เขียนเพื่อให้เป็นแนวคิดแก่ ผู้ที่คิดว่าต้นทุนต่ำ พ่อแม่ไม่รวย ดิ้นรนด้วยตนเองก็ไม่ดีขึ้น ตามที่ตั้งกระทู้กัน เพื่อให้เกิดแนวคิด. ที่จะให้ไม่จน และดีขึ้นตามฐานะกับรายได้ เพราะแม้พ่อแม่รวย ก็ช่วยลูกไม่ได้ก็มี บางกรณีลูกต้องเริ่มจาก 0 แถมติดลบ แม้แม่จะช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้ และด้วยลูกเองไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากมาเสียเงินให้กับลูก ด้วยลูกมีความรู้และปัญญาว่า ที่ท่านมีก็เพียงช่วยตัวท่านเองได้เท่านั้น เพราะท่านไม่มีโอกาสเอาเงินที่มีอยู่นั้นงอกเงยขึ้นมาได้นอกจากดอกเบี้ยเท่านั้น เพราะลูกมีครอบครัวแล้ว จึงยอมทนลำบากและทนภรรยาบ่น
ตอนผมจนมาก ไม่มีอะไรๆ เงินเก็บก็ไม่มี ที่มีติดตัวประมาณ 2000 บาท แต่มีรายได้เดือนละ 500 บาท ยอมงดข้าวบางมื้อเพื่ออยู่ในกรุงเทพฯ ให้นานที่สุดและขออาศัยห้องคนรู้จักอยู่ฟรี เริ่มได้งานทำมีเงินเดือนแน่นอนครั้งแรกในชีวิต หลังที่เรียนจบออกมา 6 ปีแล้ว เพราะคงไม่มี บริษัทใดกล้าที่จะจ้างผมทำงานและให้เงินเดือนตามปกติ ผมต้องอาศัยที่พักเขาอยู่ที่ทำงาน เพราะถ้าเช่าที่พักเงินก็จะไม่พอเลี้ยงลูก 1 คน
เมื่อครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ผมก็ต้งแนวคิดจะอยู่กินตามแบบ พ่อแม่ ที่ประหยัดตะหนี่ จนมีเงินเป็นล้าน เมื่อ 40 ปี มาแล้ว ถึงพ่อแม่จะมีเงินเป็น ล้าน ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้ เพราะท่านก็ต้องเก็บเพื่อตัวท่านเอง จะให้ผมก็ไม่ได้เพราะจะกระทบกับดอกเบี้ยที่ท่านได้มาเอาใช้จ่ายแต่ละเดือน ที่ผมได้โอกาศดีเพียงอย่างเดียว คือไม่ต้องส่งเงินให้ท่านเพราะท่านมีพอดีของท่านอยู่แล้ว แต่ภายหลังแม่ขอให้ผมส่งให้แม่เดือนละ 500 บาท เพราะกลัวว่าชาวบ้านจะนินทาผม นั้นแหละเป็นยอดเงินครั้งแรกที่ผมให้ต่อเดือน ต่อไปก็กลายเป็นพัน และกลายเป็นมากกว่าหมื่นในปัจจุบัน.
การอยู่แบบ จนๆ ยิ่งกว่ารายได้ เช่นมีรายได้ 100 บาท จ่ายเพียง 20 บาท เก็บ 80 บาท ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ พอมีเงินเก็บถึงระดับหนึ่ง ก็หามาใช้แบบคนไม่รวยเขา มีนั้นแหละ แบบไม่สะดวกติดๆ ขัดๆ แต่ก็ดีขึ้น ซึ่งพ่อแม่ผมทำสำเร็จมาแล้ว มีเงินในบัญชีมากกว่าล้านเมื่อรวมกัน สมัยนั้นเมื่อ 40 ปีมาแล้วเรียกว่าเศษฐีเงินล้านได้เลยสมัยนั้น เมื่อท่านเริ่มรู้จักเอาเงินฝากธนาคาร.
