/31565636
 
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 5 ครั้ง ยังไม่ตาย (เรื่องเล่ายาวอีกแล้ว)
https://ppantip.com/topic/34511162
 
ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง เพราะน้ำแข็งนอกบ้านสกปรกมาก วอนร้านค้าช่วยดูแล (ครั้งที่6)
https://ppantip.com/topic/37867409
 
ได้เปลี่ยนไตแล้วนะ (เรื่องเล่าการรอไตที่ยาวนาน 7 ปี )
https://ppantip.com/topic/38869733

เปลี่ยนไต ครบ 1 ปี แฮปปี้มากๆเลย (เรื่องเล่ายาวทั้งปี)
https://ppantip.com/topic/39860172

อัพเดทชีวิต 2 พค 66 เปลี่ยนไตครบ 4 ปี แข็งแรงดีจ้า
https://ppantip.com/topic/41995158
 
สอบถามพูดคุยปรึกษากันได้ในกลุ่ม อุ้ย...ไตวาย ว๊ายกรี๊ด
https://www.facebook.com/groups/1681219468779675/

เมื่อฉันติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง 5 ครั้ง (คราวนี้เล่ายาว)

จากกระทู้ที่แล้ว ได้เล่าไว้นานแล้ว แต่ไม่มีอะไรมาอัพเดท ให้ฟังให้อ่าน เป็นทางเลือกสำหรับคนกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกล้างช่องท้องดีหรือไม่
อาหารการกิน กินยังอะไร สำหรับคนเป็นโรคไต จากประสบการณ์การกินของเรา

ใครอ่านเมื่อฉันติดเชื้อ ครั้งที่ 1-2 จากกระทู้บนแล้วข้าไปอ่านครั้งที่ 3 ได้เลย
..
ครั้งที่ 1
คราวนี้มาเล่าประสบการณ์อันเลวร้าย จากการติดเชื้อทางช่องท้อง
เป็นที่รู้กันว่า การระมัดระวังความสะอาดของคนล้างไตเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
ทั้งเรื่องความสะอาดจากการล้างมือ และความสะอาดจากอาหารการกิน
เราเองก็ระมัดระวังที่สุดเหมือนกัน ไม่ทำในที่เสี่ยง ไม่กินอาหารไม่สะอาด
เพราะมือที่ไม่สะอาด อาจทำให้ติดเชื้อจากปากแผลทางเข้าของสายที่ช่องท้อง
และอาหารที่ไม่สะอาด อาจทำให้ท้องเสีย ก็ทำให้ติดเชื้อได้อีกเช่นกัน
คุณพยาบาลบอกว่า บางทีการตรวจภายใน หรือส่องกล้องทางหลอดอาหารก็มีโอกาสเหมือนกัน
เราก็เคร่งครัดที่สุดแล้วนะ
แต่ก็พลาดเข้าจนได้
เราติดเชื้อ!!!

ช่วงเดือนกรกฎาคม 2556
เราได้ไปเที่ยวที่กาญจนบุรี มา 3 วัน ก็กินเต็มที่ นอนบ้านพักอุทยานฯ
ก็สะอาดสะอ้านดี กลับมาก็ไม่มีอาการอะไร กลับมาได้ 3 วัน ก็ไม่มีอาการอะไร
เราวิเคราะห์ในภายหลังว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเชื้อที่พบคือเชื้อจากอาการท้องเสีย
วันนั้นหลังจากกลับมาจากเที่ยวได้ 3 วัน เราก็ไปซื้อกระท้อนมากิน
เราก็ปอกเปลือกแล้วก็กินตามปกติ ผ่านมาอีกวันเราก็ถ่าย 2- 3 ครั้ง และมีอาการปวดท้อง
ตอนเย็นเราก็ปวดท้องหน่วงๆ นึกว่าเป็นโรคกระเพาะ ก็ทนไปจนกระทั่งกลางคืน
พอถ่ายน้ำยาล้างไต ก็ใสดี ก็เลยคิดว่า ไม่ใช่ ก็ยังโทรปรึกษาคุณพยาบาล
คุณพยาบาลก็บอกรอดูไปก่อน ถ้าน้ำไม่ขุ่นก็คงไม่ใช่
พอตกกลางคืนก็ปวดมาก ปวดจัดจนทนไม่ไหว ก็เลยไป โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน
หมอเดินหน้าบูดมาเลย มันดึกมากแล้ว มากดๆ ถามๆ แล้วก็ฉีดยาลดการบีบรัดในช่องท้อง แก้ปวดท้อง
จ่ายยาแล้วกลับบ้าน เราก็ทุเลาการปวดจนหลับไป
พอตื่นเช้ามา ก็ทำการถ่ายน้ำ ผลปรากฏว่า น้ำยาที่ถ่ายออกมาจากช่องท้อง ขุ่นคลั่กเลย
ถ้าอยากรู้ว่าขุ่นอย่างไร ให้นึกก่อนว่า ปกติน้ำที่ถ่ายออกมาจะต้องใส แบบฉี่เราไง เหลืองๆใสๆ
เวลาติดเชื้อจะขุ่น ให้นึกถึงน้ำอ้อย น้ำมะนาวขวดที่แม่ค้าใส่ส้มตำนะ ขาวๆขุ่นๆเหลืองๆ

