(สางดงในคืนเดือนดับ)อาถรรพ์เกี่ยวกับป่าที่สมาชิกทุกท่าน เคยได้ยินเรื่องเล่าที่ตกทอดกันมามีอะไรบ้าง?

สำหรับตัวผมเองขอเล่าเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับปู่ทวดของผม เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ 3ปี
โดยเรื่องราวนี้ผมขอตั้งชื่อว่า     “คืนเดือนดับจับหัวใจ”
ปู่ทวดนั้นท่านเป็นคนจีนแต้จิ๋ว ที่อพยพเข้ามาอยู่ประเทศไทยราวๆปี พ.ศ. 2490 ท่านได้รับสถานะภาพเป็นคนไทย ด้วยจากการช่วยเหลือจากเจ้านาย โดยได้ชื่อไทยว่านาย ฮวด แซ่ถ่ำ และท่านได้เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2553 ด้วยวัย 94ปี ด้วยประเทศจีนสมัยนั้นเกิดกาลียุค ประชาชนจำต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการอดอยาก ท่านจึงเข้ามาทำงานในประเทศไทยเมื่ออายุท่านได้ราว 20ต้นๆ โดยไปอาศัยอยู่กับเครือญาติที่อพยพมาอยู่ก่อนหน้านี้ ที่ในจังหวัดแพร่ จนได้เข้าทำงานที่ปางไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของก็คือ พ่อเลี้ยงพัฒนา คหบดีเศรษฐีจังหวัดแพร่
ปู่ฮวดนั้นรับค่าจ้างแรงจากการทำงานปางไม้ วันละ 6สลึง มีการจ่ายเงินทุกๆเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นค่าแรงทำงานที่เยอะพอสมควรในยุคสมัยนั้น ด้วยที่ปางไม้อยู่ในป่าจึงแทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเลย คนงานในปางไม้ทั้งหมดที่มีประมาณ 20กว่าคน บางคนก็เข้าป่าล่าเนื้อ ได้ เก้ง กวาง หมูป่า กระจง ไก่ป่าหรือสัตว์อื่นๆอีกมากมายยกเว้นไว้แต่ช้าง ทีถือได้ว่าเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ด้วยสัตว์ป่าสมัยนั้นมีมากมายจึงง่ายต่อการล่านำมาเป็นอาหาร เพราะที่ปางไม้นั้นมีปืนคาร์บิ้น m1แบบแม็คคาซีนชนิดยิงเร็วและสามารถยิงรัวต่อเนื่องได้ ยามได้เนื้อมาก็แบ่งกันกิน ถ้าเหลือก็ตากเกลือเก็บไว้ตามแต่อัตภาพ โดยทิดกราดเป็นพ่อครัวประจำปางไม้ มักจะหุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่ ตำน้ำพริกหาผักต้ม ต้มยำทำแกงต่างๆ แบ่งกันกินทั้งคนไทยคนจีน ได้อาศัยอยู่กันฉันพี่ฉันน้องด้วยความไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่แบ่งเชื้อชาติ เลิกงานตอนเย็นก็อาจจะมีการกินเหล้ากินยาบ้าง โดยมากเป็นเหล้าอุ๊หรือเหล้าป่าตามสมควรพอเป็นกษัยเส้น ถ้าพ่อเลี้ยงแกช่วยอนุเคราะห์ ก็อาจจะได้ดื่มเหล้าสีหรือบางคนเรียกเหล้าแดง แล้วนานๆครั้งถึงได้เข้าเมือง ส่วนมากจะไปเที่ยวตลาดเมืองแพร่กัน โดยการขึ้นรถบรรทุกหัวยาวของปางไม้ไป เพื่อหาซื้อเครื่องใช้ หากินก๊วยเตี๊ยว ข้าวขาหมูและเดินเที่ยวตลาด ส่วนปู่ฮวดนั้นแกชอบชิ่งเพื่อนๆไปนั่งกินก๊วยจั๊บเครื่องในวัว กับน้ำแข็งไสที่ร้านของ อาเหมย สาวน้อยน่ารักวัยแรกรุ่น ผิวขาว ตาตี่ ยิ้มหวาน ลูกสาวของเจ็กเฮงคนจีนฮกเกี้ยน ที่ขายอยู่ในตลาดเมืองแพร่ ด้วยเพราะแอบมีใจให้หล่อนอยู่ลึกๆแอบ เทียวไปนั่งกินก๋วยจั๊บส่งยิ้มหวาน แล้วคิดในใจเข้าข้างตัวเอง ว่าอย่างน้อยๆ หล่อนก็คนบ้านเดียวกัน มันต้องมีลุ้นบ้างแหล่ะวะ ก็มีเพื่อนบางกลุ่ม ไปเสี่ยงโชคเข้าบ่อนเล่นไพ่ แทงไฮโล จะได้จะเสียก็ว่ากันไปตามเวรและกรรม หรือไม่ก็เที่ยวผู้หญิงตามซ่องกลางวันแสกๆ โดยมากเป็นหญิงบริการชาวดอยภูเขา เป็นสาวๆวัยละอ่อน หน้าตาทรวดทรงก็จัดได้ว่าทีเด็ดขาวเนียน อัตราค่าบริการก็แล้วแต่จะตกลงกัน ยืนพื้นก็ราวๆ 7บาท ไม่มีเบอร์ตอง ถุงยางอานามัยไม่ต้องใช้ เพราะสมัยก่อนนั้น อย่างมากก็เป็นแค่โรคผู้หญิงไม่มีโรค hivอย่างปัจจุบันนี้
  แล้วก็มีเหตุอันทำให้ปู่ฮวดของผม ต้องเดินทางจากปางไม้จังหวัดแพร่ ไปกับเพื่อนหนุ่มๆในปางไม้อีกรวมๆ 6คน จำต้องไปช่วยงานคุณอนุวัฒน์ น้องชายคนเล็กสุดของพ่อเลี้ยงพัฒนา ท่านขอให้ไปช่วยงานที่เมืองน่าน เนื่องจากมีงานข้ามโขงไปตัดไม้สักขนาดใหญ่ ว่ากันว่าขนาดต้นนั้น ราวๆ 3คนโอบแต่อยู่ในป่าลึก จึงขอใช้แรงคนงานที่ปางไม้ของพ่อเลี้ยงพัฒนา เพื่อข้ามลำโขงเข้าไปตัดในป่าภูเวียงฟ้า(ทางภาษาคนพื้นเมืองเรียกกันว่าภูผีเมือง) โดยเหตุที่พ่อตาของคุณอนุวัฒน์ ได้ทำเรื่องขอสัมปทานไม้สักขนาดใหญ่ กับทางการแขวงเมืองไซยะบุรี ประเทศลาวเอาไว้
