เห็นหลายกระทู้วางแผนชีวิต ตั้งแต่วัยหนุ่มอายุ 20-40 ปี ลงทุนเพื่อการมีทรัพย์เป็นตัวตั้ง แต่ผมกลับลงทุนเพื่อการมีปัญญา

เห็นหลายกระทู้วางแผนชีวิต ตั้งแต่วัยหนุ่มอายุ 20-40 ปี ลงทุนเพื่อการมีทรัพย์เป็นตัวตั้ง แต่ผมกลับลงทุนเพื่อการมีปัญญา

    เพราะผมเห็นว่า ปัญญา ความรู้ คุณสมบัติ มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นใหนๆ  ตั้งแต่อายุ 10 กว่าปีมาแล้ว แม้พ่อและแม่ จะเอาเงินมากกองหลายแสนบาท(7 แสน) และทองหนัก 40 บาท มากองให้ผมเห็น แบบที่เห็นว่าอยู่ได้อย่างสบายเพียงแต่หาเพิ่มจากงานช่าง เช่นซ่อมรถจักรยาน หรือตัดเย็บเสื้อผ้า ก็สบายทั้งชีวิตแล้ว เพื่อให้ผมหยุดความคิดที่เรียนต่อ ระดับมัธยม หลังจบชั้นปฐม เมื่อ 46 ปีมาแล้ว

    แต่ผมกลับมองมันไม่มีค่าสำหรับผมเลย  และผมก็มุ่งมั่นที่จะเรียนต่อให้ได้อย่างเดียว แต่ก็กลัวว่าตนเองจะบ้าแบบพี่ชายคนโตไปเสียก่อน เพราะต้องโดนขัดขวางจนถึงบ้าได้อย่างแน่นอนจากพ่อและกฏหมาย จึงต้องอาศัยตัวช่วย คือการปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า ตามที่เด็กคนหนึ่งจะคิดได้.

     การต่อสู้เพื่อการศึกษา แม้จะถูกสกัดจากพ่อหยุดเรียนไป 1 ปี หัดซ่อมวิทยุ รถจักรยาน ปะยาง ลับมีด จากพ่อ ตอนขึ้นมัธยม และถูกสกันหยุดไปอีก 1 ปี จากกฏหมายตอนสอบเข้ามหาลัยได้ โดนตัดตอนไปตอนสัมพาทย์ ต้องไปหัดซ่อมรถจักรยานยนตร์ หัดทำสีรถยนตร์  

      หลังจากนั้นผมต้องต่อสู้ กับพ่อ และกฏหมายที่เปิดช่องได้เพียงนิดเดียว ที่พอสมัครเรียนมหาลัยรามคำแหงได้ แต่ไม่มีสิทะิ์เป็นนักศึกษาสมบูรณ์ ถ้ายังไม่มีใบอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยอย่างถูกต้องสมบูรณ์ คือสามารถโดนยุติการเรียนได้ทุกเมื่อจากทางมหาลัย แล้วผมก็ไม่เคยได้รับใบอนุมัตนั้นอีกเลย เพราะพ่อไม่ยอมเชนต์ และจะขัดขวางผมทุกวิถีทาง  ผมต้องลำบากเรื่องการกินการอยู่เพราะแม่แอบส่งเงินให้ผมเรียนในกรุงเทพฯ เพียง 800 บาทต่อเดือนเท่านั้น จนผมต้องตั้งปฏิภาณเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อการศึกษาก็ยอม  
       แต่ผมต้องหาตัวช่วยตัวป้องกัน ไม่ให้จิตใจวิปลาส จนบ้าไปเสียก่อน  นั้นก็คือประกองสติ มีศีลปฏิบัติธรรม กำหนดภาวนาอยู่เนื่องๆ และอ่านศึกษาธรรมในหอสมุดพอกับการเรียนในมหาลัย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า อาจจะไม่ได้รับปริญญา หรือจบมาแล้วมีโอกาสไม่มีงานทำตามความรู้ สูงมากเพราะขัดข้องในเรื่องของกฏหมาย  แถมยังเรียนในคณะที่ไม่ใช่วิชาตลาด คือคณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิก.