ก็ตกใจรีบโทรหาคุณพยาบาลทันที “มันขุ่นแล้ว มันขุ่นแล้ว ทำไงดี”
คุณพยาบาลบอกไม่ต้องตกใจ รีบมารพ.ด่วนเลย
แล้วเราเองก็ดันรักษาซะไกลเลย บ้านอยู่สุพรรณฯดันไปรักษาที่ศิริราช
คุณแฟนก็ขับรถบึ่งไปศิริราชโดยเร็ว ก็ใช้เวลา ชั่วโมงกว่าๆ
พอไปถึงก็หน้าซีดหน้าเหี่ยว เพราะกลัวว่าจะเป็นอะไรร้ายแรงรึเปล่า
เห็นเค้าติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดแล้วตายกัน เราจะตายมั้ย เราไม่อยากตายนะ
คุณพยาบาลก็ปลอบใจว่า ไม่ต้องกลัว ยังมีทางแก้ไขได้
ก็จัดการเอาน้ำยาที่ติดเชื้อไปตรวจว่าติดเชื้ออะไร จะได้สั่งยาฆ่าเชื้อได้ถูกต้อง
พอพบหมอ ผลออกมาว่าติดเชื้อ อิโคไล ได้ยินแว่วๆ
มาเปิดกูเกิลดู ก็เป็นเชื้อจากการท้องเสียนี่แหล่ะ ก็วิเคราะห์จากการถ่ายเหลว 2 – 3 ครั้ง
หาสาเหตุไม่เจอว่าไปกินอะไรมา ก็ไม่ต้องหาล่ะ
กินอาหารปรุงเอง สุกใหม่ ทุกมื้อ มีอย่างเดียวที่กินเพิ่มคือกระท้อน
เลยฟันธงว่าไม่ได้ล้างกระท้อน จับตรงเปลือกแล้วไม่ล้างมือ ปอกแล้วมือจับกินเลย
การรักษาคือ ได้รับยาฆ่าเชื้อโดยการ ฉีดยาเข้าในถุงน้ำยาแล้วใส่ในช่องท้อง 3 สัปดาห์
ค่ะ ฟังไม่ผิดหรอก ต้องเอายาฆ่าเชื้อใส่ในถุงน้ำยาที่ใช้ วันละ 3 ถุงเป็นเวลา 21 วัน
และทุกวันต้องไปที่อนามัยตำบล ให้พยาบาลที่มีความรู้ด้านการใช้เข็มฉีดน้ำยาใส่ในถุง ใส่ยาให้
น้ำยาต้องไม่เกิน 24 ชม. นับจากเริ่มใส่ สรุปว่าต้องไปทุกวันวันละ 3 ถุง
เป็นเวลา 21 วัน เล่นเอาพยาบาลเบื่อกันไปเลย มาทุกวัน วันอาทิตย์ไม่เปิดยังจะตามไปที่บ้าน

จากการทดสอบเชื้อในน้ำยาที่ถ่ายออกมา
สัปดาห์แรกยังพอมีหลงเหลือเชื้ออยู่บ้าง สัปดาห์ที่ 2 มีนิดนึง สัปดาห์ที่ 3 ไม่หลงเหลือเชื้ออยู่เลย
เค้าต้องการชื้อแบคทีเรีย 0 ตัว จาก 3000 ตัว ในครั้งแรกที่พบเชื้อ
เราก็หายจากการติดเชื้อเป็นปลิดทิ้ง
โฮ ดีใจเหมือนได้เกิดใหม่ รอดพ้นมัจจุราชมาได้อย่างหวุดหวิด
และเราก็ดำรงตนตามปกติ ชนิดระวังตัวแจ ไม่กินของแปลก ไม่กินของไม่สุก เช่น ยำ ส้มตำ ผักสด ฯลฯ
ไม่ไปเปลี่ยนน้ำยาในที่เสี่ยงต่อความสกปรก มือไม่สะอาดนี่จะไม่หยิบของกินเข้าปาก

