บทที่ 8
https://ppantip.com/topic/37801904
ความเดิมตอนที่แล้ว
กระบี่แสนหล่อกับกระบี่หรรษาเลิกราต่อกัน บรรยากาศในร้านย่อมดีขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องลงมือต่อสู้ เป็นผู้ชมดีกว่ามากมาย
---------------
“ท่านรู้จักคางหมูย่อ ยมหอยนางรำ ยันไส้ตำ ปลาแช้วนึ่งจ่อน เหนี้ยวแดดเดือ และเปรี้ยวกระแทก หรือไม่”
กระบี่แสนหล่อส่งเสียงกระซิบถามคู่หู ทวนค้ำฟ้ามีสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าตอบว่า
“ความจริงเราไม่รู้จัก คาดว่าเป็นอาหารชั้นสูงระดับเทพ คนเช่นมันรู้จักอาหารพวกนี้นับว่าไม่ธรรมดา คาดว่างานนี้สนุกสนานกว่าที่เราคิดเอาไว้แน่นอน”
“ไม่ธรรมดาแน่นอน ท่าทางเมืองเราจะมีเหตการณ์ครึกครื้นไม่ช้าก็เร็ว ข้าเองจะต้แองเตรียมตัวฝึกความหล่อให้ถึงระดับ หล่อไร้เงา ให้ได้”
มันจำเป็นต้องฝึกปรือความหล่อจริง ๆ เพราะเพลงกระบี่ของมันขึ้นอยู่กับความหล่อ หล่อมากเพลงกระบี่ร้ายกาจมาก หล่อน้อยเพลงกระบี่ลดทอน ไร้หล่อไร้ฝีมือ ดังนั้นมิอาจไม่หล่อโดยเด็ดขาด ส่วนทวนค้ำฟ้า แม้ว่าจะไม่หล่อ อารมณ์วาจาดุดันร้าวรุนแรงแต่นิสัยตรงไปตรงมา ทั้งคู่ผิดแผกแตกต่างกันแต่กลับสามารถคบหาเป็นสหายสนิท จึงบ่งบอกได้ว่าความแตกต่างมิใช่อุปสรรคของมิตรภาพ
เจ้าของโรงเตี๊ยมคนงามเดินชดช้อยตรงมาหากระบี่รันทด บอกด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองว่า
“เรามีงานให้ท่านทำ งานล้างจานมีคนรับช่วงแทน ท่านไปกับประยุทธ์ นอกเมืองทางทิศตะวันตก ไปรับสินค้าจากแม่เฒ่ากะหล่ำปลี ประยุทธรู้รายละเอียดดี ท่านเพียงทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยเท่านั้น เราให้เวลาท่านครึ่งวัน”
คำสั่งย่อมคือคำสั่ง ดังนั้นบุรุษหนุ่มพร้อมศิษย์เอก ช่วยกันลากรถเข็นใหญ่ออกไปนอกเมือง ประยุทธ์บอกว่ารู้จักเส้นทางดี เพราะเคยไปบ้านแม่เฒ่ากะหล่ำปลีบ่อยครั้ง เพียงแต่ว่าการออกมาจากโรงเตี๊ยมครานี้ มีจุดประสงค์อื่นอยู่ด้วย
ช่วงสาย ผู้คนในเมืองอันเงียบสงบยังไม่ได้พลุกพล่านมากมาย การจราจรไม่ติดขัด รถม้ารับจ้าง เกวียนประจำทางวิ่งอย่างเป็นระเบียบ ข้างทางไม่มีหาบเร่แผงลอย จัดว่าเป็นเมืองสงบสุขแห่งหนึ่ง ถ้าไม่คิดถึงเรื่องแปลกประหลาดเมื่อคืนนี้ กับการหายตัวของจอมยุทธ์หลายคนอย่างมีเงื่อนงำ และการปรากฏตัวอย่างมีปริศนาของธิดาหมู่ตึกไร้รัก
แม้ว่าจะรันทดปานใด แต่บุรุษหนุ่มมิใช่รันทดโง่งม ย่อมทราบว่าไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน นางไม่มีทางปรากฏตัวในเมืองนี้ได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งปรากฏเมื่อคืนชัดเจนเหลือเกิน มากกว่าจะเป็นภาพหลอน เป็นเรื่องขบคิดแล้วไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ศิษย์ของมันหลังออกจากห้องล้างจานออกเดินทาง คล้ายมีเรื่องกังวลใจบางอย่าง ลากรถเข็นไป สายตามองไปมาตลอดเวลา จนทำให้คนร่วมทางอดสงสัยไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถาม
“เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ ข้าเห็นเจ้าไม่มีสมาธิในการลากรถเลย”
