สรุปทริป ขึ้นรถไฟไปปั่นเที่ยวใกล้นิดเดียวพัทยา กับ อพท. (ตอนที่ ๑)

#ขึ้นรถไฟไปปั่นเที่ยวใกล้นิดเดียวพัทยา

พูดถึงพัทยา ใครๆ ก็น่าจะคิดว่า ต้องไปเที่ยวทะเลซิ ... ผมก็คิดอย่างนั้น..
แต่ ทริป "ขึ้นรถไฟไปปั่นเที่ยวใกล้นิดเดียวพัทยา" ของ อพท. (http://www.dasta.or.th/th/) ไม่เหมือนใคร

วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๐๑๘
๐๔.๐๕ .. รีบตื่นตรวจเช็คพยากรณ์อากาศ กทม. และ ชลบุรีอีกครั้ง "ไม่มีฝน" ถ้าอย่างนั้น แผนคือปั่นออกจากบ้าน ๐๔.๕๐ น.
มืดหน่อย แต่บนถนนฉลองกรุงเริ่มคึกคักแล้ว เช้าแบบนี้ ผมเลือกใช้บริการรถไฟฟ้า แอร์พอร์ตลิ้งค์ลาดกระบัง ปลายทาง สถานีรถไฟหัวหมาก


เช็คชื่อ .. แพ็ครถใส่กระเป๋าจักรยาน จากนั้นรับถุงเป้สะพายหลังแบบสามารถพับเก็บได้ของวินสิตา ที่บรรจุเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวพัทยา และแนะนำหน่วยงาน อพท. ภายในมีอาหารเช้า พร้อมน้ำ ๒ กล่อง พายอีก ๑ ชิ้น แบบว่า อิ่มมาก เพราะทีมงานคงประเมินว่า เวลานัด ๖ โมงเช้า ทุกคนต้องออกจากบ้านเช้ามากและคงไม่ได้ทานอาหารเช้ามาแน่ ๆ
จะปั่นเที่ยว แบบ ลดคาร์บอน ก็ต้อง ไม่มีขวดพลาสติกนะ .. แจกขวดน้ำ สวยๆ กันอีก ๑ ใบ สำหรับใช้ตลอดทริป


๗ โมง นิดๆ ขบวน
รถดีเซลราง กรุงเทพฯ-บ้านพลูตาหลวง สะอาด สบาย แอร์เย็นฉ่ำ ปรับเอนได้ หมุนเก้าอี้มาเจอกับแบบ ๔ คนก็ได้  ห้องน้ำก็สะอาด มาจอดเทียบชานชลา หลังทุกคนจัดเก็บสัมภาระ เรียบร้อยแล้ว ท่านรองฯ ทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ์ จาก อพท. ให้เกียรติมาต้อนรับด้วยตัวเอง ขณะเดินทางในขบวนรถไฟ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาระกิจของหน่วยงาน อพท. และวัตถุประสงค์ของทริปครั้งนี้ ซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกตื่นเต้นไปด้วยว่า เราจะได้เจอบรรยากาศน่าประทับใจอย่างแน่นอน


ประมาณ ๙ โมงครึ่ง ถึงสถานี "ญาณสังวราราม"  ซึ่งเลยสถานีพัทยามาหน่อย จุดหมายของเราเช้านี้ พบการต้อนรับ จาก คณะ อพท. พื้นที่ ๓  นำโดยท่านธิติ จันทร์แต่งผล  ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษ ๓ แนะนำภาพรวมของสถานที่ท่องเที่ยว ก่อนที่จะพาเราไปปั่นออกไป  


หลังจากทุกท่านจัดเตรียมรถพร้อมออกเดินทาง และรับฟังคำต้อนรับจากผู้บริหาร อพท. แล้วก็ต้องถ่ายรูปกันก่อน ทริปนี้คนไม่เยอะมากครับ กำลังดี ทำให้แม้จะมาคนเดียวไม่รู้จักใคร ก็ไม่ยากที่จะเข้าไปพูดคุย ทักทาย เพื่อทำความรู้จัก เพราะ นักจักรยานโดยทั่วไปอัธยาศัยรับแขกอยู่แล้ว
รวมตัว ก่อนออกเดินทางจาก สถานี "ญาณสังวราราม"
เอ๊าส่งเสียงหน่อย.. (ตากล้องตะโกนบอกมา) ๑ ๒ ๓ เฮ ..!!!   


๑๐.๐๐ ได้เวลาออกจาก “สถานีรถไฟ ญาณสังวราราม” แล้ว .. มองท้องฟ้า เดือนมิถุนายน ที่อาจจะมีฝนตกได้ แต่ วันนี้แดดแรงน่าดู ทุกคนต้องปิดหน้าปิดตาพร้อมอุปกรณ์กันแดดมาทุกรูปแบบ ทำให้บางรูป ไม่ทราบเหมือนกันว่า ใครเป็นใคร ยิ่งแต่งตัวด้วยเสื้อทีมแล้วละก้อจำไม่ได้เลย ..