ครั้งที่ 2

อยู่มาได้ 3 เดือน
ตุลาคม 2556
เรามีอาการเป็นหนองที่ปากแผล ทางเข้าของสายที่หน้าท้อง
จึงโทรหาคุณพยาบาลว่า มีหนองที่แผล ทำไงดี น้ำไม่ขุ่น ไม่ปวดท้อง
พอไปกรุงเทพฯ ก็แวะเข้าไปให้หมอ(ที่อยู่เวรวันนั้น)มาดูแผล ว่าเป็นไง ทำไมจึงมีหนอง
(คลินิกไตเทียม จะมีหมอเฉพาะทางผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรตลอดวันและคืน เพราะมีเหตุฉุกเฉินได้ตลอดเวลา)
หมอก็สั่งยาไปให้กิน ก็กินไป 3 วันอาการหนองมีเพิ่มมากขึ้น จนรีดหนองออกมาได้ เหลืองขุ่น
แล้วก็ดันติดเสาร์อาทิตย์อีก แต่ก็โทรหาคุณพยาบาล ทำไงดี
คุณพยาบาลก็ดีสุดๆ ไม่ว่าโทรหาตอนไหน ถามอะไร เธอใจเย็นแล้วค่อยๆให้คำแนะนำ
บางทีก็โทรปรึกษาคุณหมอให้ ไม่ว่าวันหยุด ตอนเย็น ตอนดึก เธอก็รับสาย
วันหยุดคุณพยาบาลก็เลยโทรปรึกษาคุณหมอ(คนไหนไม่รู้ที่อยู่เวร) ว่ายาที่ให้ไปมันไม่บรรเทา
คุณหมอก็เลยเปลี่ยนยาให้ใหม่ เป็นยาฆ่าเชื้ออีกตัว
เราก็มาคิดๆว่า เอ๊ะ ยาในครั้งแรกคงไม่ถูกกับเชื้อ
ซวยล่ะตรู หนองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะยาเก่าไม่ช่วยบรรเทาเลย
ยาใหม่ที่ได้กิน ยังไม่ออกฤทธิ์ แต่ก็ดีขึ้น หนองน้อยลง แต่ปากแผลเริ่มเหวอะ แบบช้ำเลือดช้ำหนอง
จนกินไปได้ประมาณ 7 วัน แผลก็ไม่ค่อยมีหนองแล้ว แต่ขอบแผลที่ฟูขึ้นมาก็ยังไม่ยุบ
ยังฟูๆแดงๆ เหมือนแผลที่หายยากๆ แต่มันก็ไม่มีหนองแล้วนะ
วันรุ่งขึ้น ปวดท้อง เพราะมีอาการกรดไหลย้อน เป็นมาหลายวันแล้ว
นอนไม่ได้ แสบอก อาหารไม่ย่อย อาเจียน
ไปหาหมอโรงพยาบาลแถวบ้าน โรคทางเดินอาหาร หมอสั่งส่องกล้อง
ปรากฏหูรูดที่กระเพาะอาหารเปิดแล้วไม่ปิด ปิดแล้วไม่เปิด สั่งยากรดไหลย้อนให้ไปกิน 1 กระบุง..ฮา
หมอบอกรักษาอีกนาน ต้องควบคุมอาหารการกินด้วยนะ โหย ก็กินจืดสุดๆแล้วนะ ยังจะเป็นอีกเหรอ
ก็กลับไปบ้านนอนพัก เอ๊ะ ทำไมมันปวดท้องวะ กรดไหลย้อนมั้ง อาเจียนอีก ไข้ขึ้นอีก