“ข้าคิดถึงจาน ห้องล้างจานคือโลกของข้า”
คำตอบฟังดูคล้ายพูดเล่น แต่น้ำเสียงมิอาจเล่น ฟังแล้วขนลุกทันที เด็กคนนี้ก้าวหน้าบรรลุเส้นทางแห่งการล้างจานอย่างรวดเร็ว ชนิดมารดาบ้านหลายคนมิอาจเข้าถึง คนเราพอสนใจ โน่น... นี่... นั่น... และกระทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดอย่างตั้งใจมุ่งมั่น บางครั้งส่งผลให้เข้าใจแก่นแท้ โน่น... นี่... นั่น... ของอะไรบางอย่างได้แบบเกินคาดฝัน
“ข้าเพียงค้นพบว่า ความสุขแท้จริงในการล้างจาน คือความสุขเมื่อเห็นจานสะอาด ถ้าคิดว่าเป็นหน้าที่หรืองาน จะทำให้เร่งร้อนให้รีบเสร็จสิ้น แต่ถ้าคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตและมีความสุขกับการใช้ชีวิต โอ...โน่น...นี่...นั่น...ถึงบ้านแม่เฒ่ากะหล่ำปลีแล้ว”
หลังการเดินทางพักใหญ่ ในที่สุดถีงบ้านแม่เฒ่ากะหล่าปลี อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะลักษณะตัวบ้านทำเป็นรูปทรงดอกกะหล่ำปลีอย่างสวยงาม ชวนปีนป่ายขึ้นไปรับประทานสด ๆ เป็นอย่างยิ่ง มองไกลๆผู้คนที่ไม่คุ้นเคยอาจคิดว่าเป็นกะหล่ำปลียักษ์ คาดว่าเจ้าของบ้านจะต้องมีความผูกพันกับพืชผักเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกะหล่ำปลี
หญิงชราชุดประมง อายุราวเจ็บสิบกว่า สวมเสื้อผ้าทำด้วยผ้าดิบลายดอกกะหล่ำปลีงดงาม ยืนอยู่หน้าบ้าน ย่อมเป็นเจ้าของบ้านเช่นกัน นางคล้ายรู้ว่าจะมีคนมาหา ประยุทธ์วางมือจากรถเข็นวิ่งตรงไปหาทันที
“แม่เฒ่า สินค้าเหมือนเดิม เพียงวันนี้มีบางอย่างพิเศษ”
ท่าทางแม่เฒ่าดูเยือกเย็น คุ้นเคยกับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างดี แต่ท่าทางไม่เข้าใจประโยคหลัง สายตาจึงเต็มไปด้วยคำถาม
“แม่เฒ่าทานอาหารเช้าแล้วหรือไม่” ประยุทธ์ถามอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ
“ข้าทานแล้วเรียบร้อย เจ้าหิวข้าวหรืออย่างไร”
“ท่านล้างถ้วยชามหรือยัง”
“ย่อมยัง เพราะข้ามัวแต่ไปรดน้ำกะหล่ำปลี”
“เช่นนั้น ได้โปรดอนุญาตให้ข้าล้างจานชามของท่าน”
สายตาของแม่เฒ่าลุกวาว คาดไม่ถึงว่าอยู่ดี ๆ จะมีคนมาของล้างจานชาม นางเอามือไพล่หลังกวาดตามองทารกหนุ่มผู้คุกเข่าลงเบื้องหน้า อย่างไม่เข้าใจ งานล้างจานเข้าครัวทำอาหารควรเป็นงานของอิสตรี ไฉนมีคนกล้ามาขอล้างจานชามอย่างไม่อายเอาเสียเลย พ่อเฒ่ากะหล่ำปลีสามียังมิเคยเข้าครัวล้างจานชามเลย แค่เห็นจานชามวางกองในห้องครัว ถึงกับแผดร้องสุดเสียงด้วยความตื่นตระหนก ซนซานวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง ออกจากบ้านไปอย่างไม่คิดชีวิต มีเฉพาะนางเท่านั้นเข้าไปจัดการ หลังจากออกไปดูแลแปลงกะหล่ำปลี ล้างจานชามบ่อยกระทั่งว่าห้องครัวคือสถานที่ศักด์สิทธ์ ควรแก่การเคารพเกรงใจ ผู้ใดจะละเมิดเสียมิได้ ดังนั้นแค่นเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าหน้ามิอายหรืออย่างไร อยู่ ดีๆ มาขอล้างจานคนอื่น มันจะมากเกินไปแล้ว อย่าหวังเลย กิ้ว ๆ”
