ก่อนอื่นต้องแจ้งไว้ก่อนว่า ทั้งหมดในรีวิวนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2006 นับถึงตอนนี้ก็ 11 ปีกว่าๆ แล้วครับ ภาพ บรรยากาศ ต่างๆ คือมันค่อนข้างย้อนยุคมากๆ ภาพถ่ายส่วนใหญ่ก็มาจากมือถือบ้าง กล้องคอมแพ็คตัวเล็กๆ บ้าง ยังไม่ได้ถ่ายรูปเป็นจริงเป็นจังเหมือนสมัยนี้ครับ
ความอยาก Review นี้มันเริ่มต้นจาก......ความรู้สึกเซ็งๆ นั่งเขี่ยมือถือ เปิดคลิปและรูปเก่าๆ สมัยเรียนมหา'ลัย พลางนึกถึงถึงช่วงเวลา 11 เดือน ของปี 2006 ที่มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตบน เรือสำราญ ชื่อ
Sapphire Princess ซึ่งเป็นช่วงเวลาและประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดของชีวิต ต้องอดทนทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ตลอด 11 เดือน ไม่เคยหยุดงานเลยแม้แต่วันเดียว (โหดร้ายมาก) แม้รายได้จะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่อยู่บนเรือไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ทุกอย่างทั้งอาหารเครื่องดื่ม ที่หลับทีนอน FREE ได้เพื่อน ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง โดยรวมแล้วก็ยังคุ้มค่ามากๆ ครับ
เพราะเป็นเรือสำราญ ซึ่งเหมือนเป็นโรงแรมขนาดมหึมาที่ลอยน้ำได้ มีห้องพักผู้โดยสาร 1,377 ห้อง และห้องพักของลูกเรือประมาณ 600 ห้อง สูง 18 ชั้น มีโรงหนัง ผับ บาร์ ห้างสรรพสินค้า โรงละคร คาสิโน ฯลฯ ครบครัน จึงทำให้เรือลำนี้ไม่เคยหยุดนิ่งเลย มีคนถามว่า
"ทำงานทุกวันแล้วเอาเวลาไหนเที่ยว" คำตอบคือ
ผมเลือกที่จะเข้ากะกลางคืน เริ่มงาน 3 ทุ่ม เลิก 7 โมงเช้า เรือจะจอดเฉพาะกลางวัน นั่นหมายถึง มันเป็นเวลาของเราที่จะทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ เราก็ออกไปเที่ยวเหมือนผู้โดยสารคนอื่นๆ นับ 4,000 ชีวิต บางครั้งต้องทนกับความง่วง ไม่ยอมกลับมานอน เพราะเมืองนั้นๆ เรือจะเข้าแค่ครั้งเดียว จึงต้องใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่นอกเรือให้คุ้มค่าที่สุด
เส้นทางเดินเรือในช่วงแรกเนื่องจากเป็นต้นปี อากาศยังหนาวอยู่เส้นทางเรือช่วง 1-2 เดือนนี้มุ่งหน้าหนีหนาว ลงทางไต้ แถบ
Mexican Riviera
Mazatlan, Puerto Vallarta และ Cabo San Lucas ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ในแถบนั้น ของประเทศเม็กซิโก
อยากบอกว่าที่ประเทศ
Mexico โคตรร้อน ร้อนกว่าเมืองไทยเยอะแยะเลย จากที่ขาวน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งขาวน้อยมากๆๆ (ไม่ใช้คำว่าดำ เพราะสะเทือนใจ) แต่คุ้มค่ากับเงินค่ารถ ค่าทัวร์ ค่าเดินทางที่จ่ายไปแต่ละรอบ ของกินก็อร่อยพอใช้ได้เลย
เริ่มเข้าสู่ช่วง Summer กัปตันก็หันหัวเรือขึ้นเหนือเพื่อหนีร้อน ระหว่างทางเรือลำนี้ได้แวะตามรายทางซึ่งเป็นเมืองในฝันที่อยากมา และไม่เคยคิดว่าจะได้มา แถบ California หลายเมือง