ด้วยลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของแขวงไซยะบุรี เป็นภูเขาและที่ราบสูง มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่มากมายอาทิ ไทดำ ไทลื้อ ขมุ ขฉิ่น อาข่า และม้ง จึงได้กลายเป็นแขวงที่มีการทำไม้ซุงมากที่สุดและมีจำนวนช้างงานมากที่สุดในประเทศลาวสมัยนั้น ราวๆต้นเดือนพฤษจิกายน เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว คณะเดินทางอันประกอบไปด้วยคุณอนุวัฒน์ ทิดหมาน ทิดกราด นายทอง นายแสง นายกล้า ปู่ฮวด และดาบเริงนายตำรวจสังกัด ต.ช.ด.ริมโขง เพื่อนคุณอนุวัฒน์สมัยมัธยมปลาย ร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงเดินทางเข้าเขตแขวงเมืองไซยะบุรีข้ามโขงด้วยการนั่งเรือ ครั้นขึ้นฝั่งก็พบกับพรานพื้นเมืองชาวลาวรอคอยที่ฝั่งอยู่ 2คน ซึ่งมีชื่อว่าอ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ย เมื่อพรานพื้นเมืองทั้งสองเจอคุณอนุวัฒน์ ก็รีบยกมือไหว้ทักทายตามประสาคนรู้จักที่คุ้นเคยกันมาแต่ช้านาน แต่เนื่องด้วยเวลาที่ไปถึงนั้น ก็เป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว คณะเดินทางของคุณอนุวัฒน์ จึงเดินเท้าราวๆ2 กิโลเมตร เพื่อไปพักค้างคืนที่เรือนไม้ขนาดเสา 12ต้นยกใต้ถุนสูง ตีฝาด้วยแผ่นกระดานไม้ฝาเก่าๆเพียงครึ่งหลังและมุงด้วยหญ้าแฝก ซึ่งเป็นบ้านของอ้ายโหน่ยพรานพื้นที่หนุ่มใหญ่วัย 30ต้นๆ จากนั้นเจ้าบ้านก็จัดแจงเลี้ยงดูปูเสื่อ ในเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี โดยมีต้มไก่บ้านใส่หน่อไม้ดองหม้อใหญ่ กับผักสดจี้มกับแจ่ว และเนื้อแดดเดียวทอดกินกับข้าวเหนียวนึ่งอุ่นๆ
ครั้นเมื่อถึงยามดึกแล้ว โดยสภาพทั่วไปที่แขวงไซยะบุรี จะมีภูมิอากาศที่คล้ายคลึง กับสภาพภูมิอากาศของจังหวัดน่านและจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่ทว่าในฤดูหนาวจะมีอากาศที่หนาวเย็นมากกว่า ทำให้ปู่ฮวดกับเพื่อนๆนั้นนอนไม่หลับ รวมถึงคุณอนุวัฒน์และดาบเริงด้วยด้วย จึงได้ลงจากเรือนมานั่งห่มผ้าคุยพูดกัน บนแคร่ไม้ขนาดใหญ่ใต้ถุนบ้าน พร้อมกับได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ไว้ข้างๆ นั่งจิบเหล้าสีแม่โขงขวดใหญ่ ที่คุณอนุวัฒน์หิ้วมาฝากจากเมืองน่าน เพื่อคลายความหนาวเย็น ของลมหนาวทีพัดเข้ามาใต้ถุนบ้านเป็นระยะๆ  แล้วสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็มีชายชราสูงวัย เดินตรงเข้ามายังกลุ่มคนที่นั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน เมื่อแกเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็พบว่าผมหงอกขาวโพลนแทบทั้งศรีษะอายุ ราว 80ปลายๆ ซึ่งบ้านแกก็อยู่ในละแวกนั้นเอง คงอาจจะเห็นว่าพวกปู่ฮวดยังไม่หลับนอน จึงเดินเข้ามาขอผิงไฟด้วย และชวนพูดคุยถามสารทุข์สุกดิบ ตามประสาคนแก่ชอบหาเพื่อนคุยเล่น
ชายชราผู้นั้นแกบอกว่าแกนั้นชื่อสีเมือง หรือให้เรียกแกว่าพ่อใหญ่สีก็ได้ ทิดหมานหนุ่มวัย 20กว่าๆชาวเมืองลับแลบรรจงรินเหล้าสีใส่แก้วให้แก แต่แกก็ได้โบกมือปฏิเสธ พร้อมกับพูดว่า ตาเป็นหมอธรรมต้องรักษาศิลไม่ดื่มเหล้าเมายาหรอกไอ้หนุ่มเอ้ย หลังจากที่ได้พูดคุยกันอยู่สักพักใหญ่ๆ แกจึงได้ถามว่าพวกปู่ฮวดนี้จะเดินทางไปที่ไหนกัน จะเข้าป่าไปหาล่าสัตว์เหรอ คุณอนุวัฒน์จึงได้ตอบกลับไปว่า พวกผมมาหาพรานนำทาง และรอเจ้าหน้าที่ตีตราไม้ประจำแขวงครับ พวกเราจะเดินทางขึ้นภูเวียงฟ้า ไปเอาไม้สักใหญ่ขนาดใหญ่ครับ พอดีพ่อตาผมแกรู้จักกับผู้บริหารระดับสูง เลยทำเรื่องสัมปทานกับทางการไว้ประมาณ 30ต้น เลยสั่งให้ผมพาลูกน้องไปล้มทิ้งไว้เสียก่อน แล้ววันหลังค่อยไปเช่าช้างงานที่ด่านกุดดอน ลากไม้ซุงลงลำเง็ก แล้วค่อยลำเลียงออกปากแม่น้ำโขงครับ กะไว้ว่าถ้าแปรรูปแล้วคงได้ไม้กระดานงามๆหลายแผ่นอยู่ พอจะได้กำไรจากการสัมปทานนี้อยู่บ้างครับ เพราะเราไม่มีคู่แข่งตอนประกวดราคา สิ้นเสียงคำตอบของคุณอนุวัฒน์ เมื่อพ่อใหญ่สีได้ฟังแกก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แล้วจึงอุทานออกมาเสียงเบาๆว่า ที่ภูฟ้านะหรือ แล้วหลังจากนั้นแกก็อธิบายต่อและเล่าให้ฟังว่า ภูเขาลูกนี้เป็นภูอาถรรพ์ตามความเชื่อของชาวเผ่าไทลื้อ ไทดำ ที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตย์ของพญาผีป่าผีไพร พร้อมทั้งผีบริวารทั้งหลายภายใต้ปกครอง ในเขตย่านนี้แทบไม่มีใครกล้าขึ้นไป เคยมีนายพรานที่ดันทุรังไม่เชื่อคำทักท้วงขึ้นไปล่าสัตว์ป่า ไปแล้วแล้วไม่ได้กลับลงมาตั้งหลายคน โดยเฉพาะพรานที่มาต่างถิ่นหรือพรานเมือง เหตุก็เพราะป่านี้อาถรรพ์ผีป่ามันแรง คนที่เคยรอดออกมาก็มี แต่มักจะเพ้ออย่างเสียจริต ว่าเห็นนี่บ้าง นั่นบ้าง ส่วนใหญ่ก็มักเพ้อเจ้อกันไปแบบนี้ คนเขตนี้ไม่มีใครเขาอยากขึ้นไปกันหรอก เมื่อพูดจบแกก็พันบุหรี่จากใบจากมาจุดสูบสีหน้านิ่งเรียบ คุณอนุวัฒน์จึงได้ถามพ่อใหญ่สีกลับไปอีกว่า แล้วทำไมนายทุนเขตนี้ เขาจึงไม่มีใครเข้าไปสัมปทานไม้ใหญ่บนภูนี้ครับ ทางการเขาก็เปิดให้ประมูลไม้เยอะอยู่นะตา พ่อใหญ่สีจึงตอบกลับมาว่า