ปวดท้องมากขึ้นว่ะ หมดแรง เอาไงดีวะ อาการคล้ายๆ เดิม แง๊
ลองโทรปรึกษาคุณพยาบาล อีกแระ เค้าจะรำคาญมั้ยนั่น ทุกเรื่องเลย
คุณพยาบาลก็แสนดี บอกใจเย็นๆ ต้องลองถ่ายน้ำดูว่าขุ่นมั้ย ไปลองดูซิ ถ่ายน้ำออกเลย
เราก็จัดการ ต่อสาย เปิดน้ำ พอน้ำออกจากถุงเท่านั้นแหล่ะ จ๊ากกกกก.....ขุ่น....
เปิดยังไม่ทันหมดก็จัดการโทรหาคุณพยาบาลเลย รายงานว่าน้ำขุ่นแล้ว
ขุ่นได้อย่างไร ก็แผลจะหายแล้วนี่นา แล้วก็กินยาตั้ง 10 วันแล้วด้วย หนองก็ไม่มีแล้ว
ไม่ต้องวิเคราะห์วิแคะอะไรแล้ว ก็รีบไปโรงพยาบาลศิริราชคืนนั้นเลย
ออกจากบ้าน 2 ทุ่ม ไปถึง รพ.เกือบ 4 ทุ่ม ไปนอกเวลาราชการต้องไปนอนเปลที่แพทย์เวร
นอนรอที่ทางเดิน (คนไข้เยอะจัดจนล้นมานอนที่ทางเดิน) นอนปวดไปจนกว่าหมอจะมา
แต่ก็ไม่ช้าเกินไป สักเที่ยงคืนหมอเฉพาะทางโรคไตก็มา เจาะเลือดไปตรวจ ดูแผล ดูสายช่องท้อง
แล้วก็มีพยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อโดยเจาะทางเส้นเลือด ให้แบบสายน้ำเกลือขวดเล็กๆ
พอหมดยาก็นอนพัก แล้วตีสองก็ไปเอาน้ำยาออกจากช่องท้องไปตรวจอีก
ก็กลับมานอนที่ทางเดินหน้าห้องต่ออีก แบบว่าคนเยอะจนเตียงล้นออกมานอกห้อง
หลับๆตื่นๆ ตีอะไรไม่รู้ หมอก็มาสรุปผลตรวจเลือด ผลตรวจน้ำยา
ก็ให้ยาอะไรกินก็ไม่รู้ ขาดโปรแตสเซียม ขาดสารอาหารอะไรไม่รู้ ก็กินเสริมเข้าไป
สรุปว่าติดเชื้อค่อนข้างรุนแรง ให้รอสอบถามเตียงว่างแล้วเข้าแอดมิดทันที
กว่าจะได้เข้าเตียงก็รอจนหกโมงเช้า เค้าต้องเข็นจากทางเดินไปแอบไว้ในห้องๆนึงก่อน
พอรุ่งเช้าจึงค่อยพาไปที่เตียงที่ต้องแอดมิด
ง่วงมาก นอนไม่พอ พอเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้ ขึ้นเตียงก็หลับยาว จนเค้าต้องมาปลุกให้ยาอีกรอบ
ข้าวปลาก็กินไม่ได้ อาเจียนตลอด นอนก็ต้องไขเตียงให้หัวสูงๆ
ท้องก็ปวด อาเจียน กรดไหลย้อนตามมา โอย ทรมาน ไม่ได้หลับอีกทั้งคืน
แล้วก็ต้องปลุกให้ยาเป็นระยะ