Los Angeles , San Diego โดยเฉพาะเมือง
San Francisco ของอาจารหวงเฟยหง เมืองเหล่านี้เรือจะจอดแค่ครั้งเดียว เพราะเป็นทางผ่านหนีร้อนขึ้นเหนือ จะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในการทำงาน เพราะ ได้นอนน้อยมาก เนื่องจากออกไปเที่ยวตั้งแต่เลิกงาน ทั้งวันจนถึงเวลาเรือใกล้ออก ค่อยกลับมา กลับมาถึงก็ทำงานต่อ (มีแอบงีบด้วยช่วงตี 2-3)
จากนั้นไต่ข้ามเส้นรุ้งขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ผ่าน
Astoria ของรัฐ Oregon และแวะเมือง
Victoria ซึ่งอยู่ในเขต Canada แล้ว เมืองเหล่านี้เรือจะจอดแค่วันเดียว ไม่กลับมาอีก มีหรอคนต่างด้าวอย่างผมจะพลาด ที่นี่มีร้านอาหารไทยด้วยนะเออ ทั้งกิน ทั้งห่อ กันเลยทีเดียว
เป้าหมายของเรืออยู่ที่ Port หลักที่
Vancouver ของ Canada
และใช้ที่นี่เป็น Base ในการรับ-ส่งผู้โดยสารจากทั่วโลกที่จะเดินทางเข้า
Alaska กับเรือลำนี้ตลอดระยะเวลากือบ 4 เดือนต่อมา เพื่อร่วมงานหลายๆ คนทั้งเด็ก ทั้งแก่ หมดสัญญากันที่นี่ ก็อำลากันไป
ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือน ทุกสัปดาห์ เรือลำนี้จะรับผู้โดยสารจาก Vancouver ไปเที่ยว Alaska หลายเมือง ไม่ว่าจะเป็น
Ketchikan ที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ Alaska ,
Skagway ซึ่งเป็นเส้นทางขุดทองที่สำคัญที่สุดแหน่งหนึ่งในอดีตของอเมริกา,
Juneau ซึ่งเป็นเหมืองหลวงของรัฐนี้
ระหว่างทางนั้น เรือยังมีพาเข้าไปดู
ธารน้ำแข็ง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของ Alaska ชื่อ
Glacier Bay และ
College Fjord โดยมีปลายทางของโปรแกรมนี้ คือเมือง
Whittier จากนั้นเรือลำนี้ก็จะกลับมาส่งผู้โดยสารที่เดิม และก็รับผู้โดยสารชุดใหม่ไปเส้นทางเดิมอีกซ้ำๆ อยู่แบบนี้ ผมเลยไม่ต้องรีบร้อน เพราะจะต้องเข้าเมืองเหล่านี้นับสิบครั้ง ค่อยๆ เที่ยว จะได้มีเวลานอนเต็มที่ อากาศข้างนอกเรือแถบนี้ ติดลบพอสมควรเลย แม้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม
เมื่อถึงเวลาอันควร โปรแกรมของ
องค์หญิงพลอยไพลิน หรือ
Sapphire Princesses เริ่มเปลี่ยน กัปตันหันหัวเรือมุ่งหน้าข้ามเส้นแวง (Longitude) ที่ 0 องศา เพื่อข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค มาพาผู้โดยสารรวมลูกเรือเกือบ 5000 ชีวิต มาเยือนโซน
Asia เนื่องจากการเดินทางข้ามจากฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกา มาสู่ตะวันออกของทวีปเอเชีย ใช้เวลานับสัปดาห์โดยไม่จอด ผ่านคลื่นลมแรง ไปไหนกันไม่เป็นเลยเนื่องจากเรือโคลงเคลงมาก นั่งกินข้าวกันที่ห้องอาหารชั้น 4 มองคลื่นซัดนอกหน้าต่างเรือ ต่างคนก็จับถาดอาหารของตัวเองไว้แน่น ไม่งั้นคงร่วงไม่ได้กินกัน