“ได้โปรด...” ประยุทธ์คุกเข่าลงกับพื้น เงยหน้าขอร้องด้วยสีหน้าสายตาวิงวอน “ให้ข้ามีโอกาสล้างจานชามท่านเถิด ข้าสัญญาว่าพระคุณยิ่งใหญ่นี้จะไม่มีวันลบเลือนไปจากหัวใจของข้าเลยชั่วชีวิต ข้าสัญญาว่าจะล้างอย่างตั้งอกตั้งใจ ใส่ใจ มิให้เกิดริ้วรอยราคีคาวบนจานชามเป็นอันขาด จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย...ได้โปรด...ข้าขอร้อง”
“อยากร้องเพลงอะไรก็ร้องไป มิต้องมาขอร้อง แต่จานชามข้ามิอาจให้ล้างเด็ดขาด จานชามเขามีเจ้าของ มีจิตมีจอม อยากจะล้างก็ต้องส่งผู้ใหญ่ผูกข้อไม้ข้อมือทำตามขั้นตอนของประเพณี”
บุรุษหนุ่มยืนรับฟังจนสมองพองโต ท่าทางไม่ยุติง่ายดายแน่ และตัวเองคล้ายกลับกลายเป็นส่วนเกินไปเสียแล้ว สุภาษิตโบราณกล่าวว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาจระเข้ไปขวาง จึงได้แต่ถอนใจหันไปมองสำรวจรอบด้าน สายตาพลันมองเห็นร้านสุราแห่งหนึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม จำได้ว่าเป็นร้านสุราที่พบเห็นเมื่อคืนนี่เอง พลันนึกถึงชายชราผู้หายลับไปในยามค่ำคืนทันที
หน้าร้านสุราเปิดกว้าง แสดงว่าให้บริการลูกค้าแล้ว บางคนค่ำคืนเมามาย อรุณรุ่งต้องมาถอน ดังนั้นร้านสุรามิอาจเปิดสาย เพราะหลายคนต้องการกระโจนลงไปในทะเลเมาไม่เลือกเวลา
มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่า จะไม่ถูกเกวียนเทียมควายเฉี่ยวชน จึงก้าวเท้าตรงไปยังร้านสุราทันที
มิคาดการณ์ผิด ในร้านสุราประกอบด้วยโต๊ะไม้คร่ำคร่าหลายตัว มีปีศาจสุรานั่งอยู่หลายคน ด้านหลังเป็นชั้นไม้ยาววางขวดโหลบรรจุสุราดองโอสถจำนวนมากมาย มีป้ายสีแดงปิดบอกชื่ออย่างชัดเจนเพื่อสะดวกในการเลือกซื้อ มีทั้ง ‘ตั้งตรงมิรู้เซ’ “นารีน้อยตกที่นอน’ ‘อาชากระทืบโรง’ ‘นารีผวา’ ‘พลังคชสาร’ ‘ลำยองหนีตาย’ และอื่น ๆ อีกมากมาย บรรดาปีศาจสุราบางคนคล้ายอยู่ในความฝันเลื่อนลอย บางคนกำลังพูดคุยหัวเราะกับมิตรสหายไร้ตัวตน เบื้องหน้าไม่มีอาหารหรูหราราคาแพง เพียงมีมะยมดองกับเกลือเล็กน้อยก็เพียงพอ สำหรับบีศาจสุราแท้จริง การสั่งกับแกล้มมากมาย ล้วนทำลายภาพอันสูงส่งสวยงามอาจหาญและจิตวิญญาณของการดื่มสุรา
ควรทราบว่าเมืองไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้ร้านสุราดองโอสถ ถือว่าถูกต้องตามกฏหมาย เพราะถือว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ทางการจึงหาได้กีดกันแต่ประการใดไม่ เพียงแต่ต้องผ่านการวัดคุณภาพเพื่อให้ได้เครื่องหมาย อย. (อาหย่อย) ประทับตราขวดโหลมาเป็นหลักฐานเท่านั้น
คนขายเป็นสตรีวัยเลยกลางคนไปเล็กน้อย ดูไปคล้ายโหลใส่สุราโหลหนึ่ง ทั้งกลมทั้งมน ร่างกายคล้ายกรอกสุราเข้าไปจนล้นปรี่ออกมาทางสายตาหรี่เยิ้มฉ่ำ เป็นคนขายสุราแท้จริงมิอาจไม่ดื่มสุรา สุราและคนขายจึงกลมกลืนหล่อหลอมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
พอเห็นคนเข้าในร้าน นางหันมามอง ไม่พูดจาประการใด มือหยิบจอกสุราตระเตรียมกรอกสุรา
“ข้าไม่ได้มาดื่มสุรา” กระบี่รันทดรีบบอกกล่าว ก่อนสุราจะเทลงจอก “ข้าเพียงมาหามนุษย์คนหนึ่ง”
เจ้าของร้านสุราชะงัก คนเข้าร้านสุราแต่ไม่ดื่มสุราคล้ายคนเข้างานวิวาห์แต่ไม่ยอมส่งตัวเข้าห้องหอ และเนื่องเป็นเวลาทำการ จึงต้องรักษามรรยาทของร้านไว้มิให้เสื่อมเสีย ทำได้เพียงพึมพำว่า