เริ่มแรก เราจะปั่นไปเขาชีจรรย์ มีเส้นทางสำหรับจักรยานที่ดีพอสมควร ปั่นไปได้เรื่อยๆ ปลอดภัยระดับ ๒ (“พี่ดิน” ผู้รู้ด้านนี้ บอกผมหลังจากพูดคุยกันระหว่างทริป)  มีเนินเป็นระยะ จากรูปเห็นอยู่ไกลๆ  และเราก็ผ่านสถานที่ต่างๆ ที่หลายๆ ท่านอาจจะเคยแวะมา เช่น บ้านกลับหัว, สวนน้ำรามายณะ (Ramayana Water Park Pattaya ) เป็นต้น

หลายท่านก็พอทราบว่า พัทยามีเนินเขาไม่น้อย แม้กระทั่งในตัวเมืองพัทยาเองก็มีเนินซึม ยาวๆ ก็มีให้เห็นตลอดทาง ที่นี่ก็เช่นกัน แต่ ก็ไม่ถึงกับชันจนรถพับจะปั่นไม่ไหวนะครับ ไปเรื่อยๆ ชมนก ชมไม้ ชมเมือง ยิ่งมีทางจักรยานแยกออกมาแบบนี้ ปั่นสบายเลย แบบนี้แหละที่คนรักจักรยานท่องเที่ยวชอบเหลือเกิน เพราะ มันไม่เร็วจนเกินไป เรามีเวลาได้ซึมซับเกือบทุกอณูของเส้นทาง ตั้งแต่ถนนยันท้องฟ้า


ถึงเขาชีจรรย์ รับฟังประวัติความเป็นมา วิธีการยิงแสงเลเซอร์เพื่อสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์
รวมไปถึง ต้นศรีมหาโพธิ์ที่ได้มาจากต่างประเทศ ซึ่งในหลวง ร.๙ ได้ทรงปลูกไว้ ผู้รู้ที่ไปด้วยกันกล่าวว่า ต่างประเทศเขานั่งเฝ้ารอใบโพธิ์ตกแล้วแย่งกันเลยนะ ..

ฟังบรรยาย จุดวางเครื่องยิงแสงเลเซอร์ ไปที่หน้าผายามค่ำคืน เพื่อให้ช่างวาด โรยตัวลงมาจากหน้าผา แล้ววาดแนวเส้นตามแสงที่ปรากฏบนหน้าผา
ณ ตำแหน่งที่วางเครื่องฉายแสงเลเซอร์ไปที่หน้าผา จึงถือว่าเป็นจุดสวยที่สุด เมื่อต้องการถ่ายรูป
ชมความงามของพระพุทธรูปที่หน้าผาแล้ว ได้เวลาที่เราจะต้องไต่เนินเบา ๆ
ไปชม ป่าแห่งความรัก.. ฟังชื่อแล้ว โรแมนติกมากเลย ...


"ป่าสิริเจริญวรรษ" ..  สวย ร่มเย็น สดชื่นมาก ๆ
แวะมาเที่ยวป่าทั้งที ก็ขอนั่งลงทานข้าว (เที่ยง) ท่ามกลางผืนป่า และบึงน้ำ บรรยากาศดีขนาดนี้ ความเหนื่อยล้าเพราะแดดร้อนและแอบหิว หายไปในทันที


ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ โครงการ "ปลูกป่าในใจคน"  
เรื่องราวของป่าแห่งนี้ มีเรื่องราวที่ก่อให้เกิดเป็นชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ป่าแห่งรัก" เพราะในหลวง ร.๙ ทรงมอบให้เป็นของขวัญแต่องค์ราชินี ... ผืนป่าที่แม้จะแห้งแล้ง แต่ได้รับการลงแรงและเฝ้าดูแล ได้รับการทุ่มเทและทะนุถนอม เอาใจใส่ และเฝ้ารอคอยด้วยบุคลากรแต่ละกลุ่มที่รับผิดชอบ จนในที่สุด "เขาหัวโล้น" ก็กลับกลายเป็น "ป่าสมบูรณ์" อีกครั้ง

เชื่อเถอะ !! มาฟังบรรยายที่นี่ แล้วลองปั่นวนสักรอบ คุณจะรักป่าขึ้นเป็นกอง เพราะ เรื่องราวของผืนป่านี้ จะเพาะเมล็ดพันธ์ุลงในใจคุณอย่างแน่นอน