ระหว่างทางแวะเที่ยวและเติมเสบียงสำหรับคนเกือบ 5000 คน บนเรือกันที่เมือง
Vladivostok เป็นหัวเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งของ Russia ผู้คนที่นี่ดูน่ากลัว ขอแนะนำว่า ถ้าไม่ใช่ถนนเส้นหลักๆ อย่าเดินเข้าไปเชียวค่อนข้างอันตรายแม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม
เรือมุ่งหน้าเข้าเอเชีย มาเรื่อย จนถึง เกาหลีที่เมือง แวะ
Pusan และชมเมืองเก่า
Gyeong-Ju คล้ายๆ กับเมืองเก่าอโยธยา ของบ้านเรา แต่สภาพสิ่งก่อสร้างของเค้ายังคงความสมบูรณ์ มาก อายุอาจจะน้อยกว่าอโยธยาก็เป็นได้ ไม่ได้ดูข้อมูลเลย
ออกจากเกาหลี วิ่งเข้าดินแดนอาทิตย์อุทัย
ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่อยากไปที่สุดของชีวิตเลย มันเป็นโอกาศครั้งแรกและครั้งสำคัญในชีวิตที่ได้ทัวร์ญี่ปุ่นได้หลายเมืองขในช่วงเวลาเดียวกัน เมืองแรกที่เรือเทียบท่าคือ
Muroran บนเกาะ Hokkaido แล้วเรือก็เคลื่อนลงใต้เรื่อยๆ เข้าสู่ ใจกลางญี่ปุ่น
Yokohama ผมกับพี่ที่ทำงานด้วยกันได้ใช้เวลา 1 วันเต็ม นั่งรถไฟเข้าเมือง
Tokyo เพื่อสัมผัสบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด
เรือค่อยๆ ลงทางใต้ต่อไป ผ่านได้มีโอกาศแวะอีกหลายเมืองทั้ง
Osaka , Kagoshima , Nagasaki และสุดทางที่
Okinawa เป็นอันสิ้นสุดเส้นทางโปรแกรมญี่ปุ่นไป และเรือจะไม่กลับเข้าญี่ปุ่นอีกแล้ว
ออกจากญี่ปุ่น ก็เริ่มข้ามฝั่งไปที่แผ่นดินใหญ่ของจีน เข้าเมืองแรกที่
Dalian และข้ามอ่าวไปเมือง
Tianjin ได้มีโอกาศสัมผัสความเป็นจีนแท้ๆ ที่ไม่ใช่แบบเยาวราช ครั้งแรกในชีวิต
จากนั้นเรือมุ่งหน้าสู่เมืองแห่งมาเฟีย เจ้าพ่อ
Shanghai ซึ่งเรือจอดที่นี่ค้างคืนด้วย สำหรับผู้โดยสารที่มาเที่ยว หลายคนก็จะไปค้างคืนในเมืองเซี่ยงไฮ้ เลย แต่สำหรับผมในฐานนะลูกเรือ ซึ่งมีสัญญาทาสต้องทำงานทุกวัน ก็ต้องกลับเข้ามาบนเรือ แล้วค่อยออกไปเที่ยวในเช้าวันที่ 2 หลังเลิกงานอีกครั้ง
กับตันเริ่มหันเรือลงใต้ไปอีกครั้ง แวะเข้าเกาะ Taiwan จอดที่ท่าเทียบเรือของเมือง
Keelung แล้วนั่งรถต่อเข้า
Taipei ทำไมเวลาที่นี่มันน้อยจังเลย
รู้สึกโคตรโชคดีครับ ที่เจอจังหวะที่บริษัทได้ส่งผมมาเรือลำนี้ ซึ่งเป็นช่วงปีที่กำลังจะวิ่ง
World Cruise หรือโปรแกรมเที่ยวรอบโลก ทำไห้ได้เดินทางมากมายขนาดนี้ มุ่งหน้าลงไต้เรื่อยๆ แวะอีกครั้งที่เกาะ
Kowloon ของ
HongKong มีเวลาที่นี่น้อย เนื่องจากมีการซ้อมหนี้ไฟ (จะมีการซ้อมหนีไฟทุกสัปดาห์ ซึ่งลูกเรือทุกคนต้องเข้าร่วมและต้องอยู่ในตำแหน่งของตัวเองที่มีการกำหนดไว้) เลยได้เดินเล่นแค่ที่ Kowloon เท่านั้น
จริงๆ สัญญาจ้างงาน 10 เดือน น่าจะหมดตั้งแต่ที่ฮ่องกงแล้ว แต่โดนบริษัทยืดสัญญาไปอีก 1 เดือน เลยได้อยู่บนเรือต่อ จนเข้าประเทศ