แต่ภรรยาผมอยู่ไม่ได้ครับ เขาแทบคลั้งเกิดเรื่องเลย เพราะเสื้อผ้าของใช้จะไม่ซื้อใหม่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ๆ โอ้..ผมต้องผมต้องปรับระดับแนวคิดใหม่ทั้งหมด เพราะจิตใจภรรยาผมทนไม่ได้ที่อยู่อย่าง จนๆ จึงต้องปรับมาอยู่อย่าง จนกว่ารายได้ เขาน่าจะทนได้
คือผมยอมไม่มีเงินเก็บ คือผมมีเงินเก็บ 0 บาท ซื้อทรัพย์สินที่ภรรยาขาดปรารถนาทั้งแต่วัยเด็กที่อยากได้คือบ้าน โดยซื้อ คอนโด หรือบ้าน ที่เป็นกำลังใจให้เขาทนสู้ได้ ผมจึงใช้จ่ายในครอบครัวแบบจน แต่ไม่ขัดสนคือเพียงจนกว่ารายได้ ผมยอมมีเงินเก็บ 0 บาท เพราะต้องเสียให้กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ค่อยดีขึ้นไปตามลำดับ ตามที่ภรรยาอยากได้ไปตามลำดับ
เป็นอันว่า ผมมีเงินเก็บเก็อบ 0 บาทเป็นเวลาถึง 20 ปี เพราะทุกอย่างในครอบครัวผมเป็นคนจ่ายเองทั้งหมดแม้กระทั้งผ่อนบ้านที่ดีขึ้นไปตามลำดับ จากคอนโด ไปเป็นบ้านชั้นเดียว มาเป็นเป็นทาวส์เอาส์ 2 ชั้น มาเป็นบ้านเดียว ส่วนภรรยาก็รับผิดชอบจ่ายในส่วนพิเศษอื่นๆ ที่เขาพอรับได้
ผ่านมา 20 กว่าปี เงินเก็บผมดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งเริ่มมีเงินเก็บ แต่มีเงินเก็บแค่ 2 แสนเอง ส่วนภรรยาย่อมมีมากกว่าผมประมาณหนึ่งเพราะผมประสงค์ให้เขารักษางานรักษาเงินเขาให้ดี โดยที่ผมไม่ไปยุ่ง
แต่เรามีบ้าน 2 หลัง (หมดนี้แล้ว) คอนโดใหม่ 1 ห้องยังผ่อนอยู่เพื่อลงทุน ที่ดิน 2 แปลง(หมดหนี้แล้ว) รถ 2 คัน (ยังผ่อนอยู่ 1 คัน เหลือประมาณ 1.6 แสน) คือมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน เป็นสิบเท่าที่เดียว(มากว่าเงินล้านพ่อแม่หลายเท่าที่เดียว).
แต่ภาระผมยังไม่หมดจากที่คิดว่าถึงวันเกษียณผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวเกือบ 2 ล้าน เพราะหมดหนี้บ้านและที่ดินแล้ว เงินเดือนเหลือเก็บแบบเต็มๆ จึงต้องเบนทิศทางใหม่ เพราะต้องส่งเลี้ยงดูแม่แก่มากด้วยท่านเดินไมได้ มากกว่าหมื่นบาทต่อเดือน(ก่อนหน้านี้ประมาณ 25 K ต่อเดือน) ด้วยแม่กลายเป็นคนจนเพราะกระจายเงินทั้งหมดให้ลูกหมดตอนจะชรา ผมคนสุดท้องจึงต้องรับหน้าที่จ่ายนี้เป็นหลัก ออ. ยังส่งลูกเรียนมหาลัยอีก 1 คน แต่ก็ภูมิใจ จากเด็กจะไม่จบป.6 แม่เขาร้องไห้แทบแย่ตอนนั้น จนกลายเป็นเด็กเกรดเฉลี่ย 3.22 ในระดับมหาลัย ปี 2
ออ.. แต่เรื่องที่จ่ายนั้นกลายเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับผม เพราะด้วยความเคยชินด้วยไม่ได้มีเงินเก็บมา 20 ปี เงินเดือนที่ได้มาแล้วจ่ายออกไปหมดผมจึงรู้สึกเฉยๆ ...