มันไม่มีใครเขาอยากเข้าไปทำไม้บนภูนี้หรอกไอ้หนุ่มเอ้ย เพราะเขากลัวอาถรรพ์กันยังไงเล่า มีเสี่ยใหญ่เมืองมุกดาหารเคยเข้าไปสัมปทานอยู่เหมือนกัน เข้าไปได้ไม่กี่วันก็พาลูกน้อง หนีกลับลงภูแทบไม่ทัน ที่หลงหายสาบสูญไปก็มี แล้วพวกไอ้เฮืองไอ้โหน่ยไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังบ้างหรือไอ้หนุ่ม ไอ้สองคนนี่มันเห็นแก่ค่าจ้างจริงๆเลยนะ พูดจบพ่อใหญ่สีก็หัวเราะขบขัน พลางส่ายหัวเบาๆไปมา เมื่อพวกปู่ฮวดได้ฟังพ่อใหญ่สีเล่าดังนี้ ก็ถึงกับหน้าซีดถอดสี ใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะความกลัว ทิดหมานจึงได้ถามพ่อใหญ่สีกลับไปอีกว่า ถ้าพวกผมจะขึ้นภูตาพอจะมีของดีอะไร ให้พวกผมไว้ป้องกันตัวบ้างมั้ยครับ เนื่องว่าทางกลุ่มนั้นก็พอรู้ว่าพ่อใหญ่สีนั้น แกเป็นหมอธรรมประจำพื้นที่ก็ต้องมีวิชาอาคมอยู่บ้างพอสมควร จึงอยากจะขอของดีแกไว้เพื่อป้องกันตัวยามขึ้นภูบ้าง พ่อใหญ่สีได้ตอบกลับมาว่า วันพรุ่งนี้ก่อนเดินทางให้ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มพวกเอ็งไปหาตาที่บ้านนะ เดี๋ยวตาจะให้ของดีพวกเอ็งไปไว้ป้องกันตัวสักอย่าง 2อย่าง แต่พวกเอ็งจงจำไว้นะไอ้หนุ่ม อีกไม่กี่วันนี้ก็จะถึงคืนแรม 15ค่ำ คืนนั้นมันจะเป็นคืนเดือนดับ พวกเอ็งจงรีบลงจากภูเวียงฟ้ากันเสีย เพราะคืนเดือนคับแรม 15ค่ำ พวกวิญญาณสัมภเวสีภูตผีต่างๆมันจะมีพลังแห่งอาถรรพ์สูง จงพากันรีบลงภูมาก่อนที่อาทิตย์จะลับขอบฟ้า พอพูดจบพ่อใหญ่สีก็ลุกออกจากกองไฟนั้นแล้วหันหลังกลับ เพื่อไปเรือนนอนที่อยู่หลังถัดออกไปอีกไม่กี่หลัง
เมื่อพวกปู่ฮวดดื่มเหล้าหมดโขง ก็รีบขึ้นเรือนนอนผักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางกัน รุ่งขึ้นทิดหมานเดินไปหาพ่อใหญ่สีที่บ้านแต่เช้าตรู่ตามคำสั่งของคุณอนุวัฒน์ เพื่อไปขอรับของดีไว้ไปป้องกันตัว ก่อนจะกลับพ่อใหญ่สีได้กำชับทิดหมานอีกว่า ให้รีบลงภูก่อนวันแรม 15ค่ำ ทิดหมานกลับมาพร้อมกับด้ายสายสิณญ์สีเหลืองหลายเส้น และสร้อยปะคำร้อยแปด ที่ทำจากทองเหลืองเม็ดโตเท่านิ้วชี้อีก 1เส้น สำหรับสร้อยประคำเส้นนี้ พ่อใหญ่สีแกบอกว่า ได้จากเกจิวัดป่าพระอริยสงฆ์แห่งนครหลวงพระบาง ลงจากภูแล้วค่อยมาคืนให้แกก็ได้
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว คณะตัดไม้ของคุณอนุวัฒน์จึงได้เดินทางเพื่อเข้าภูเวียงฟ้า ด้วยรถแลนด์เก่าๆโกโรโกโสทั้ง 2คันโดยบรรทุกคนวิ่งตามกันมา ซึ่งในคณะนั้นได้มี ท้าวคำใสเจ้าหน้าที่ตีตราไม้ของทางการแขวงไซยะบุรี ได้ร่วมเดินทางไปด้วย พร้อมทั้งกับขนอุปกรณ์สำหรับล้มต้นไม้ขนาดใหญ่ เสบียงอาหาร และอาวุธปืนชนิดต่างๆไปเพื่อป้องกันตัว จากเหตุการณ์อันไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ รถวิ่งผ่าผืนป่าไปได้สักราวๆ 20กว่ากิโลเมตร ครั้นเมื่อสิ้นสุดถนนที่รถยนต์สามารถเข้าถึงแล้ว คุณอนุวัฒน์จึงให้ตาบุญมีกับทิดดวงคนขับรถทั้งสองขับรถกลับ โดยได้กำชับให้มารอรับในวันเวลาที่นัดหมายไว้ จากนั้นคณะทีมงานของคุณอนุวัฒน์ทุกคน ก็ได้ขนอุปกรณ์ต่างๆใส่เป้สนามเดินไปตามรอยทางเท้า โดยมีอ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ยเป็นพรานนำทาง พาทำพิธีเปิดป่าขอขมาเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน
แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางไปตามร่องทางเดิน ที่คาดได้ว่าน่าจะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างป่าเดินนั่นเอง จากนั้นทิดหมานก็นำเรื่องราวที่พูดคุยกับพ่อใหญ่สี ร่วมปรึกษาหารือกับคุณอนุวัฒน์ พร้อมกับยื่นเส้นปะคำร้อยแปดในมือ ให้คุณอนุวัฒน์เป็นคนเก็บรักษาเอาไว้ รวมถึงแบ่งเส้นด้ายสายสิณญ์ปลุกเสก ที่พ่อใหญ่สีให้มาแก่ทุกคนในคณะ รวมถึงปู่ฮวดด้วยนั่นเอง เมื่อคุณอนุวัฒน์ได้ปรึกษากับทิดหมาน ก็มีอาการสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก มือพลางควักบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อมาจุดสูบ ปล่อยควันลอยออกปากแล้วพูดเปรยๆขึ้นว่า ถ้าเป็นแบบนี้ เราควรเร่งมือการตัดไม้สักใหญ่จำนวน 30ต้นนี้ ให้แล้วเสร็จก่อนวันแรม 15ค่ำ นี้แล้วกัน จากนั้นคุณอนุวัฒน์จึงมีคำสั่งให้คณะรีบเดินทางกันอย่างรวดเร็ว คุณอนุวัฒน์หนุ่มใหญ่หน้าตาดีแม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ จบการศึกษาปริญญาตรี ด้านบริหารรัฐกิจมาจากกรุงเทพมหานคร แต่ก็นับได้ว่า แกเป็นคนที่มีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่มากพอสมควร                                   มีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 115