Vietnam เมือง
Ho Chi Min และ
Na Trang เอาตรงๆ ตามความรู้สึกและที่ได้เจอมากับตัว (รวมถึงเพื่อนร่วมงานเจอ และแม้แต่ผู้โดยสารหลายคนก็เจอ) เวียตนามมีอะไรๆ น่าสนใจเยอะมาก แต่....ผู้คน (บางคน ในช่วงเวลานั้น) ไม่ค่อยเป็นมิตร เห็นแก่ได้ ขี้โกงทุกอย่าง อันนี้เจอด้วยตัวเอง ถ้าเลือกเที่ยวต่างประเทศ เวียตนามอาจจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ที่จะเลือกไป อาจจะพูดไม่ถูกใจใครก็ขอโทษด้วยครับ
จากนั้นวิ่งลงไต้ไป
Singapore แล้วย้อนกลับมาที่
ท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศไทย เป็นอันจบสิ้นสัญญา(ทาส) 11 เดือนที่ต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดเลย บริษัทยืดสัญญาเพิ่ม 1 เดือน โดยเฉพาะคนไทย เนื่องจากโปรแกรมกำลังจะเข้าแหลมฉบัง (เรือลำนี้เข้าท่าเรือใกล้กรุงเทพฯ กว่านี้ไม่ได้เนื่องจากน้ำตื้นเกินไป) หากให้คนไทยมาจบสัญญาที่เมืองไทย บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินแถมได้คนไว้ทำงานยาวได้อีก
ถึงแม้จะงานหนักไปหน่อย แต่มันคือประสบการณ์ที่สำคัญ ได้เปิดโลกกว้าง ถือซะว่า การทำงาน 11 เดือนบนเรืออย่างเหน็ดเหนื่อย มันแลกกับการได้ท่องเทียวไปพร้อมกับเรือลำนี้ มากถึง
11 ประเทศ รวมทั้งหมด 31 เมือง คิดว่าการเดินทางครั้งนี้ ถือว่าคุ้มมาก แถมได้เงินกลับมาใช้ด้วยนิดหน่อย (ที่เหลือน้อยเป็นเพราะเที่ยวเยอะไป)
ขอบคุณสำหรับการรับชมรีวิวย้อนหลัง 11 ปี นี้ครับ
[CR] Review ย้อนหลัง 11 ปี กับชีวิต 11 เดือน เยือน 11 ประเทศ 31 เมือง ความเหนื่อยที่โคตรคุ้มค่า (ผู้ใช้แรงงาน)
ความอยาก Review นี้มันเริ่มต้นจาก......ความรู้สึกเซ็งๆ นั่งเขี่ยมือถือ เปิดคลิปและรูปเก่าๆ สมัยเรียนมหา'ลัย พลางนึกถึงถึงช่วงเวลา 11 เดือน ของปี 2006 ที่มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตบน เรือสำราญ ชื่อ Sapphire Princess ซึ่งเป็นช่วงเวลาและประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดของชีวิต ต้องอดทนทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ตลอด 11 เดือน ไม่เคยหยุดงานเลยแม้แต่วันเดียว (โหดร้ายมาก) แม้รายได้จะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่อยู่บนเรือไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ทุกอย่างทั้งอาหารเครื่องดื่ม ที่หลับทีนอน FREE ได้เพื่อน ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง โดยรวมแล้วก็ยังคุ้มค่ามากๆ ครับ