“ถ้าคิดดื่มสุราจึงเข้าร้านสุรา คิดหารับประทานข้าวปลาจึงต้องเข้าร้านอาหาร คิดจะหามนุษย์ก็ต้องเข้าร้านมนุษย์ นับว่าเจ้าอยู่ผิดที่ผิดทางแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ร้านมนุษย์”
“ไม่ใช่ นี่คือร้านสุรา จึงขายสุรา คนในร้านมิใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจสุรา ถ้าเป็นร้านมนุษย์ก็ต้องขายมนุษย์”
เสียงหัวร่อดังมาจากบรรดาปีศาจสุราทันที เข้าร้านสุราไม่ดื่มสุรากลับกลายคล้ายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปโดยปริยาย เข้าเมืองตาเขก็ต้องตาเขตาม คำโบราณกล่าวไว้มีความหมายเช่นนี้เอง ทว่าต่อให้อยากดื่มสุราสักจอก บุรุษหนุ่มก็ไม่อาจดื่มเพราะไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เหรียญเดียว เสียงหัวร่อกล่าววาจาจากบรรดาปีศาจสุรายังคงดำเนินต่อไปเป็นที่สนุกสนาน
“ฮา... นางยองดา ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ร้านนี้คือร้านสุรา มิใช่ร้านมนุษย์ คนในร้านก็มีแต่ปีศาจสุรา”
“ถ้าอยากดื่มมนุษย์ ก็ต้องไปร้านมนุษย์”
“มิผิด...มิผิด อยากดื่มน้ำชา ก็ต้องไปโรงน้ำชา”
“จริงแท้...อยากดื่มน้ำต้องไปห้องน้ำ”
“ถูกต้อง...อยากดื่มสุขา ก็ต้องไปห้องสุขา”
“เจ้าหนุ่ม ข้าเลี้ยงสุราเจ้าหนึ่งจอก ไม่ดื่มนางยองดาไม่พูดคุยกับเจ้าแน่นอน”
ความจริงกระบี่รันทดกำลังจะหันหลังก้าวออกจากร้าน แต่คำพูดสุดท้ายจากใครตนหนึ่งในบรรดาปีศาจสุราทำให้ชะงัก หันไปมองเห็นชายวัยกลางคนกำลังชูจอกสุรา ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นมิตร นับว่าไม่เลวร้ายเสียเลยทีเดียว ในวงสุราคิดจะหาศัตรูก็มักหาง่ายผิดปกติ คิดจะหามิตรสหายก็หาได้ง่ายผิดปกติเช่นกัน บางครั้งสร้างความแตกแยกร้าวฉาน บางครั้งสร้างมิตรภาพแน่นแฟ้น
เป็นบางคนคงกล่าวคำว่าเกรงใจ...แต่กับคนนิสัยพิสดารย่อมไม่ต้องหลายเรื่องมากความ บุรุษหนุ่มรีบเดินไปกล่าวคำขอบคุณ รับจอกสุรามาดื่มรวดดียวหมดจอกทันที เพราะรู้ธรรมเนียมว่าถ้าคนส่งจอกสุราให้ ควรดื่มรวดเดียวเพื่อแสดงถึงความขอบคุณคารวะอย่างจริงใจ เพียงดื่มรวดเดียวให้หมดเท่านั้น ไม่ต้องถึงขั้นเลียละเลียดไล่ไปทุกอณู เสียงปรบมือเกรียวกราวขึ้นทันที คนดื่มสุราย่อมเข้าใจคอสุรา ใบหน้าของนางยองดาเจ้าของร้านก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มทีละน้อย เนื่องเพราะเห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งเริ่มกลมกลืนกับร้านแล้ว สุราบางครั้งสามารถละลายความกว้างของช่องว่างให้ลดแคบลงได้“
เจ้าคิดหาใคร” นางเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองมากขึ้น
“ข้าถามหา ชายชราที่ถูกถีบออกจากร้านเมื่อคืนนี้ มิทราบว่าท่านทราบไหมว่าเวลานี้เขาอยู่ที่ไหน”
“อ้อ...ข้าเพียงทราบว่าเวลานี้ข้าไม่ทราบเขาไม่อยู่ที่นี่แน่นอน และข้ายังทราบว่าข้าไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน เพียงทราบว่า ไม่มีใครทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนแน่นอน เพราะทราบว่าปกติเขาจะมาร้านทุกเช้าไม่เคยขาด ดังนั้นทราบว่าวันนี้ไม่ปกติ”
.