(ตอนอวสาน patch5)  พวกเราทุกคนวิ่งออกไปทางทิศใต้เข้าป่าช้ากันเลย ท้าวคำใสตะโกนบอกทุกคนเสียงดังลั่น สิ้นเสียงสั่ง ทุกๆคนต่างพากันวิ่งกรูลงประตูหลังของกุฏิอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีท้าวคำใสยืนรั้งท้ายของคณะ ประตูกุฏิด้านหลังนั้นเป็นประตูขนาดเล็กที่ไม่ใหญ่มาก โดยที่ทิดหมาน ดาบเริงวิ่งออกนำหน้ามาเป็นลำดับ ตามด้วยทิดกราด ปู่ฮวดของผม อ้ายเฮือง อ้ายโหน่ย และคุณอนุวัฒน์ตามลำดับ ทุกๆคนต่างวิ่งแบกปืนลงกุฏิทางบันไดไม้เก่าๆด้วยความรวดเร็ว ซึ่งบางคน ก็โดดลงมาที่พื้นล่างชนิดลืมตายเลยทีเดียว เจ้าสางดงเมื่อตั้งหลักได้ ก็ออกทะยานวิ่งตามบรรดาชายฉกรรจ์เหล่านี้อย่างโกรธแค้น พลันทันใดนั้น เปรี้ยงๆ ท้าวคำใสผู้ยืนคุมหลัง ลั่นกระสุนแร่จัตวโลหะที่ทรงอานุภาพเข้าปะทะร่างกายของมัน 2นัดติด  มันสะดุ้งโหย่งสุดตัว แล้วชะงักเล็กน้อย อันเนื่องจากฤทธิ์กระสุนอาคมที่หลอมรวมแร่ ดีบุก เงิน ทองเหลือง และทองแดง ร่างของมันเซถลาล้มลง เลือดสาดกระจาย ก่อนที่ท้าวคำใส จะรีบวิ่งมาตรงชานบันไดกุฏิ แล้วรีบโดดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นได้ออกวิ่งโกยตามคณะไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสางดงนั้นรีบทะยานลุกขึ้น ออกควบตามมาอย่างรวดเร็ว ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ ทำไมมันอึดจัง ขนาดโดนไปตั้ง 2นัดซ้อน ท้าวคำใสเอ่ยพูดกับคุณอนุวัฒน์ ที่ได้ยืนรออยู่ พร้อมกับยกปืนกลมือขึ้นประทับไว้ที่บ่า ขนะที่เจ้าสางดงออกวิ่งตามมาห่างจากจุดยืนของทั้ง 2ราวๆ 15เมตร คุณอนุวัฒน์ได้ลั่นไกทันที เปรี้ยงๆๆๆ เสียงกระสุนดังลั่นสนั่นวัด ร่างเจ้าสางดงชะงักชะงันเล็กน้อย เอามันไม่อยู่ครับ ลองใช้กระสุนจัตวะโลหะดีกว่า คุณอนุวัฒน์รีบเอ่ยบอกท้าวคคำใส สิ้นเสียงบอกของคุณอนุวัฒน์ ท้าวคำใสรีบยกปืนลูกซองประทับบ่าแล้วกดลั่นไกทันที เปรี้ยงๆ ร่างเจ้าสางดงกระเด็นไปตามแรงปะทะ ของกระสุนจัตวะโลหะทั้ง 2นัด รีบวิ่งไปที่ป่าช้าตอนนี้เถอะครับ กระสุนจัตวโลหะผมหมดแล้ว ท้าวคำใสบอกคุณอนุวัฒน์เสียงดังลั่น จากนั้นชายทั้ง 2ก็ได้ออกรีบวิ่งไปยังป่าช้า ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ราวๆ 100กว่าเมตร โดยที่มีเจ้าสางดงรีบควบตามมาอย่างแค้นเคืองชายทั้ง 2 รีบมาทางนี้ครับ เสียงนายเล่าอูและทุกๆคนที่ต่างพากันยืนรอ อยู่ใจกลางป่าช้าวัดป่าหนองคำไซ ตะโกนเรียกเสียงดังลั่น  ท้าวคำใสและอนุวัฒน์ ต่างพากันวิ่งเข้าไปยังในกลุ่มที่ทุกคนรออยู่ ด้วยอาการที่ต่างหอบแฮ่กๆ ทันใดนั้นเจ้าสางดงก็ทะยานควบมุ่งหน้าตามเข้าป่าช้า  เมื่อประจันหน้ากับทุกคนแล้ว มันได้หยุดเดิน ค่อยๆย่าง 3ขุม มาอย่างช้าๆ ค่อยๆก้าวเข้ามาทีละนิดๆ พร้อมกับคำรามกึกก้อง โฮร่กกกก คุณอนุวัฒน์รีบยื่นมือ ไปเอาปืนลูกซองแฝด ที่บรรจุกระสุนเหล็กไหลจากทิดกราด มาถือกระชับไว้ในมือของตนทันที พร้อมกับยกขึ้นเล็งตรงไปที่มัน ท้าวคำใสรีบเอามือจับไว้ พร้อมกับบอกว่า เดี๋ยวก่อนครับ ก่อนบอกทุกคนเบาๆว่า ให้เอาปืนทุกกระบอกยิงไปที่มันเดี๋ยวนี้เลย สิ้นเสียงบอกของท้าวคำใส ปืนทุกกระบอก ยกเว้นแต่ปืนกระสุนเหล็กไหลของคุณอนุวัฒน์ ต่างได้ระดมยิงไปที่ร่างของเจ้าสางดงทันที เปรี้ยงๆๆๆๆ ลูกกระสุนพุ่งไปราวกับห่าฝน เสียงปืนกลเล็กและปืนลูกซอง ดังอุบัติขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างของเจ้าอสูรกายร้ายชะงักชะงัน ด้วยแรงบวกของลูกกระสุนปืน ที่สาดเข้าอย่างไม่ยั้ง  สิ้นเสียงกระสุนปืนเจ้าสางดงรู้สึกแค้นเคืองยิ่งนัก มันได้ร้องคำรามเสียงดังลั่น โฮร่กกก ก่อนที่จะทะยานวิ่งโผเข้ามา ยังกลุ่มคนในป่าช้านั้นอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น เมื่อเท้าของมันก้าวเข้ายังเขตพื้นดินที่เป็นบริเวณของป่าช้า ในเสี้ยววินาที  ร่างของมันก็ได้เกิดอาการกระตุก ชักเกร็งขึ้น นอนล้มลงดิ้นพล่านบนพื้นดิน อย่างทุรนทุราย บังเกิดแสงลูกไฟขนาดเท่ากำมือสีเหลืองอำพัน ลอยละล่องออกมาจากร่างของมันที่นอนดิ้นอยู่ แสงดังกล่าวนั้น ค่อยๆลอยลงไปหายวับยังพื้นดินของป่าช้า ที่มีลักษณะเป็นแสงประกายเปิดอยู่ที่พื้นดิน ประตูนรกเปิดรอเอ็งแล้ว ท้าวคำใสเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนที่แสงดังกล่าวจะลอยออกจากร่างของเจ้าสางดง ค่อยๆลอยลงสู่ประตูแสง ที่อยู่บนพื้นดินป่าช้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนมาก มันคือแสงอะไรครับ ทิดหมานเอ่ยถามท้าวคำใสเบาๆ มันคือแสงของวิณญาณโหงพราย ที่สิงสถิตย์อยู่ในตัวมัน ตอนนี้เราใช้ตะปู 