เพราะเป็นเรือสำราญ ซึ่งเหมือนเป็นโรงแรมขนาดมหึมาที่ลอยน้ำได้ มีห้องพักผู้โดยสาร 1,377 ห้อง และห้องพักของลูกเรือประมาณ 600 ห้อง สูง 18 ชั้น มีโรงหนัง ผับ บาร์ ห้างสรรพสินค้า โรงละคร คาสิโน ฯลฯ ครบครัน จึงทำให้เรือลำนี้ไม่เคยหยุดนิ่งเลย มีคนถามว่า "ทำงานทุกวันแล้วเอาเวลาไหนเที่ยว" คำตอบคือ ผมเลือกที่จะเข้ากะกลางคืน เริ่มงาน 3 ทุ่ม เลิก 7 โมงเช้า เรือจะจอดเฉพาะกลางวัน นั่นหมายถึง มันเป็นเวลาของเราที่จะทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ เราก็ออกไปเที่ยวเหมือนผู้โดยสารคนอื่นๆ นับ 4,000 ชีวิต บางครั้งต้องทนกับความง่วง ไม่ยอมกลับมานอน เพราะเมืองนั้นๆ เรือจะเข้าแค่ครั้งเดียว จึงต้องใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่นอกเรือให้คุ้มค่าที่สุด
เส้นทางเดินเรือในช่วงแรกเนื่องจากเป็นต้นปี อากาศยังหนาวอยู่เส้นทางเรือช่วง 1-2 เดือนนี้มุ่งหน้าหนีหนาว ลงทางไต้ แถบ Mexican Riviera
Mazatlan, Puerto Vallarta และ Cabo San Lucas ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ในแถบนั้น ของประเทศเม็กซิโก
อยากบอกว่าที่ประเทศ Mexico โคตรร้อน ร้อนกว่าเมืองไทยเยอะแยะเลย จากที่ขาวน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งขาวน้อยมากๆๆ (ไม่ใช้คำว่าดำ เพราะสะเทือนใจ) แต่คุ้มค่ากับเงินค่ารถ ค่าทัวร์ ค่าเดินทางที่จ่ายไปแต่ละรอบ ของกินก็อร่อยพอใช้ได้เลย
เริ่มเข้าสู่ช่วง Summer กัปตันก็หันหัวเรือขึ้นเหนือเพื่อหนีร้อน ระหว่างทางเรือลำนี้ได้แวะตามรายทางซึ่งเป็นเมืองในฝันที่อยากมา และไม่เคยคิดว่าจะได้มา แถบ California หลายเมือง Los Angeles , San Diego โดยเฉพาะเมือง San Francisco ของอาจารหวงเฟยหง เมืองเหล่านี้เรือจะจอดแค่ครั้งเดียว เพราะเป็นทางผ่านหนีร้อนขึ้นเหนือ จะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในการทำงาน เพราะ ได้นอนน้อยมาก เนื่องจากออกไปเที่ยวตั้งแต่เลิกงาน ทั้งวันจนถึงเวลาเรือใกล้ออก ค่อยกลับมา กลับมาถึงก็ทำงานต่อ (มีแอบงีบด้วยช่วงตี 2-3)
จากนั้นไต่ข้ามเส้นรุ้งขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ผ่าน Astoria ของรัฐ Oregon และแวะเมือง Victoria ซึ่งอยู่ในเขต Canada แล้ว เมืองเหล่านี้เรือจะจอดแค่วันเดียว ไม่กลับมาอีก มีหรอคนต่างด้าวอย่างผมจะพลาด ที่นี่มีร้านอาหารไทยด้วยนะเออ ทั้งกิน ทั้งห่อ กันเลยทีเดียว
เป้าหมายของเรืออยู่ที่ Port หลักที่ Vancouver ของ Canada
และใช้ที่นี่เป็น Base ในการรับ-ส่งผู้โดยสารจากทั่วโลกที่จะเดินทางเข้า Alaska กับเรือลำนี้ตลอดระยะเวลากือบ 4 เดือนต่อมา เพื่อร่วมงานหลายๆ คนทั้งเด็ก ทั้งแก่ หมดสัญญากันที่นี่ ก็อำลากันไป
ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือน ทุกสัปดาห์ เรือลำนี้จะรับผู้โดยสารจาก Vancouver ไปเที่ยว Alaska หลายเมือง ไม่ว่าจะเป็น Ketchikan ที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ Alaska , Skagway ซึ่งเป็นเส้นทางขุดทองที่สำคัญที่สุดแหน่งหนึ่งในอดีตของอเมริกา, Juneau ซึ่งเป็นเหมืองหลวงของรัฐนี้