กระบี่รันทด.........บทที่ 9 (แม่เฒ่ากะหล่ำปลี)
https://ppantip.com/topic/37801904
ความเดิมตอนที่แล้ว
กระบี่แสนหล่อกับกระบี่หรรษาเลิกราต่อกัน บรรยากาศในร้านย่อมดีขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องลงมือต่อสู้ เป็นผู้ชมดีกว่ามากมาย
---------------
“ท่านรู้จักคางหมูย่อ ยมหอยนางรำ ยันไส้ตำ ปลาแช้วนึ่งจ่อน เหนี้ยวแดดเดือ และเปรี้ยวกระแทก หรือไม่”
กระบี่แสนหล่อส่งเสียงกระซิบถามคู่หู ทวนค้ำฟ้ามีสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าตอบว่า
“ความจริงเราไม่รู้จัก คาดว่าเป็นอาหารชั้นสูงระดับเทพ คนเช่นมันรู้จักอาหารพวกนี้นับว่าไม่ธรรมดา คาดว่างานนี้สนุกสนานกว่าที่เราคิดเอาไว้แน่นอน”
“ไม่ธรรมดาแน่นอน ท่าทางเมืองเราจะมีเหตการณ์ครึกครื้นไม่ช้าก็เร็ว ข้าเองจะต้แองเตรียมตัวฝึกความหล่อให้ถึงระดับ หล่อไร้เงา ให้ได้”
มันจำเป็นต้องฝึกปรือความหล่อจริง ๆ เพราะเพลงกระบี่ของมันขึ้นอยู่กับความหล่อ หล่อมากเพลงกระบี่ร้ายกาจมาก หล่อน้อยเพลงกระบี่ลดทอน ไร้หล่อไร้ฝีมือ ดังนั้นมิอาจไม่หล่อโดยเด็ดขาด ส่วนทวนค้ำฟ้า แม้ว่าจะไม่หล่อ อารมณ์วาจาดุดันร้าวรุนแรงแต่นิสัยตรงไปตรงมา ทั้งคู่ผิดแผกแตกต่างกันแต่กลับสามารถคบหาเป็นสหายสนิท จึงบ่งบอกได้ว่าความแตกต่างมิใช่อุปสรรคของมิตรภาพ
เจ้าของโรงเตี๊ยมคนงามเดินชดช้อยตรงมาหากระบี่รันทด บอกด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองว่า
“เรามีงานให้ท่านทำ งานล้างจานมีคนรับช่วงแทน ท่านไปกับประยุทธ์ นอกเมืองทางทิศตะวันตก ไปรับสินค้าจากแม่เฒ่ากะหล่ำปลี ประยุทธรู้รายละเอียดดี ท่านเพียงทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยเท่านั้น เราให้เวลาท่านครึ่งวัน”
คำสั่งย่อมคือคำสั่ง ดังนั้นบุรุษหนุ่มพร้อมศิษย์เอก ช่วยกันลากรถเข็นใหญ่ออกไปนอกเมือง ประยุทธ์บอกว่ารู้จักเส้นทางดี เพราะเคยไปบ้านแม่เฒ่ากะหล่ำปลีบ่อยครั้ง เพียงแต่ว่าการออกมาจากโรงเตี๊ยมครานี้ มีจุดประสงค์อื่นอยู่ด้วย
ช่วงสาย ผู้คนในเมืองอันเงียบสงบยังไม่ได้พลุกพล่านมากมาย การจราจรไม่ติดขัด รถม้ารับจ้าง เกวียนประจำทางวิ่งอย่างเป็นระเบียบ ข้างทางไม่มีหาบเร่แผงลอย จัดว่าเป็นเมืองสงบสุขแห่งหนึ่ง ถ้าไม่คิดถึงเรื่องแปลกประหลาดเมื่อคืนนี้ กับการหายตัวของจอมยุทธ์หลายคนอย่างมีเงื่อนงำ และการปรากฏตัวอย่างมีปริศนาของธิดาหมู่ตึกไร้รัก
แม้ว่าจะรันทดปานใด แต่บุรุษหนุ่มมิใช่รันทดโง่งม ย่อมทราบว่าไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน นางไม่มีทางปรากฏตัวในเมืองนี้ได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งปรากฏเมื่อคืนชัดเจนเหลือเกิน มากกว่าจะเป็นภาพหลอน เป็นเรื่องขบคิดแล้วไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ศิษย์ของมันหลังออกจากห้องล้างจานออกเดินทาง คล้ายมีเรื่องกังวลใจบางอย่าง ลากรถเข็นไป สายตามองไปมาตลอดเวลา จนทำให้คนร่วมทางอดสงสัยไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถาม
“เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ ข้าเห็นเจ้าไม่มีสมาธิในการลากรถเลย”