7ป่าช้า เปิดประตูนรก ทำให้วิณญาณดังกล่าวถูกปล่อยเป็นอิสระ หลุดจากบ่วงแห่งการพันธนาการของมัน  จึงถูกดึงไปยังที่ที่ควรไป ที่นั่นก็คือนรกนั่นเอง ท้าวคำใสอธิบายอย่างละเอียด ครู่ต่อมาแสงดังกล่าว ก็ได้อันตธานหายไปจนหมดสิ้น พร้อมกับประตูแสงที่เกิดบนพื้นดินของป่าช้า ก็ปิดลงหายสนิทไป เหลือเพียงร่างของเจ้าสางร้ายแห่งภูเวียงฟ้า ที่ยืนโซเซอยู่เท่านั้น มันได้ยืนแยกเขี้ยวคำรามอย่างดุร้าย ด้วยสายตาที่แสนจะอาฆาตทุกๆคน ยิงมันด้วยกระสุนเหล็กไหลตอนนี้เลยครับ มันไม่มีพลังอาถรรพ์ที่พอจะคุ้มตัวมันได้แล้ว ท้าวคำใสรีบตะโกนบอกคุณอนุวัฒน์เสียงดังลั่น ก่อนกล่าวสำทับตามมาว่า รีบยิงเลยก่อนที่มันจะหนีเราขึ้นภูครับ จบคำพูดท้าวคำใส คุณอนุวัฒน์รีบยกปืนลูกซองแฝด ที่บรรจุกระสุนเหล็กไหลขึ้นประทับบ่าทันที แล้วเล็งไปที่กลางศรีษะของเจ้าสางดง ที่ยืนห่างออกไปไม่เกิน 10เมตร จากนั้นได้สอดนิ้วเข้าไปที่โกร่งไก แล้วทำการกดไกปืนลูกซองทันที  เปรี้ยง ร่างเจ้าสางดงหงายเงิบ เพราะฤทธิ์อาคมกระสุนเหล็กไหล เข้ากระทบศรีษะมันอย่างจัง แล้วในขณะที่มันกำลังยืนโซเซอยู่นั้น กระสุนเหล็กไหลนัดที่ 2ได้ลั่นออกลำกล้องอีกครั้ง เปรี้ยง ซึ่งนัดนี้พุ่งเข้าตัดเข้าที่ลำคอมันอย่างจังราวกับจับวาง เลือดสีเขียวกระพุ่งฉูด ไหลทะลักออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างของเจ้าสางดงล้มลงหมดสิ้นฤทธิ์ มันได้กระตุกเล็กน้อย แล้วมันค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆแน่นิ่งไปในที่สุด  ครู่เดียวร่างของมันค่อยๆกลายเป็นฤาษีชราซูบผอม ลักษณะเป็นหนังหุ้มกระดูก เหม็นเน่าคละคลุ้งราวกับซากสัตว์ที่ตายมาแล้วนับแรมปี ทุกคนต่างรีบพากันเดินออกมา ให้ห่างจากซากนั้นทันที เนื่องจากทนกับความเหม็นเน่าไม่ไหว แล้วต่างพากันนั่งพักเหนื่อยกลางป่าช้านั้นอยู่ครู่ใหญ่ๆ พักเดียวฟ้าก็สว่างขึ้นมีเพียงสายฝนปรอยลงเบาๆ กับมีอากาศที่หนาวเย็น ราวกับเมืองฮอกไกโด เนื่องมาจากเป็นช่วงต้นฤดูหนาว เมื่อทั้งคณะนั่งพักเหนื่อยสูบบุหรี่อยู่ครู่ใหญ่แล้ว คุณอนุวัฒน์จึงขอแรงทุกๆคน ช่วยหอบฟืนและเศษไม้ในละแวกนั้น มาสุมไฟเผาร่างของฤาษีสางตนนี้ พร้อมกับสวดแผ่เมตตาให้แก่มัน เพื่อให้ได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม ไม่ต้องเกิดเป็นผีป่าหากินเลือดกินเนื้อ เฉกเช่นปัจจุบันนี้ จบสิ้นกันเสียทีนะ อย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลย คุณอนุวัฒน์พูดขณะที่มองกองไฟที่สุมร่างฤาษีสางดงอยู่  พวกเรา กลับบ้านเถอะ หมดเรื่องบ้าๆแล้ว ท้าวคำใสเอ่ยบอกทุกๆคน ก่อนทีนายเล่าอูจะชี้นิ้วบอกว่า ตรงไปทางนี้ไม่เกิน 700เมตร ก็ถึงปากร่วมลำเง็กกับแม่น้ำโขงแล้วครับ วัดนี้ผมเคยอยู่เป็นที่หลบหนีทางการครับ สิ้นเสียงบอกนายเล่าอู ทุกคนต่างพากันเดินมาที่ข้างโบสถ์ร้าง ช่วยกันหอบร่างของพระธุดงภ์มาที่ลานโล่ง ก่อนจะหาฟืนและเศษไม้ เผาร่างของพระธุดงภ์ชรา ที่ท่านอุตส่าห์อุทิศชีวิตช่วยเหลือพวกเขา แล้วทุกคนจึงได้เดินทางกลับออกมา โดยการเดินเลาะเลียบลำเง็กออกมาเรื่อยๆ  โดยคณะของนายเล่าอูนั้นขอแยกตัวไป เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณแม่น้ำโขง ทีเขตหมู่บ้านหนองคำไซ แล้วท้าวคำใสก็ขอตัวลากลับ ไปทำงานที่กรมป่าไม้แขวงไซยะบุรี โดยที่ท้าวคำใสได้ขอเจ้าโทนเสือโคร่งน้อยไปด้วย เพื่อนำไปอนุบาลที่สำนักงานป่าไม้ แล้วคณะตัดไม้ จึงได้จ้างวานเรือยนต์ชาวบ้านหนองคำไซ เล่นตามลำโขงมาส่งที่หมู่บ้านของญาติอ้ายโหน่ย ชื่อหมู่บ้านแม่ฮ่อม เป็นหมู่บ้านเล็กๆเลียบน้ำโขงของชาวไทลื้อ เพื่อให้ทั้งคณะพักผ่อนเอาแรงก่อนเดินทางกลับคืนถิ่น
     นายส่างแปงเจ้าบ้าน จัดเตรียมข้าวปลาอาหารให้แก่ทั้งคณะ โดยมีอาลี่ลูกสาววัย 17ปี คอยช่วยจัดเตรียมให้ หล่อนจ้องมองคุณอนุวัฒน์ด้วยสีหน้าแดงก่ำ ออกอาการเหนียมอายเล็กน้อย คุณอนุวัฒน์แม้อายุจะเข้า 42ปีแล้ว แต่จัดได้ว่า หน้าตาเข้าขั้นพระเอกหนังเลยทีเดียว ถ้านายนั้นไม่รังเกียจ ก็รับมันไปเป็นลูกจ้างช่วยงานเถอะครับ ถือเสียว่าเลี้ยงสัตว์ซักตัวก็ได้ มันโชคร้ายกำพร้าแม่แต่เกิด เหลือแต่ผมที่เป็นพ่อไม่มีสมบัติอะไรเลย อยากให้มันมีงานทำ เลี้ยงตัวได้บ้าง นายส่างแปงกล่าวร้องขอคุณอนุวัฒน์ ถ้าอยากทำงานก็พอมีบ้างครับ งานในไร่ส้มของพี่ชายผมที่เมืองแพร่ เดี๋ยวผมจะดูให้ คุณอนุวัฒน์เอ่ยตอบนายส่างแปง นายส่างแปงรีบยกมือไหว้คุณอนุวัฒน์ทันที ทั้งคณะได้นอนค้างคืนที่บ้านนายส่างแปง 1คืน แล้วรุ่งเช้า จึงออกเดินทางไปยังบ้านด่านกุดดอน โดยรถยนต์เช่าเก่าๆ เพื่อยกเลิกสัญญาเช่าช้างงาน และปล่อยเงินมัดจำ โดยที่มีอาลี่สาวน้อยชาวไทลื้อ