ระหว่างทางนั้น เรือยังมีพาเข้าไปดู ธารน้ำแข็ง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของ Alaska ชื่อ Glacier Bay และ College Fjord โดยมีปลายทางของโปรแกรมนี้ คือเมือง Whittier จากนั้นเรือลำนี้ก็จะกลับมาส่งผู้โดยสารที่เดิม และก็รับผู้โดยสารชุดใหม่ไปเส้นทางเดิมอีกซ้ำๆ อยู่แบบนี้ ผมเลยไม่ต้องรีบร้อน เพราะจะต้องเข้าเมืองเหล่านี้นับสิบครั้ง ค่อยๆ เที่ยว จะได้มีเวลานอนเต็มที่ อากาศข้างนอกเรือแถบนี้ ติดลบพอสมควรเลย แม้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม
เมื่อถึงเวลาอันควร โปรแกรมของ องค์หญิงพลอยไพลิน หรือ Sapphire Princesses เริ่มเปลี่ยน กัปตันหันหัวเรือมุ่งหน้าข้ามเส้นแวง (Longitude) ที่ 0 องศา เพื่อข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค มาพาผู้โดยสารรวมลูกเรือเกือบ 5000 ชีวิต มาเยือนโซน Asia เนื่องจากการเดินทางข้ามจากฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกา มาสู่ตะวันออกของทวีปเอเชีย ใช้เวลานับสัปดาห์โดยไม่จอด ผ่านคลื่นลมแรง ไปไหนกันไม่เป็นเลยเนื่องจากเรือโคลงเคลงมาก นั่งกินข้าวกันที่ห้องอาหารชั้น 4 มองคลื่นซัดนอกหน้าต่างเรือ ต่างคนก็จับถาดอาหารของตัวเองไว้แน่น ไม่งั้นคงร่วงไม่ได้กินกัน
ระหว่างทางแวะเที่ยวและเติมเสบียงสำหรับคนเกือบ 5000 คน บนเรือกันที่เมือง Vladivostok เป็นหัวเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งของ Russia ผู้คนที่นี่ดูน่ากลัว ขอแนะนำว่า ถ้าไม่ใช่ถนนเส้นหลักๆ อย่าเดินเข้าไปเชียวค่อนข้างอันตรายแม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม
เรือมุ่งหน้าเข้าเอเชีย มาเรื่อย จนถึง เกาหลีที่เมือง แวะ Pusan และชมเมืองเก่า Gyeong-Ju คล้ายๆ กับเมืองเก่าอโยธยา ของบ้านเรา แต่สภาพสิ่งก่อสร้างของเค้ายังคงความสมบูรณ์ มาก อายุอาจจะน้อยกว่าอโยธยาก็เป็นได้ ไม่ได้ดูข้อมูลเลย
ออกจากเกาหลี วิ่งเข้าดินแดนอาทิตย์อุทัย ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่อยากไปที่สุดของชีวิตเลย มันเป็นโอกาศครั้งแรกและครั้งสำคัญในชีวิตที่ได้ทัวร์ญี่ปุ่นได้หลายเมืองขในช่วงเวลาเดียวกัน เมืองแรกที่เรือเทียบท่าคือ Muroran บนเกาะ Hokkaido แล้วเรือก็เคลื่อนลงใต้เรื่อยๆ เข้าสู่ ใจกลางญี่ปุ่น Yokohama ผมกับพี่ที่ทำงานด้วยกันได้ใช้เวลา 1 วันเต็ม นั่งรถไฟเข้าเมือง Tokyo เพื่อสัมผัสบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด
เรือค่อยๆ ลงทางใต้ต่อไป ผ่านได้มีโอกาศแวะอีกหลายเมืองทั้ง Osaka , Kagoshima , Nagasaki และสุดทางที่ Okinawa เป็นอันสิ้นสุดเส้นทางโปรแกรมญี่ปุ่นไป และเรือจะไม่กลับเข้าญี่ปุ่นอีกแล้ว