อิ่มแล้ว .. ไมให้อ้วน ก็ต้องปั่นชมป่ากันสักนิด เส้นทางจักรยานที่นี่เป็นวนย้อนกลับมาจุดเดิม ยาวถึง ๑๘ กม. เป็นเส้นทางสำหรับรถจักรยานเท่านั้น  แต่มีความโค้ง และ ความชันค่อนข้างมาก จึงเป็นอันตรายสำหรับรถหน้าไว เช่น รถพับทั่วไปที่ไม่มีสเตม หรือมือใหม่ที่ยังปั่นไม่คล่อง ดังนั้น ทางผู้ดูแล จึงแจ้งว่า หากจะมาปั่น มาได้เลย แต่ควรนำจักรยานประเภทเสือภูเขา หรือ เสือหมอบจะปลอดภัยกว่า ... ถามว่า รถแม่บ้านได้ไหม ..??  ได้แน่นอน .. แต่ ตอนขึ้นเนินอาจจะไม่ไหวเอา เพราะความชันไม่แพ้เขาใหญ่เลยครับ


เอาหละ เราต้องไปกันแล้ว ขอบคุณทีมงานผู้ดูแลผืนป่าให้กับเราทุกคนรวมถึงพี่ๆ เจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ให้การต้อนรับเราอย่างดี และทางเจ้าหน้าที่แจ้งด้วยว่า วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๐๑๘ มีกิจกรรมปั่นจักรยานที่นี่ และตั้งแต่ ๑๒ กันยายน ๒๐๑๘ นี้ จะเปิดให้บริการเต็มที่ โดยเฉพาะมีอาคารขนาดใหญ่ ที่มีห้องน้ำ มีล๊อคเกอร์เก็บของ ให้ทุกท่านมาใช้บริการอาบน้ำให้สดชื่นหลังการปั่นด้วย


จากป่าทั้งผืน เราปั่นย้อนกลับมาแล้วเลี้ยวขวาลงเนินสวย ๆ แวะ เยี่ยมชมการปลูกผัก ที่ คุณหญิงไฮโดรโปนิกส์ฟาร์ม รับฟังคำบรรยาย วิธีปลูก วิธีดูแล  
ทางฟาร์มยังบอกด้วยว่า ถ้าท่านใดแวะผ่านมาสามารถแวะเข้าชม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ หรือ หากปั่นจักรยานผ่านมาจะแวะเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา นั่งพัก ก็ยินดีต้อนรับเสมอ

พื้นที่ถูกเป็นโซนๆ ตั้งแต่ อนุบาล ๑, อนุบาล ๒ , อนุบาล ๓ .. โห ยังกะเรียนหนังสือ ระดับชั้นอนุบาล ต้นเล็กๆ วางเรียงรายกันไป แยกๆ กันตามพันธุ์ และขนาดอายุ ของแต่ละกลุ่ม
ผักที่นี่เติบโตอย่างดี มีคุณภาพ และ มีคุณค่าทางอาหาร เพราะได้รับการดูแลอย่างดี และ ราคาก็ดีด้วยนะครับ


ถามว่า ปลูกผักจนโตแล้วจะทำยังงัยต่อ
ตอบว่า ... โตแล้วก็ต้องเอามาทานกัน ... สลัดผัก รสชาดอร่อยสุดบรรยายจนต้อง วนเข้าคิวรับไป ๓ จาน พี่ๆ ทีมของฟาร์ม จัดวางใส่จานแล้วบอกว่า ตักลงบนผักตามใจชอบ มีพริก หัวหอม ถั่ว กุ้ง และอื่นๆ จากนั้นราดน้ำ หน้าตาคล้ายน้ำสะเต๊ะ หวานๆ หอมๆ .. "แล้วหยิบเข้าปากทั้งคำเลยค่า" พี่สาวคนเดิมแนะนำตั้งแต่การวางจนถึงการทาน ... งั่ม ๆๆๆ .. เต็มปากมาก .. อร่อยมากด้วย ..

น้ำผักในรูปดูน่าจะขมนะ
ครั้งแรกที่ผมไปยืนต่อคิว คิดเอาว่า คงประมาณน้ำบัวบก หรือไม่ก็จับเลี้ยง จึงรับมาเพียงครึ่งแก้ว แล้วกลั้นหายใจก่อนชิม (โห มีกลั้นหายใจด้วยนะ ... ) แต่ ขอบอกว่า หวานอมเปรี้ยว ฝาดนิดๆ อร่อยสุดๆ อร่อยจนหยุดไม่ได้ ต้องขอวนไปเข้าคิวอีก ๒ รอบนะค๊าบ และผมก็แอบเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ ในทริป หลายคนก็ทำแบบเดียวกัน วนกันคนละ ๒ -๓ รอบ ... ของเค้าอร่อยจริงๆ ครับ อย่าลืมนะครับ มาแถวนี้ ผ่านแถวนี้ แวะเลยครับ เจ้าของบ้านน่ารัก ใจดี พร้อมต้อนรับเสมอ