ออกติดตาม เพื่อไปทำงานที่เมืองแพร่ด้วย จากนั้นอ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ย จึงขอลาแยกตัวไปยังบ้านเกิด แล้วทั้งคณะก็ข้ามโขงเดินทางกลับสู่เมืองแพร่  คุณอนุวัฒน์นั้นยังคงพักอยู่ที่เมืองแพร่ราวๆ 1สัปดาห์ เพื่อจัดการเรื่องงานในไร่ให้กับอาลี่ โดยที่ยังไม่ได้กลับไปที่เมืองน่านบ้านของพ่อตา
        และในคืนหนึ่งนั้น คุณอนุวัฒน์ได้ดื่มฉลองกับพวกปู่ฮวดของผม และทีมงานในปางไม้อย่างหนัก เกิดอาการเมามาก จนปู่ฮวดและทิดหมานจำ ต้องหิ้วปีกไปส่งยังเรือนไม้สักใต้ถุนยกสูง ในไร่ส้มแสงจันทร์ เมื่อจัดแจงที่นอนให้คุณอนุวัฒน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทิดหมานจึงตะโกนเรียกไปยังอาลี่ที่อยู่ในห้องนอนเล็กๆท้ายเรือน อาลี่เอ็งเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้คุณวัฒน์หน่อยนะ แกเมามาก สิ้นเสียงสั่งการ ทิดหมานกับปู่ฮวดได้เดินลงจากเรือนไม้สักนั้นทันที ครู่เดียว อาลี่ก็ถือกะละมังใส่น้ำกับผ้าผืนเล็กๆ หล่อนได้เช็ดประคบตามใบหน้าของคุณอนุวัฒน์อย่างแช่มช้า พลันคุณอนุวัฒน์ก็ลืมตาแป๋ว ตาคู่นั้นประสานสบตากับอาลี่ที่มองเขาอยู่ มือไวเท่าความคิด คุณอนุวัฒน์รีบผละขึ้นจากที่นอน  ใช้ 2มือกอดร่างอวบอัดของสาวน้อยไว้ ระดมจูบไปยังแก้มอันสดใสของหล่อนไม่ยั้ง อย่าคะคุณวัฒน์ คุณเมามากแล้ว ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ คุณมีเมียแล้ว หญิงสาวออกกริยาขัดขืนคุณอนุวัฒน์ ลี่รู้มั้ย ว่าพี่ชอบลี่มากๆ ชอบตั้งแต่แรกเจอแล้ว ไม่ได้บอกวันนี้ พี่คงอกแตกตายแน่ๆ คุณอนุวัฒน์กระซิบบอกที่ข้างหูหล่อนเบาๆ ก่อนก้มหัวลงไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากเรียวงามของหล่อนอย่างช้าๆ อาลี่ได้จูบตอบคุณอนุวัฒน์ อย่างไม่เหนียมอายเช่นกัน เมื่อมีการสนองตอบเกิดขึ้น ทั้งคู่ก็กอดรัดกันพัลวัล คุณอนุวัฒน์ก็ค่อยๆลูบไล้ เค้นคลีง ปากก็เลื่อนลงมาที่ซอกคอหล่อน มือค่อยๆปลดเสื้อผ้าอาภรณ์จนผ้านั้นหลุดหายจากร่างอาลี่หมดสิ้น เหลือแต่ร่างขาวอวบ จากนั้นคุณอนุวัฒน์รีบโผตัวไปล็อคกลอนประตู ดับแสงตะเกียง แล้วถอดเสื้อผ้าตนเองอย่างรวดเร็ว ดั่งเสือร้ายที่กระหายเหยื่อ เมื่อไฟตัณหาราคะเข้าครอบงำคนทั้งคู่ ต่างเสพสมกามรมภ์อย่างที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ภายใต้ความมืดมิดนั้น แล้วอาลี่ก็ตกเป็นของคุณอนุวัฒน์ในคืนนั้นเอง สัญญาได้มั้ยจะไม่ทิ้งลี่ หญิงสาวกระซิบที่ข้างหูคุณอนุวัฒน์ ขณะที่ร่างหล่อนเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้อ้อมกอดของคุณอนุวัฒน์ ใครจะทิ้งเมียตัวเองได้ลงล่ะ คุณอนุวัฒน์กระซิบบอกหล่อน พร้อมก้มจูบยังหน้าผากหล่อนเบาๆ ลี่เป็นเมียคุณแล้วนะ อย่าทิ้งเมียล่ะ เพราะลี่รักคุณหรอกนะ ถึงยอมเป็นของคุณ หล่อนเอ่ยบอกคุณอนุวัฒน์แอบค้อนสายตาเล็กน้อย ก่อนที่คุณอนุวัฒน์จะกล่าวสวนขึ้นมาว่า ใครจะมองไม่ดีอย่างไรก็ช่างเถอะ ความรักห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ แค่ตอนนี้เรามีกันและกันก็พอแล้ว สุดที่รักของพี่ พอคุณอนุวัฒน์พูดจบ  อาลี่ก็รีบยื่นหน้าเข้าหอมแก้มคุณอนุวัฒน์เบาๆ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า สุดที่รักของเมีย แล้วทั้งคู่ต่างยิ้ม จ้องมองสบตากัน แล้วนอนกอดกันบนเตียงไม้ยันฟ้าสว่าง  แล้วถัดจากนั้นไม่นาน อาลี่ก็แอบต้ังท้องกับคุณอนุวัฒน์  เมื่อคุณนุจรีผู้เป็นภรรยาคุณอนุวัฒน์ทราบเรื่อง คุณอนุวัฒน์จึงถูกพ่อตาขับไล่จากเมืองน่าน แล้วทั้งสองจึงทำการจดทะเบียนหย่ากันโดยเด็ดขาด เพราะคุณนุจรีนั้นเป็นหมันแต่กำเนิด ซึ่งไม่มีบุตรกับคุณอนุวัฒน์ ทำให้ทั้งสองไม่มีพันธะต่อกันอีกต่อไป  จากนั้นไม่นานคุณอนุวัฒน์ก็ได้ยกย่องอาลี่ ให้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วทั้งคู่ก็ครองรักกันอยู่ที่ไร่ส้มแสงจันทร์
                                                                                          (จบบริบูรณ์ )
ความคิดเห็นที่ 105
ต่อครับ(ตอนอวสาน patch3)