ออกจากญี่ปุ่น ก็เริ่มข้ามฝั่งไปที่แผ่นดินใหญ่ของจีน เข้าเมืองแรกที่ Dalian และข้ามอ่าวไปเมือง Tianjin ได้มีโอกาศสัมผัสความเป็นจีนแท้ๆ ที่ไม่ใช่แบบเยาวราช ครั้งแรกในชีวิต
จากนั้นเรือมุ่งหน้าสู่เมืองแห่งมาเฟีย เจ้าพ่อ Shanghai ซึ่งเรือจอดที่นี่ค้างคืนด้วย สำหรับผู้โดยสารที่มาเที่ยว หลายคนก็จะไปค้างคืนในเมืองเซี่ยงไฮ้ เลย แต่สำหรับผมในฐานนะลูกเรือ ซึ่งมีสัญญาทาสต้องทำงานทุกวัน ก็ต้องกลับเข้ามาบนเรือ แล้วค่อยออกไปเที่ยวในเช้าวันที่ 2 หลังเลิกงานอีกครั้ง
กับตันเริ่มหันเรือลงใต้ไปอีกครั้ง แวะเข้าเกาะ Taiwan จอดที่ท่าเทียบเรือของเมือง Keelung แล้วนั่งรถต่อเข้า Taipei ทำไมเวลาที่นี่มันน้อยจังเลย
รู้สึกโคตรโชคดีครับ ที่เจอจังหวะที่บริษัทได้ส่งผมมาเรือลำนี้ ซึ่งเป็นช่วงปีที่กำลังจะวิ่ง World Cruise หรือโปรแกรมเที่ยวรอบโลก ทำไห้ได้เดินทางมากมายขนาดนี้ มุ่งหน้าลงไต้เรื่อยๆ แวะอีกครั้งที่เกาะ Kowloon ของ HongKong มีเวลาที่นี่น้อย เนื่องจากมีการซ้อมหนี้ไฟ (จะมีการซ้อมหนีไฟทุกสัปดาห์ ซึ่งลูกเรือทุกคนต้องเข้าร่วมและต้องอยู่ในตำแหน่งของตัวเองที่มีการกำหนดไว้) เลยได้เดินเล่นแค่ที่ Kowloon เท่านั้น
จริงๆ สัญญาจ้างงาน 10 เดือน น่าจะหมดตั้งแต่ที่ฮ่องกงแล้ว แต่โดนบริษัทยืดสัญญาไปอีก 1 เดือน เลยได้อยู่บนเรือต่อ จนเข้าประเทศ Vietnam เมือง Ho Chi Min และ Na Trang เอาตรงๆ ตามความรู้สึกและที่ได้เจอมากับตัว (รวมถึงเพื่อนร่วมงานเจอ และแม้แต่ผู้โดยสารหลายคนก็เจอ) เวียตนามมีอะไรๆ น่าสนใจเยอะมาก แต่....ผู้คน (บางคน ในช่วงเวลานั้น) ไม่ค่อยเป็นมิตร เห็นแก่ได้ ขี้โกงทุกอย่าง อันนี้เจอด้วยตัวเอง ถ้าเลือกเที่ยวต่างประเทศ เวียตนามอาจจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ที่จะเลือกไป อาจจะพูดไม่ถูกใจใครก็ขอโทษด้วยครับ
จากนั้นวิ่งลงไต้ไป Singapore แล้วย้อนกลับมาที่ ท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศไทย เป็นอันจบสิ้นสัญญา(ทาส) 11 เดือนที่ต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดเลย บริษัทยืดสัญญาเพิ่ม 1 เดือน โดยเฉพาะคนไทย เนื่องจากโปรแกรมกำลังจะเข้าแหลมฉบัง (เรือลำนี้เข้าท่าเรือใกล้กรุงเทพฯ กว่านี้ไม่ได้เนื่องจากน้ำตื้นเกินไป) หากให้คนไทยมาจบสัญญาที่เมืองไทย บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินแถมได้คนไว้ทำงานยาวได้อีก
ถึงแม้จะงานหนักไปหน่อย แต่มันคือประสบการณ์ที่สำคัญ ได้เปิดโลกกว้าง ถือซะว่า การทำงาน 11 เดือนบนเรืออย่างเหน็ดเหนื่อย มันแลกกับการได้ท่องเทียวไปพร้อมกับเรือลำนี้ มากถึง 11 ประเทศ รวมทั้งหมด 31 เมือง คิดว่าการเดินทางครั้งนี้ ถือว่าคุ้มมาก แถมได้เงินกลับมาใช้ด้วยนิดหน่อย (ที่เหลือน้อยเป็นเพราะเที่ยวเยอะไป)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้