และเพราะรู้อยู่แล้วว่าแม้เกษียณไปแล้ว ก็ยังมีรายได้เดือนละ หมื่นกว่าบาท เฉพาะสวนตัว หรือจะหารายได้เพิ่มจากที่ดินที่มีอยู่ก็ยังได้ หรือจะทำเล่นๆ ก็ได้ ส่วนค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ร้ายแรงจนหนักมากๆ ก็ฟรีอาศัยสิทธิ์ภรรยา โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเกษียนของภรรยาเลย .
แม้ผมเป็นคนที่ไม่หวังรวยหรือเป็นเศรษฐี ด้วยประสงค์ปัญญาและความรู้มากกว่า แม้ตอนเด็กๆ 13-14 ปีพ่อแม่เอาเงินสดเกือบล้าน ทองอีกหลายแท่งประมาณ 40 บาท มากองไว้ให้ผมดู เพื่อให้ผมเลิกล้มการอยากเรียนต่อผมก็ยังเฉยๆ ไม่ได้สนใจ ยอมตายให้ได้เรียนต่อมากกว่า แล้วผมก็โดนขัดขวางไม่ให้เรียนต่อจากพ่อ และกฏหมาย จนแทบจะบ้าและตายได้ แม้ผมลำบากหนักผมก็ยังวนเวียนอยู่กับการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งจนยิ่งยวด เมื่อมีครอบครัวก็ยิ่งลำบากยิ่ง แต่พอเริ่มจะมีรายได้แน่นอนก็ เพียงตั้งเป้าหมายว่า เมื่อยามเกษียณก็จะยังมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน จะไม่เหมือนพ่อแม่มีเงินเก็บเป็นล้าน แต่เอาไปทำอะไรไม่ได้ และดอกเบี้ยลดลงแล้วค่าเงินก็ลดลงนั้นเอง
ดังนั้นจึงอย่าท้อถอยไปก่อน ที่ไปคิดว่า ต้นทุนต่ำ แล้วจะยกตัวเองขึ้นมาไม่ได้ นะครับ แม้อาจเกิดโอกาศจะตายไปก่อนก็ถือว่าได้สู้แล้วครับ.
เขียนเพื่อให้เป็นแนวคิดแก่ ผู้ที่คิดว่าต้นทุนต่ำ พ่อแม่ไม่รวย ดิ้นรนด้วยตนเองก็ไม่ดีขึ้น ตามที่ตั้งกระทู้กัน
ตอนผมจนมาก ไม่มีอะไรๆ เงินเก็บก็ไม่มี ที่มีติดตัวประมาณ 2000 บาท แต่มีรายได้เดือนละ 500 บาท ยอมงดข้าวบางมื้อเพื่ออยู่ในกรุงเทพฯ ให้นานที่สุดและขออาศัยห้องคนรู้จักอยู่ฟรี เริ่มได้งานทำมีเงินเดือนแน่นอนครั้งแรกในชีวิต หลังที่เรียนจบออกมา 6 ปีแล้ว เพราะคงไม่มี บริษัทใดกล้าที่จะจ้างผมทำงานและให้เงินเดือนตามปกติ ผมต้องอาศัยที่พักเขาอยู่ที่ทำงาน เพราะถ้าเช่าที่พักเงินก็จะไม่พอเลี้ยงลูก 1 คน
เมื่อครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ผมก็ต้งแนวคิดจะอยู่กินตามแบบ พ่อแม่ ที่ประหยัดตะหนี่ จนมีเงินเป็นล้าน เมื่อ 40 ปี มาแล้ว ถึงพ่อแม่จะมีเงินเป็น ล้าน ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้ เพราะท่านก็ต้องเก็บเพื่อตัวท่านเอง จะให้ผมก็ไม่ได้เพราะจะกระทบกับดอกเบี้ยที่ท่านได้มาเอาใช้จ่ายแต่ละเดือน ที่ผมได้โอกาศดีเพียงอย่างเดียว คือไม่ต้องส่งเงินให้ท่านเพราะท่านมีพอดีของท่านอยู่แล้ว แต่ภายหลังแม่ขอให้ผมส่งให้แม่เดือนละ 500 บาท เพราะกลัวว่าชาวบ้านจะนินทาผม นั้นแหละเป็นยอดเงินครั้งแรกที่ผมให้ต่อเดือน ต่อไปก็กลายเป็นพัน และกลายเป็นมากกว่าหมื่นในปัจจุบัน.