       เมื่อทุกๆคน พากันแอบไปมองดูตามรูรั่ว ของแผ่นกระดานฝากุฏิร้างนั่น ต่างพากันต้องตกตะลึง ตั่วสั่นงันงกสติแทบหลุด เมื่อปรากฎร่างของสัตว์ทั้ง 2ชนิด กำลังเข้าต่อสู้โรมรันกันเป็นพัลวัล นั่นคือร่างของเจ้าสางดงกำลังเข้าต่อสู้กับเสือโคร่งใหญ่ที่มีขนาดราวๆสัก 8ศอก สัตว์ทั้งคู่กำลังฟัดเหวี่ยงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ท่ามกลางความมืดสลัวๆ อันบ่งบอกว่าบัดนี้ใกล้จะสว่างเต็มทีแล้ว เสียงร้องคำรามสนั่นไพรของสัตว์ร้ายทั้ง 2ดังก้องไปทั่วบริเวณ จนทำให้นกกาที่หลับนอนในบริเวณนั้นพากันแตกตื่น บินกรูออกจากแหล่งพักพิง โดยที่กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่แอบซ่อนเร้นกายอยู่บนกุฏิร้างนั่น ต่างพากันเงียบกริ๊บราวกับคนเป็นใบ้ ใจจดจ่อ ระทึกกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และทุกคนก็ต้องตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง เมื่อสัตว์ร้ายท้ง 2ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ขึ้นทันที โดยที่เจ้าสางร้ายตัวนั้นกลายร่างเป็นฤาษีชรา และเสือสมิงได้กลายร่างเป็นพระธุดงภ์รูปนั้น แล้วทั้ง 2ต่างยืนเผชิญหน้ากันทันที ระยะห่างราว 7เมตร ในสภาพที่ต่างฝ่ายต่างสะบักสะบอมเลือดอาบทั่วร่าง ผลมาจากฤทธิ์ของการปะทะกัน มันเกิดอะไรขึ้นครับ คุณอนุวัฒน์เอ่ยกระซิบถามท้าวคำใสเบาๆขณะที่ตายังแอบมองลอดรูฝากระดานออกไป พระธุดงภ์ที่อยู่กับเราท่านเรียนวิชาพรายเสือสมิงครับ เป็นศาสตร์ไสย์ดำ ท้าวคำใสเอ่ยตอบขึ้นเบาๆ มิน่าล่ะครับ ตอนผมอยู่ใกล้ๆท่านจึงได้กลิ่นเหมือนสาปเสือ คุณอนุวัฒน์เอ่ยตอบขึ้นทันที โดยที่สายตายังจับจ้องออกไปข้างนอกกุฏิอย่างไม่ยอมลดสายตา ผมว่าเราอาศัยช่วงนี้หนีกันดีกว่ามั้ยครับ นายเล่าอูเอ่ยปรึกษาเบาๆ ผมว่าถ้าเราหนีตอนนี้คงไปได้แน่นอนครับ ทิดหมานกล่าวสำทับทันที ผมคิดว่าเราอย่าเสี่ยงเลยดีกว่าครับ เจ้าสางดงนั่นมันต้องการเลือดของพวกเรา ตอนนี้มันก็คงรู้แล้วว่าพวกเราแอบอยู่บนนี้ ต่อให้เราคิดจะหนี มันก็คงจะวิ่งดักหน้าพวกเราได้ทัน ถ้าเสี่ยงวิ่งหนีเราก็จะเป็นตรายเปล่าๆ สู้ตั้งหลักรอมันอยู่บนกุฏินี่แหล่ะ ดีที่สุดครับ ตอนนี้จวนจะสว่างเต็มทนแล้ว เราขอเวลาอีกนิดเดียวครับ อย่างน้อยพระธุดงภ์ท่าน ก็อุตส่าห์จำแลงกายเป็นเสือสมิง ยอมต่อสู้กับมัน เพื่อช่วยเหลือพวกเรา ท้าวคำใสเอ่ยอธิบายละเอียด นั่นเป็นวิชาพรายสมิงเหรอครับ อ้ายโหน่ยเอ่ยถามอย่างตกใจ ใช่แล้วนั่นเป็นวิชาพรายสมิง เกิดจากอาคมชั้นสูง ส่วนมากไม่มีใครนิยมใช้กันหรอก เพราะถ้าเกิดกลายร่างเป็นเสือครบ 2ครั้งแล้ว จะไม่สามารถคืนร่างเดิมได้อีก ต้องให้ผู้ที่มีวิชาเรียนแก้ มาแก้อาถรรพ์พรายสมิงให้ หรือไม่ ก็เว้นแต่ตายลงนั่นล่ะ ถึงจะกลายร่างเป็นคนได้ดั่งเดิม ท้าวคำใสเล่าอย่างละเอียด แล้วหลวงพ่อแกพอจะสู้เจ้าสางร้ายนั่นได้มั้ยครับ ดาบเริงเอ่ยถามทันที ผมคิดว่าคงยากเหมือนกันครับ เพราะเจ้าสางดงตนนี้มันเป็นผู้มีวิชา มีพลังอาถรรพ์ ที่สิงสู่เร้นอยู่ในกายมันมานับร้อยๆปีแล้ว ลำพังหลวงพ่อท่านก็ใช้วิชาอาคมที่ครูบาถ่ายทอดมาให้ ใช้ต่อสู้กับมันเท่านั้น เราก็ได้แต่ขอภาวนาช่วยท่านแล้วกัน ท้าวคำใสเอ่ยตอบหน้าเรียบเฉย
       ทันทีนั้นทุกคนก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อฤาษีชรากับพระธุดงภ์ ได้เอ่ยพูดคุยกันขึ้นเสียงดังกึกก้อง  พระธุดงภ์เฒ่า ถ้าท่านไม่อยากตาย ขอหลีกทางข้าไปเสียเถอะ ข้าต้องการเลือดมนุษย์แค่อีกไม่กี่คนเท่านั้น ร่างกายอันเป็นอมตะจะเกิดแก่ข้า5555 ขอท่านจงหลีกทางไปซะ ถึงข้ากินท่านแล้ว พลังของข้าจะสูงขึ้นเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีวิชา แต่ว่าข้าก็ไม่อยากจะทำ และตอนนี้ท่านแปลงกลายเป็นเสืออีกไม่ได้แล้ว ขืนถ้าแปลงร่างอีก คงคืนร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้แล้ว5555 ฤาษีชราเอ่ยหัวเราะเสียงดังกึกก้อง เขี้ยวที่ปากงอกยาวออกมาอย่างน่ากลัว  โยมเอ้ย โยมทำบาปมามากพอแล้ว จงไปผุดไปเกิดใหม่เสียเถิด อย่าได้ทำบาปทำกรรม ด้วยการกัดกินมนุษย์อีกเลย มันเป็นบาปติตัวมหันต์ ปล่อยพวกเขาไปเถิด ถือว่าอาตมาขอบิณฑบาตก็แล้วกันนะโยม  พระธุดงภ์ชราเอ่ยขอร้องหน้าเรียบเฉย  ท่านเป็นพระก็ขอให้อยู่ส่วนพระ ไม่ต้องสะเออะมาเทศน์โปรดข้า จงหลีกทางไปเสีย ข้าไม่อยากฆ่าพระสงฆ์องคเจ้า ฤาษีชราเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย เห็นทีอาตมาคงจะทำตามคำขอของโยมไม่ได้หรอกนะ พระธุดงภ์เอ่ยตอบทันที ถ้าเป็นอย่างนี้ เห็นทีข้าคงไม่เกรงใจท่านอีกแล้วหล่ะ ฤาษีชราพูดจบก็กลายร่างเป็นตัวสางดง ร้องคำรามดังลั่น ดวงตาแดงฉานสีคุกร่นทันที ฝ่ายพระธุดงภ์ไม่รอช้ารีบหลับตาลง ปากก็บริกรรมคาถาร่ายมนตรา แล้วกลายร่างเป็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่ แล้ววินาทีนั้น สัตว์ร้ายทั้งสองก็พุ่งทะยานเข้าหากันทันที พุ่งเข้าจู่โจมโรมรันพัลวัล ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจ ของทุกๆคนที่แอบมองออกมาลอดรูกระดานไม้ฝากุฏิร้างนั่น