วันรุ่งขึ้นไม่รู้คณะแพทย์ประชุมกันอีท่าไหนไม่รู้ สรุปว่า
เราติดเชื้อทางช่องท้องอย่างรุนแรงจนไม่สามารถล้างไตทางช่องท้องต่อได้ แต่เอาสายออกจากช่องท้องทันที
หากไม่เอาออกจะเป็นอันตรายร้ายแรง (แค่ไหนไม่รู้)
พอตกบ่ายก็เข้าห้องผ่าตัดเล็กๆ ผ่าเอาสายออก เรียบร้อย ท้องโล่งๆ ว่างๆ
รู้สึกผอมไปทันที เพราะไม่มีอะไรในท้องแล้ว กินไม่ได้ อาเจียน นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ฮวบ!!!

นอนพักไปเรื่อยๆ ให้ยาฆ่าเชื้อไปเรื่อยๆ ก็เริ่มแข็งแรง ไม่ปวด ไม่อาเจียน
อาการก็ดูจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ก็นอนชิวๆ ไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม
นอนเล่น อ่านหนังสือ พลางคิดไปว่า แล้วโรคไตของเราจะทำอย่างไร ล้างไตยังไง
ผ่านไป 3 วัน ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่ยังคงให้ยาทุกวัน และกินอาหารไม่ได้เหมือนเดิม
มันเนื่องจากอาหารของโรงพยาบาลไม่อร่อยด้วยแหล่ะ และก็เป็นกรดไหลย้อนอีก
แต่ก็ไม่อาเจียนแล้ว ร่างกายเริ่มผอมลงๆ
ก็ไม่รู้คุณหมอจะเอาไงดี มันไม่ได้ล้างไตมาหลายวันแล้วนะ แล้วเราจะเป็นไงถ้าไม่ได้ล้างไต
คิดได้ไม่นาน คุณหมอก็มาบอกว่า เราคงต้องเปลี่ยนไปฟอกเลือดแทน
ฟอกเลือด!!!!
ใช่ค่ะ เราต้องเปลี่ยนไปฟอกเลือด
เราต้องทำเส้นเพื่อฟอกเลือดโดยเร็วที่สุด และเจาะเร็วที่สุดคือ “เจาะเส้นเลือดที่คอ”
แง๊.....เพิ่งผ่าข้างล่าง มาเจาะข้างบนอีก

การฟอกเลือด คือ สิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ทำ เพราะไม่เลือกมันมาตั้งแต่แรกแล้ว คือ ไม่ชอบนั่งนานบอกแล้วว่าไฮเปอร์ อยู่ไม่สุข อยู่เฉยไม่ได้ ไม่ใช่คนที่จะนั่งชิลๆอะไรได้นานขนาดนั้น เราเลยไม่เลือกและก็รู้ว่าต้องไป รพ. นั่งรอ อย่างน้อยก่อนหน้านั้น 1 ชม. ฟอกเลือด 4 ชม. แล้วเดินทางกลับอีกอย่างน้อย 30 นาที จากโรงพยาบาลไปบ้าน มันก็ครึ่งวันไปแล้ว เลยไม่ชอบ ขนาดมีเครื่องล้างไตทางช่องท้องใช้เวลากลางคืน 10 ชม. เรายังไม่เอาเลย ตัวติดสาย 10 ชม. ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
และวันที่ 28 ตค 56 ก็เป็นวันใส่สายที่หลอดเลือด โอย ตายแน่ๆ เพราะอะไรถึงกังวลนักหนา ก็คุณป้าเตียงตรงข้ามกัน แกเพิ่งไปวางสายมาแกร้องโอดโอยบอกเจ็บนักเจ็บหนา ขอแต่ยาแก้ปวด แกขยับตัวไม่ได้เลย และเตียงทางขวามือคุณป้าอีกคน แกก็นอนไม่หลับกระสับกระส่ายบอกเจ็บมาก เจ็บสุดๆ แถมยังโดนคุณป้าทางซ้าย ไซโคมาว่า ฝีมือหมอ....คนนั้นน่ะมือไม่ถึงขั้น หาเส้นเลือดไม่เจอ ใส่ๆถอดๆ มือไม่แม่น เจ็บมากกกกกก เราก็เครียดซิ เครียด
พอถึงเวลาเข้าห้องใส่สาย นอนตัวเกร็ง จนหมอบอก สบายๆ หมอที่ใส่ไม่ใช่หมอ....คนนั้น หือ ดีใจระดับหนึ่ง ไม่รู้ล่ะ แต่ขอโทษคุณหมอด้วยที่จำชื่อคุณหมอไม่ได้ คุณหมอมาบอกให้สบายๆ จะฉีดยาชาล่ะนะ พอฉีดยาชาสักพัก แกเห็นว่าชาแล้วนะ เราก็หลับตาปี๋ เค้าให้เอียงคอ มองกล่องโลกสวยลายดอกไม้ แล้วก็เอาผ้าคลุมไว้ โผล่แค่คอ แกก็มายุกยิกๆ ตรงคอเรา เราก็ไม่รู้สึกล่ะ มันชา เออเฮ้ย คราวนี้ยาชา ชาจริง ๆ ดีใจมาก ที่ยาชามีผลกับเราซะที แล้วกำลังจะสวดมนต์หลับตา นึกถึงหลวงพ่อองค์ที่เคารพ จะอะไรก็แล้วแต่จะเชิญมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่