การอยู่แบบ จนๆ ยิ่งกว่ารายได้ เช่นมีรายได้ 100 บาท จ่ายเพียง 20 บาท เก็บ 80 บาท ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ พอมีเงินเก็บถึงระดับหนึ่ง ก็หามาใช้แบบคนไม่รวยเขา มีนั้นแหละ แบบไม่สะดวกติดๆ ขัดๆ แต่ก็ดีขึ้น ซึ่งพ่อแม่ผมทำสำเร็จมาแล้ว มีเงินในบัญชีมากกว่าล้านเมื่อรวมกัน สมัยนั้นเมื่อ 40 ปีมาแล้วเรียกว่าเศษฐีเงินล้านได้เลยสมัยนั้น เมื่อท่านเริ่มรู้จักเอาเงินฝากธนาคาร.
แต่ภรรยาผมอยู่ไม่ได้ครับ เขาแทบคลั้งเกิดเรื่องเลย เพราะเสื้อผ้าของใช้จะไม่ซื้อใหม่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ๆ โอ้..ผมต้องผมต้องปรับระดับแนวคิดใหม่ทั้งหมด เพราะจิตใจภรรยาผมทนไม่ได้ที่อยู่อย่าง จนๆ จึงต้องปรับมาอยู่อย่าง จนกว่ารายได้ เขาน่าจะทนได้
คือผมยอมไม่มีเงินเก็บ คือผมมีเงินเก็บ 0 บาท ซื้อทรัพย์สินที่ภรรยาขาดปรารถนาทั้งแต่วัยเด็กที่อยากได้คือบ้าน โดยซื้อ คอนโด หรือบ้าน ที่เป็นกำลังใจให้เขาทนสู้ได้ ผมจึงใช้จ่ายในครอบครัวแบบจน แต่ไม่ขัดสนคือเพียงจนกว่ารายได้ ผมยอมมีเงินเก็บ 0 บาท เพราะต้องเสียให้กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ค่อยดีขึ้นไปตามลำดับ ตามที่ภรรยาอยากได้ไปตามลำดับ
เป็นอันว่า ผมมีเงินเก็บเก็อบ 0 บาทเป็นเวลาถึง 20 ปี เพราะทุกอย่างในครอบครัวผมเป็นคนจ่ายเองทั้งหมดแม้กระทั้งผ่อนบ้านที่ดีขึ้นไปตามลำดับ จากคอนโด ไปเป็นบ้านชั้นเดียว มาเป็นเป็นทาวส์เอาส์ 2 ชั้น มาเป็นบ้านเดียว ส่วนภรรยาก็รับผิดชอบจ่ายในส่วนพิเศษอื่นๆ ที่เขาพอรับได้
ผ่านมา 20 กว่าปี เงินเก็บผมดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งเริ่มมีเงินเก็บ แต่มีเงินเก็บแค่ 2 แสนเอง ส่วนภรรยาย่อมมีมากกว่าผมประมาณหนึ่งเพราะผมประสงค์ให้เขารักษางานรักษาเงินเขาให้ดี โดยที่ผมไม่ไปยุ่ง
แต่เรามีบ้าน 2 หลัง (หมดนี้แล้ว) คอนโดใหม่ 1 ห้องยังผ่อนอยู่เพื่อลงทุน ที่ดิน 2 แปลง(หมดหนี้แล้ว) รถ 2 คัน (ยังผ่อนอยู่ 1 คัน เหลือประมาณ 1.6 แสน) คือมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน เป็นสิบเท่าที่เดียว(มากว่าเงินล้านพ่อแม่หลายเท่าที่เดียว).