       แต่ความทุกช์ความยากลำบากความกดดันที่ปะดังเข้ามาทุกทิศทาง ที่ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงเลย ที่ผมยังดิ้นรนต่อสู้อยู่ได้ ทำให้เกิดคุณสมบัติอย่างดีและเด่นของตนเองคือ.

       1.มีความอดทนต่อความยากลำบากทางกาย
       2.มีขันติ ต่อการกดดันทุกทิศทางทางจิตใจ
       3.มีสติระลึกตัวอยู่เนืองๆ เพื่อประกองรักษาจิตใจไม่ให้วิปลาส จนบ้าไปเสียก่อน จึงเข้าใจในเรื่องจิตใจพอประมาณ  
       4.มีศีลมีปัญญา หาทางออกเพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ใด้ ในสภาวะวิกฤตกดดันด้วยตนเอง ไปนำตนไปสู่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นจนต้องพ่ายแพ้ไม่ได้ตามมุ่งหมาย
       5.มีสมาธิ ระดับเฉียดๆ อุปจารสมาธิ อยู่บ่อยๆ

    ผมต้องต่อสู้จนใกล้สอบเรียนจบในเวลา 3 ปี แล้วผมก็เข้าวัดปฏิบัติธรรม จนการปฏิบั้ติธรรมนั้นเจริญขึ้น แล้วผมก็ออกมาสอบเรียนจบทุกวิชาของทางมหาลัย แล้วเข้าปฏิบัติธรรมต่อทันที จึงยอมสละชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรม เจริญขึ้นทั้ง วิปัสสนาญาณ พร้อมทั้ง ฌาน 1,2 จนปฏิบัติธรรมยิ่งยวด เป็นอันว่าสุดท้ายผมได้รับปริญญาทางโลกและทางธรรมพร้อมๆ กันในวัย 23-24 ปี นั้นเอง.

    แล้วผมก็ไม่รู้สึกว่าผมจนอีกเลย แม้ผมจะมีรายได้เดือนชนเดือนก็ตาม แม้จะลำบากนำพาครอบครัวทุรักทุเลเป็นเวลาหลายปีก็ตาม  

    เพียงแต่โอกาสเปิดช่อง เมื่อได้รับสัญชาติไทย ผมก็พลิกสถานการณ์แบบหน้ามือเป็นหลังมือได้ ก็เพราะจิตใจนั้นไม่จน และมีคุณสมบัตพร้อมเพียงอยู่แล้วนั้นเอง.

     ผมจึงเห็นว่า  ปัญญาจึงมีค่า ยิ่งกว่าทรัพย์ หรือแม้อาวุธใดๆ

    เมื่อมีความพอในสิ่งที่เป็น และสามารถรับความกดดันได้ในระดับหนึ่ง จึงสามารถนำพา ภรยาที่เรียนช้าเกือบไม่จบ จนจบปริญญาตรีพลักดันให้เข้ารับราชการ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่า ทำไมผลักด้นให้เขาไปรับเงินเดือนที่น้อยกว่าและลำบากแยกกันอยู่ 1 ปี ก็บ่นอยู่ตลอด แต่หลังวิกฤตปี 40 เขาเลิกบ่นและภูมิใจในตัวเองมาตลอด  และลูกที่เก่งก็เสริมสร้างให้เก่งขึ้นระดับเกียรติ์นิยมในมหาลัยดัง ในสาขาและมหาลัยที่เขาชอบ แล้วจบ โท. รายได้ก็มีแต่สูงมากกว่าพ่อไปตามลำดับ ลูกที่บกพร่องแทบเรียนไม่จบป.6 ก็พัฒนาจนเข้ามหาลัยปิดของรัฐกลางๆ ในสาขาที่เขาชอบ แล้วเขาก็พลิกตนเอง จนเกรตเฉลี่ยอยู่ที่ 3.3-3.4 ที่จะได้เกียรตินิยมตามพี่เขาไป ให้เจริญขึ้นได้ตามลำดับ