“ข้าคิดถึงจาน ห้องล้างจานคือโลกของข้า”
คำตอบฟังดูคล้ายพูดเล่น แต่น้ำเสียงมิอาจเล่น ฟังแล้วขนลุกทันที เด็กคนนี้ก้าวหน้าบรรลุเส้นทางแห่งการล้างจานอย่างรวดเร็ว ชนิดมารดาบ้านหลายคนมิอาจเข้าถึง คนเราพอสนใจ โน่น... นี่... นั่น... และกระทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดอย่างตั้งใจมุ่งมั่น บางครั้งส่งผลให้เข้าใจแก่นแท้ โน่น... นี่... นั่น... ของอะไรบางอย่างได้แบบเกินคาดฝัน
“ข้าเพียงค้นพบว่า ความสุขแท้จริงในการล้างจาน คือความสุขเมื่อเห็นจานสะอาด ถ้าคิดว่าเป็นหน้าที่หรืองาน จะทำให้เร่งร้อนให้รีบเสร็จสิ้น แต่ถ้าคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตและมีความสุขกับการใช้ชีวิต โอ...โน่น...นี่...นั่น...ถึงบ้านแม่เฒ่ากะหล่ำปลีแล้ว”
หลังการเดินทางพักใหญ่ ในที่สุดถีงบ้านแม่เฒ่ากะหล่าปลี อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะลักษณะตัวบ้านทำเป็นรูปทรงดอกกะหล่ำปลีอย่างสวยงาม ชวนปีนป่ายขึ้นไปรับประทานสด ๆ เป็นอย่างยิ่ง มองไกลๆผู้คนที่ไม่คุ้นเคยอาจคิดว่าเป็นกะหล่ำปลียักษ์ คาดว่าเจ้าของบ้านจะต้องมีความผูกพันกับพืชผักเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกะหล่ำปลี
หญิงชราชุดประมง อายุราวเจ็บสิบกว่า สวมเสื้อผ้าทำด้วยผ้าดิบลายดอกกะหล่ำปลีงดงาม ยืนอยู่หน้าบ้าน ย่อมเป็นเจ้าของบ้านเช่นกัน นางคล้ายรู้ว่าจะมีคนมาหา ประยุทธ์วางมือจากรถเข็นวิ่งตรงไปหาทันที
“แม่เฒ่า สินค้าเหมือนเดิม เพียงวันนี้มีบางอย่างพิเศษ”
ท่าทางแม่เฒ่าดูเยือกเย็น คุ้นเคยกับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างดี แต่ท่าทางไม่เข้าใจประโยคหลัง สายตาจึงเต็มไปด้วยคำถาม
“แม่เฒ่าทานอาหารเช้าแล้วหรือไม่” ประยุทธ์ถามอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ
“ข้าทานแล้วเรียบร้อย เจ้าหิวข้าวหรืออย่างไร”
“ท่านล้างถ้วยชามหรือยัง”
“ย่อมยัง เพราะข้ามัวแต่ไปรดน้ำกะหล่ำปลี”
“เช่นนั้น ได้โปรดอนุญาตให้ข้าล้างจานชามของท่าน”
สายตาของแม่เฒ่าลุกวาว คาดไม่ถึงว่าอยู่ดี ๆ จะมีคนมาของล้างจานชาม นางเอามือไพล่หลังกวาดตามองทารกหนุ่มผู้คุกเข่าลงเบื้องหน้า อย่างไม่เข้าใจ งานล้างจานเข้าครัวทำอาหารควรเป็นงานของอิสตรี ไฉนมีคนกล้ามาขอล้างจานชามอย่างไม่อายเอาเสียเลย พ่อเฒ่ากะหล่ำปลีสามียังมิเคยเข้าครัวล้างจานชามเลย แค่เห็นจานชามวางกองในห้องครัว ถึงกับแผดร้องสุดเสียงด้วยความตื่นตระหนก ซนซานวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง ออกจากบ้านไปอย่างไม่คิดชีวิต มีเฉพาะนางเท่านั้นเข้าไปจัดการ หลังจากออกไปดูแลแปลงกะหล่ำปลี ล้างจานชามบ่อยกระทั่งว่าห้องครัวคือสถานที่ศักด์สิทธ์ ควรแก่การเคารพเกรงใจ ผู้ใดจะละเมิดเสียมิได้ ดังนั้นแค่นเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าหน้ามิอายหรืออย่างไร อยู่ ดีๆ มาขอล้างจานคนอื่น มันจะมากเกินไปแล้ว อย่าหวังเลย กิ้ว ๆ”