แต่ภาระผมยังไม่หมดจากที่คิดว่าถึงวันเกษียณผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวเกือบ 2 ล้าน เพราะหมดหนี้บ้านและที่ดินแล้ว เงินเดือนเหลือเก็บแบบเต็มๆ จึงต้องเบนทิศทางใหม่ เพราะต้องส่งเลี้ยงดูแม่แก่มากด้วยท่านเดินไมได้ มากกว่าหมื่นบาทต่อเดือน(ก่อนหน้านี้ประมาณ 25 K ต่อเดือน) ด้วยแม่กลายเป็นคนจนเพราะกระจายเงินทั้งหมดให้ลูกหมดตอนจะชรา ผมคนสุดท้องจึงต้องรับหน้าที่จ่ายนี้เป็นหลัก ออ. ยังส่งลูกเรียนมหาลัยอีก 1 คน แต่ก็ภูมิใจ จากเด็กจะไม่จบป.6 แม่เขาร้องไห้แทบแย่ตอนนั้น จนกลายเป็นเด็กเกรดเฉลี่ย 3.22 ในระดับมหาลัย ปี 2
ออ.. แต่เรื่องที่จ่ายนั้นกลายเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับผม เพราะด้วยความเคยชินด้วยไม่ได้มีเงินเก็บมา 20 ปี เงินเดือนที่ได้มาแล้วจ่ายออกไปหมดผมจึงรู้สึกเฉยๆ ...
และเพราะรู้อยู่แล้วว่าแม้เกษียณไปแล้ว ก็ยังมีรายได้เดือนละ หมื่นกว่าบาท เฉพาะสวนตัว หรือจะหารายได้เพิ่มจากที่ดินที่มีอยู่ก็ยังได้ หรือจะทำเล่นๆ ก็ได้ ส่วนค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ร้ายแรงจนหนักมากๆ ก็ฟรีอาศัยสิทธิ์ภรรยา โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเกษียนของภรรยาเลย .
แม้ผมเป็นคนที่ไม่หวังรวยหรือเป็นเศรษฐี ด้วยประสงค์ปัญญาและความรู้มากกว่า แม้ตอนเด็กๆ 13-14 ปีพ่อแม่เอาเงินสดเกือบล้าน ทองอีกหลายแท่งประมาณ 40 บาท มากองไว้ให้ผมดู เพื่อให้ผมเลิกล้มการอยากเรียนต่อผมก็ยังเฉยๆ ไม่ได้สนใจ ยอมตายให้ได้เรียนต่อมากกว่า แล้วผมก็โดนขัดขวางไม่ให้เรียนต่อจากพ่อ และกฏหมาย จนแทบจะบ้าและตายได้ แม้ผมลำบากหนักผมก็ยังวนเวียนอยู่กับการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งจนยิ่งยวด เมื่อมีครอบครัวก็ยิ่งลำบากยิ่ง แต่พอเริ่มจะมีรายได้แน่นอนก็ เพียงตั้งเป้าหมายว่า เมื่อยามเกษียณก็จะยังมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน จะไม่เหมือนพ่อแม่มีเงินเก็บเป็นล้าน แต่เอาไปทำอะไรไม่ได้ และดอกเบี้ยลดลงแล้วค่าเงินก็ลดลงนั้นเอง
ดังนั้นจึงอย่าท้อถอยไปก่อน ที่ไปคิดว่า ต้นทุนต่ำ แล้วจะยกตัวเองขึ้นมาไม่ได้ นะครับ แม้อาจเกิดโอกาศจะตายไปก่อนก็ถือว่าได้สู้แล้วครับ.