    ผมอายุ ย่าง 60 (59 กว่า) ปีแล้ว  จิตใจก็มีแต่เจริญขึ้น สามารถสันโดด สงบตามฐานะ กามก็ลดน้อยลงหมดปัญหาไปเปาะหนึ่ง และฐานะทางโลกก็ไม่จนแล้ว  จะ 60 ปีเกษียณไปก็มีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน 13,000-15,000 บาทต่อเดือน ยังไม่รวมที่ลูกไห้เพราะที่ลูกให้เอาไปผ่อนรถให้ลูกชับ ภรรยาก็มีบำนาญของตนเอง+ดอกเบียและปันผลอีกเล็กน้อย มากกว่าผมเสียอีกเป็นเท่าตัว การรักษาก็สวัสดิการข้าราชการบำนาญ  หนี้สินหลักหมดสิ้นแล้ว ที่เป็นหนี้ก็เป็นหนี้ในนามให้ลูกเรื่องรถยนตร์ เป็นหนี้คอนโด ไม่เอาเงินสดไปโปะ เพราะรายได้จากคอนโด ก็ผ่อนตัวมันเองได้อยู่แล้ว และยังไม่ครบ 3 ปี โปะไปก็โดนค่าปรับเปล่าๆ.

     ออ.. ด้วยผมโดนพ่อพลักดันให้ทำงานมาตั้งแต่เด็กปฐม คงติดเป็นนิสัย แต่ก็คงทำแบบขี้เกียจแบบพอเพียงเช่นเดิมเมื่อเกษียนผมก็คงยังหาอะไรทำกะร็อกก๊อกแก็กอยู่ดี ในที่ดิน 1.5 ไร่ และ 100 ตรว. ที่ซื้อไว้จากอดีต จนปัจจุบันราคาประเมินจากกรมที่ดีน มากกว่าราคาที่ซื้อเป็นเท่าตัวไปแล้ว  แม้บ้านที่ซื้อในช่วงปี 39 ที่ราคาฟีกสูงมาก ในทำเลที่ไม่ค่อยดี หลังปี 40 คิดว่าขาดทุนไปถึง 4-5 แสน แม้ปัจจุบันราคาขายยังไม่หนีห่างจากราคาซื้อไปเท่าไร  แต่รายได้จากบ้านเป็นสิบปีกว่าปี ถือว่าคุ้ม ยังไม่นับรายได้ที่จะได้หลังเกษียณไปอีกยาว ความจริงดูแล้วเหมือนว่าพลาด แต่ความเป็นจริงคือ กำไรน้อยลงเท่านั้น.

     ส่วนลงทุนในหุ้น  ผมเล่นมา 6 ปีกว่าแล้ว  ก็ยังเล่นๆ อยู่ยังไม่มีกำไร  ทุนเมื่อ 6 ปีมีเท่าไร ก็ยังพอเท่าเดิมเท่านั้น เพราะไม่มีเวลาไปดู  ก็คือยังขาดทุนดอกเบี้ย แต่ได้สนุกและฆ่าเวลา  ว่าจะเอาจริงเอาจังกับมันก็ยังไม่สำเร็จในช่วงนี้ที่หุ้นแกว่งและตกปักหัวลง ได้เอาเงินปันผลที่ได้มาในช่วง 6 ปี ลงไปเพื่อให้เงินในพอร์ตเท่าเดิม นี้ยังเหลืออีก 5 เดือนตามกำหนด

     ถ้าได้ตามเป้าคือ ได้ปันผล เฉลี่ยเดือนละ 400 - 1000 บาท และเงินทุนในพอร์ตก็ยังอยู่ในระดับ 90,000 - 100,000 บาท ตามทุนที่ลงไป ก็จะได้ผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

     แต่ตอนนี้ได้ปันผลมาแล้วเฉลี่ย 250 กว่าบาทต่อเดือนทั้งปี เงินในพอร์ตเหลืออยู่ 8 หมื่นกว่าบาท จากเคยถึง 1 แสน เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว

     ถ้าครบ 1 ปี ตามที่กำหนด แล้วไม่ได้ตามเป้า ก็ไม่ลงทุนเพิ่มอีก ก็เพียงสนุกกับมันต่อไปยามว่างเมื่อเกษียณ สมองก็จะยังได้ทำงาน

      สรุป ตลอดมาผมยังเห็นการลงทุนเพื่อเกิดคุณสมบัติแห่งบุคคลและปัญญา  ย่อมมีค่ายิ่งกว่าการลงทุนเพื่อการมีทรัพย์เสียอีกเป็นไหนๆ.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่