“ได้โปรด...” ประยุทธ์คุกเข่าลงกับพื้น เงยหน้าขอร้องด้วยสีหน้าสายตาวิงวอน “ให้ข้ามีโอกาสล้างจานชามท่านเถิด ข้าสัญญาว่าพระคุณยิ่งใหญ่นี้จะไม่มีวันลบเลือนไปจากหัวใจของข้าเลยชั่วชีวิต ข้าสัญญาว่าจะล้างอย่างตั้งอกตั้งใจ ใส่ใจ มิให้เกิดริ้วรอยราคีคาวบนจานชามเป็นอันขาด จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย...ได้โปรด...ข้าขอร้อง”
“อยากร้องเพลงอะไรก็ร้องไป มิต้องมาขอร้อง แต่จานชามข้ามิอาจให้ล้างเด็ดขาด จานชามเขามีเจ้าของ มีจิตมีจอม อยากจะล้างก็ต้องส่งผู้ใหญ่ผูกข้อไม้ข้อมือทำตามขั้นตอนของประเพณี”
บุรุษหนุ่มยืนรับฟังจนสมองพองโต ท่าทางไม่ยุติง่ายดายแน่ และตัวเองคล้ายกลับกลายเป็นส่วนเกินไปเสียแล้ว สุภาษิตโบราณกล่าวว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาจระเข้ไปขวาง จึงได้แต่ถอนใจหันไปมองสำรวจรอบด้าน สายตาพลันมองเห็นร้านสุราแห่งหนึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม จำได้ว่าเป็นร้านสุราที่พบเห็นเมื่อคืนนี่เอง พลันนึกถึงชายชราผู้หายลับไปในยามค่ำคืนทันที
หน้าร้านสุราเปิดกว้าง แสดงว่าให้บริการลูกค้าแล้ว บางคนค่ำคืนเมามาย อรุณรุ่งต้องมาถอน ดังนั้นร้านสุรามิอาจเปิดสาย เพราะหลายคนต้องการกระโจนลงไปในทะเลเมาไม่เลือกเวลา
มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่า จะไม่ถูกเกวียนเทียมควายเฉี่ยวชน จึงก้าวเท้าตรงไปยังร้านสุราทันที
มิคาดการณ์ผิด ในร้านสุราประกอบด้วยโต๊ะไม้คร่ำคร่าหลายตัว มีปีศาจสุรานั่งอยู่หลายคน ด้านหลังเป็นชั้นไม้ยาววางขวดโหลบรรจุสุราดองโอสถจำนวนมากมาย มีป้ายสีแดงปิดบอกชื่ออย่างชัดเจนเพื่อสะดวกในการเลือกซื้อ มีทั้ง ‘ตั้งตรงมิรู้เซ’ “นารีน้อยตกที่นอน’ ‘อาชากระทืบโรง’ ‘นารีผวา’ ‘พลังคชสาร’ ‘ลำยองหนีตาย’ และอื่น ๆ อีกมากมาย บรรดาปีศาจสุราบางคนคล้ายอยู่ในความฝันเลื่อนลอย บางคนกำลังพูดคุยหัวเราะกับมิตรสหายไร้ตัวตน เบื้องหน้าไม่มีอาหารหรูหราราคาแพง เพียงมีมะยมดองกับเกลือเล็กน้อยก็เพียงพอ สำหรับบีศาจสุราแท้จริง การสั่งกับแกล้มมากมาย ล้วนทำลายภาพอันสูงส่งสวยงามอาจหาญและจิตวิญญาณของการดื่มสุรา
ควรทราบว่าเมืองไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้ร้านสุราดองโอสถ ถือว่าถูกต้องตามกฏหมาย เพราะถือว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ทางการจึงหาได้กีดกันแต่ประการใดไม่ เพียงแต่ต้องผ่านการวัดคุณภาพเพื่อให้ได้เครื่องหมาย อย. (อาหย่อย) ประทับตราขวดโหลมาเป็นหลักฐานเท่านั้น
คนขายเป็นสตรีวัยเลยกลางคนไปเล็กน้อย ดูไปคล้ายโหลใส่สุราโหลหนึ่ง ทั้งกลมทั้งมน ร่างกายคล้ายกรอกสุราเข้าไปจนล้นปรี่ออกมาทางสายตาหรี่เยิ้มฉ่ำ เป็นคนขายสุราแท้จริงมิอาจไม่ดื่มสุรา สุราและคนขายจึงกลมกลืนหล่อหลอมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
พอเห็นคนเข้าในร้าน นางหันมามอง ไม่พูดจาประการใด มือหยิบจอกสุราตระเตรียมกรอกสุรา
“ข้าไม่ได้มาดื่มสุรา” กระบี่รันทดรีบบอกกล่าว ก่อนสุราจะเทลงจอก “ข้าเพียงมาหามนุษย์คนหนึ่ง”
เจ้าของร้านสุราชะงัก คนเข้าร้านสุราแต่ไม่ดื่มสุราคล้ายคนเข้างานวิวาห์แต่ไม่ยอมส่งตัวเข้าห้องหอ และเนื่องเป็นเวลาทำการ จึงต้องรักษามรรยาทของร้านไว้มิให้เสื่อมเสีย ทำได้เพียงพึมพำว่า