เติมพลังเต็มที่ ปั่นขึ้นเนินยาว ๆ ... เหนื่อยตอนขึ้นแบบนี้ รับรอง ต้องมีลงยาวๆ ตามมาแน่ จุดหมายต่อไปของเรา คือ วิหารเซียน (พัทยา) ซึ่งรวบรวมศิลปะไทย-จีนที่สวยงาม มีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์ ที่ผสมความอ่อนไหวและเข้มแข็ง เราจะพบกับรูปหล่อของเซียน และรูปหล่อแสดงกระบวนท่าการต่อสู้ ที่ดูเข้มแข็งและสง่างาม ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มีวัตถุโบราณมากมาย ชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ วางแยกหมวดหมู่เอาไว้ ที่นี่มีอัตราค่าเข้าชมเล็กน้อยนะครับ แต่ คุ้มค่ามาก


มองมุมใกล้ มุมไกล ดูสวยงาม ทุกมิติ


ศิลปะฝาผนังแบบภาพลอย สีสันสดใส ชวนให้หยุดมองหาความหมายต่างๆ ขอภาพและรูปปั้นของเซียนทั้งหลาย


รูปชุดแสดงศิลปะการต่อสู้ ของจีน ที่หลายๆ คนก็คุ้นเคย ออกมาถ่ายรูปโซนนี้ หลายคนก็อดไม่ได้จะขอ วาดลวดลายทำท่าทางตามรูปไปด้วย .. วันที่ผมถ่ายรูปนี้ แดดร้อนเอาเรื่องครับ ยืนทำท่านานๆ คงไม่ไหว ต้องรีบถ่ายรูปแล้วกลับเข้าไปในอาคาร

จุดหมายต่อไปของบ่ายวันนี้ นั่นคือ ตลาดถนนคนเดิน “ตลาดจีนโบราณ บ้านซากแง้ว”


ปั่นกันมาไม่ไกลมากนัก จอดรถจักรยานรวมๆ กันไว้ แล้วเดินเข้าไปทางถนนคนเดิน พบกับบรรยากาศอบอุ่นแบบชุมชนคนจีนที่อยู่ที่นี่มานับร้อยปี ด้วยเวลาที่เนิ่นนาน ทำให้ซบเซาไปพักหนึ่ง หน่วยงานของทางภาครัฐ รวมถึง อพท. ได้มีส่วนเข้ามาร่วมมือกับทางชุมชน เพื่อรื้อฟื้นความมีชีวิตชีวาให้กลับมาอีกครั้ง ที่นี่มีขนม-อาหาร มากมายให้เลือก เช่น ก๋วยบ๊ะแต้จิ๋ว รสชาดอร่อย , ขนมหวาน , เปี๊ยถั่วไข่ , อาลัวสด , ราดหน้าหมูหมัก , น้ำพริกตาแดงปลาทู , ผัดไท หอยทอด , หอยครก คนวัง , หมี่กรอบ , ออเจี๊ยะ ทุกอย่างน่าทานไปหมด ต้องอดกลั้นใจมากสำหรับใครก็ตามที่ต้องการคุมน้ำหนัก แต่ จะมีความสุขสุดๆ สำหรับท่านที่พร้อมจะลุยทานทุกอย่างที่ขวางหน้า


อาหารการกินเยอะ อร่อยด้วย .. สุดท้ายที่น่าประทับใจสำหรับตลาดที่นี่ คือ เดินจนหมดแรงหรืออิ่มจนเดินไม่ไหวก็ตาม ตลาดแห่งนี้มีที่นั่งพักหลายที่เลยครับ ดีจัง ...


รอรถ(นักเรียน) มารับย้อนกลับไปในเมืองพัทยา
อ้าว !! นักปั่น ไม่ปั่นกลับพัทยาหรอ .. ?? บางคนเหนื่อยเพราะร้อน บางคนอิ่มมาก ปั่นไม่ไหวแล้ว

เย็นนี้ เราเข้าที่พัก ณ โรงแรมเรือนทิพย์ พัทยา ที่ให้บริการพวกเราอย่างดีมากๆ
มื้อค่ำ สนุกสนาน พูดคุย ร้องเพลง และ ดูฟุตบอลโลก ๒๐๑๘ และพักผ่อนตามอัธยาศัย
ส่วนผม ได้เพื่อนใหม่ นักปั่นท่องโลกกว้างมาเป็นเพื่อนร่วมห้องพักในทริปนี้ คุยกันเรื่องจักรยาน และการปั่นไปประเทศต่างๆ ของเขา เพลินมากครับ ประสบการณ์ดี ๆ มุมมองดีๆ ของการท่องโลกกว้างไปกับจักรยาน ช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน คืนนี้ เราจึงหลับไปด้วยความเหนื่อยและง่วงสุดๆ

เดี๋ยวมาต่อ ตอนที่ ๒
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่