“ถ้าคิดดื่มสุราจึงเข้าร้านสุรา คิดหารับประทานข้าวปลาจึงต้องเข้าร้านอาหาร คิดจะหามนุษย์ก็ต้องเข้าร้านมนุษย์ นับว่าเจ้าอยู่ผิดที่ผิดทางแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ร้านมนุษย์”
“ไม่ใช่ นี่คือร้านสุรา จึงขายสุรา คนในร้านมิใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจสุรา ถ้าเป็นร้านมนุษย์ก็ต้องขายมนุษย์”
เสียงหัวร่อดังมาจากบรรดาปีศาจสุราทันที เข้าร้านสุราไม่ดื่มสุรากลับกลายคล้ายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปโดยปริยาย เข้าเมืองตาเขก็ต้องตาเขตาม คำโบราณกล่าวไว้มีความหมายเช่นนี้เอง ทว่าต่อให้อยากดื่มสุราสักจอก บุรุษหนุ่มก็ไม่อาจดื่มเพราะไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เหรียญเดียว เสียงหัวร่อกล่าววาจาจากบรรดาปีศาจสุรายังคงดำเนินต่อไปเป็นที่สนุกสนาน
“ฮา... นางยองดา ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ร้านนี้คือร้านสุรา มิใช่ร้านมนุษย์ คนในร้านก็มีแต่ปีศาจสุรา”
“ถ้าอยากดื่มมนุษย์ ก็ต้องไปร้านมนุษย์”
“มิผิด...มิผิด อยากดื่มน้ำชา ก็ต้องไปโรงน้ำชา”
“จริงแท้...อยากดื่มน้ำต้องไปห้องน้ำ”
“ถูกต้อง...อยากดื่มสุขา ก็ต้องไปห้องสุขา”
“เจ้าหนุ่ม ข้าเลี้ยงสุราเจ้าหนึ่งจอก ไม่ดื่มนางยองดาไม่พูดคุยกับเจ้าแน่นอน”
ความจริงกระบี่รันทดกำลังจะหันหลังก้าวออกจากร้าน แต่คำพูดสุดท้ายจากใครตนหนึ่งในบรรดาปีศาจสุราทำให้ชะงัก หันไปมองเห็นชายวัยกลางคนกำลังชูจอกสุรา ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นมิตร นับว่าไม่เลวร้ายเสียเลยทีเดียว ในวงสุราคิดจะหาศัตรูก็มักหาง่ายผิดปกติ คิดจะหามิตรสหายก็หาได้ง่ายผิดปกติเช่นกัน บางครั้งสร้างความแตกแยกร้าวฉาน บางครั้งสร้างมิตรภาพแน่นแฟ้น
เป็นบางคนคงกล่าวคำว่าเกรงใจ...แต่กับคนนิสัยพิสดารย่อมไม่ต้องหลายเรื่องมากความ บุรุษหนุ่มรีบเดินไปกล่าวคำขอบคุณ รับจอกสุรามาดื่มรวดดียวหมดจอกทันที เพราะรู้ธรรมเนียมว่าถ้าคนส่งจอกสุราให้ ควรดื่มรวดเดียวเพื่อแสดงถึงความขอบคุณคารวะอย่างจริงใจ เพียงดื่มรวดเดียวให้หมดเท่านั้น ไม่ต้องถึงขั้นเลียละเลียดไล่ไปทุกอณู เสียงปรบมือเกรียวกราวขึ้นทันที คนดื่มสุราย่อมเข้าใจคอสุรา ใบหน้าของนางยองดาเจ้าของร้านก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มทีละน้อย เนื่องเพราะเห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งเริ่มกลมกลืนกับร้านแล้ว สุราบางครั้งสามารถละลายความกว้างของช่องว่างให้ลดแคบลงได้“
เจ้าคิดหาใคร” นางเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองมากขึ้น
“ข้าถามหา ชายชราที่ถูกถีบออกจากร้านเมื่อคืนนี้ มิทราบว่าท่านทราบไหมว่าเวลานี้เขาอยู่ที่ไหน”
“อ้อ...ข้าเพียงทราบว่าเวลานี้ข้าไม่ทราบเขาไม่อยู่ที่นี่แน่นอน และข้ายังทราบว่าข้าไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน เพียงทราบว่า ไม่มีใครทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนแน่นอน เพราะทราบว่าปกติเขาจะมาร้านทุกเช้าไม่เคยขาด ดังนั้นทราบว่าวันนี้ไม่ปกติ”
.