        การต่อสู้ของสัตว์ร้ายทั้ง 2เป็นไปอย่างหนักหน่วงอยู่ครู่ใหญ่ๆ จนในที่สุดเสือสมิงตัวนั้นก็หมดแรง นอนหมอบหายใจรวยระริน เนื่องจากพิษแผลจากการถูกเจ้าสางดงตัวนั้น ขย้ำไปที่ลำคออย่างจัง เลือดไหลทะลักออกมาเป็นลิ่ม มีพิษแผลฉกรรจ์อย่างมากมาย จนในที่สุดก็นอนหมอบแน่นิ่งช้าๆ แล้วร่างของเสือร้ายตัวนั้น ก็ค่อยๆกลายเป็นพระธุดงภ์รูปนั้นนอนนิ่งอยู่ อย่างสภาพไร้วิญญาณ ก่อนที่เจ้าสางดงตัวนั้น จะค่อยๆย่างสามขุมเข้าไปที่ใกล้ๆร่างของพระธุดงภ์ ที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้น ก่อนจะค่อยๆใช้ปาก กัดไปตรงท้องของพระธุดงภ์นั่น แล้วมันก็กัดกระชาก กินเครื่องในตับไตใส้พุง ด้วยท่าทีที่แสนจะหิวกระหาย  ทำให้ทุกๆคน ที่แอบมองลอดรูกระดานฝากุฎิ มีอาการใจเต้นระรัว ขาสั่น ตัวชา บางคนถึงกับออกอาการเหวอ ต่อภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า พากันตะลึง ทุกคนต่างพูดไม่ออก ได้แต่มองตาเท่านั้น แล้วทันใดเองนั้น เจ้าสางร้ายตัวนั้น ก็แหงนหน้ามองขึ้นมาบนกุฏิ ในขณะที่ปากยังคาบลำไส้พระธุดงภ์นั้นอยู่ แล้วมัน ได้ร้องคำรามแยกเขึ้ยวแสย๊ะ ส่งเสียงคำรามดังลั่น  โฮร่กกกกก  ดวงตาของมันแดงฉานลุกโชน  จากนั้น ได้มีเสียงพูดของมนุษย์ ออกมาจากปากเจ้าสางดงตัวนั้นทันที55555555 พวกเอ็งคิดเหรอว่าจะหนีข้าพ้น มาให้ข้ากินเลือดพวกเจ้าซะดีๆ  สิ้นเสียงของอสูรกายร้าย ในทันใดนั้น ท้าวคำใสได้เรียกสั่งนายเล่าอูเสียงดังลั่น รีบส่งปืนมาให้ข้าเร็วเข้า มันกำลังจะบุกขึ้นมาแล้ว  สิ้นเสียงสั่งท้าวคำใส นายเล่าอูรีบยื่นปืนลูกซองชนิด 5นัด ให้แก่ท้าวคำใสในทันที  โดยที่ท้าวคำใสได้ควักลูกปืนที่อัดขึ้นใหม่ โดยแร่จัตวโลหะออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ป้อนกระสุนลงรังเพลิงปืนลูกซองนั้นทันที ทั้ง 5นัด  จากนั้น คุณอนุวัฒน์ได้รีบสั่งทุกคนเสียงดังลั่น ใครที่มีปืนอยู่ในมือ ให้เตรียมยิงมันเลย ถ้ามันบุกขึ้นมาบนกุฏินี้ แต่ถ้าใครไม่มีปืน ก็ให้รีบเตรียมหนี ลงไปทางประตูด้านหลังก่อนเลยนะ พูดจบคุณอนุวัฒน์ก็จับปืนลูกซองแฝดคู่กาย ที่บรรจุกระสุนเหล็กไหลกระชับเข้ามือแน่นไว้ ด้วยใจที่เต้นระรัว                                                                                                       มีต่อ….
ความคิดเห็นที่ 4
ต่อนะครับ...

           การเดินทางขึ้นภูนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก  ในทันใดนั้นเอง รีบหยุดกันก่อนครับ นี่มันรอยขี้ช้าง รอยมันยังใหม่ๆอยู่เลย อ้ายเฮืองเอ่ยบอกคณะ พลางก้มมองดูมูลช้าง ด้วยเพราะบริเวณโดยรอบ เป็นป่าค่อนข้างจะรกทึบ ที่หนาแน่นไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยๆสลับกับไม้สูง  ถ้าหากช้างป่าแอบซ่อนตัวพรางตาอยู่ ทั้งคณะอาจได้รับอันตรายจากมัน อ้ายเฮืองจำต้องตรวจตราจนแน่ใจ ว่าช้างป่าได้เดินจนผ่านพ้น ออกจากด่านย่านนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  มันไปหรือยังครับพราน ดาบเริงเอ่ยถามอ้ายเฮืองแบบอยากรู้  มันออกไปได้สักพักแล้วครับ อ้ายเฮืองกล่าวบอกดาบเริง กระทั่งคณะตัดไม้ได้เดินทางมาถึงที่บริเวณลานโล่งใจกลางป่า อันเป็นที่หลุบลึกมีอากาศร้อนชื้น และอบอ้าวนิดๆ  แต่ก็มีลำน้ำเป็นโตรกธารเล็กๆไหลพาดผ่าน  ทางคณะจึงได้พากันหยุดพักเนื่องจากใกล้พลบค่ำแล้ว  ดังนั้นในคืนแรกนี้ คณะตัดไม้ของคุณอนุวัฒน์ จึงตกลงกันว่าจะนอนค้างคืนในที่นี้ เพราะเป็นที่โล่งแจ้ง และมีแหล่งน้ำ โดยวิธีการกางเต้นท์นอนขนาดใหญ่ 2หลัง มีการเข้าเวรยามรอบบริเวณชุดละ 3คน โดยที่สลับกันอยู่เวรยามชุดละ 3ชั่วโมง  และได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ไว้หน้าเต้นท์นอนทั้งคืน  เพื่อบรรเทาความหนาว และเป็นการป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์ป่า
           โดยก่อนจะนอนนั้น ทุกคนต่างพากันไปอาบน้ำชำระร่างกาย ที่ลำธารน้ำเล็กๆแหล่งนั้น แล้วก็ล้อมวงกินข้าวที่ห่อติดตัวมา กินกับเนื้อเค็มปิ้ง น้ำพริกตาแดง ปลาร้าสับจี้มกับผักสดที่ขึ้นตามป่า  และต้มกาแฟดำดื่ม  ครั้นเมื่อถึงเวลาดึก ภูมิอากาศหนาวเย็นก็เข้าปกคลุม ทุกคนจึงได้เข้านอนในเต้นท์เพื่อผักผ่อนเอาแรง โดยที่ ปู่ฮวด ทิดหมาน และดาบเริง เป็น 3คนแรก ที่ทำหน้าที่เวรยามให้หมู่คณะ  กระชับปืนคู่กายไว้กับตัวแน่น   จนเมื่อเวลาได้ผ่านล่วงไป นายทอง นายแสงและนายกล้า ก็มารับช่วงยามต่อเป็นพลัดที่ 2 จนเวลาเข้าไปถึงช่วงดึกราวๆตี 1  คณะตัดไม้ก็ต้องตกใจสะดุ้งลุกตื่นขึ้นมา รีบหยิบปืนกระชับเข้ามือกันแทบทุกคน เมื่อทุกคนได้ยินเสียงปืนลูกซองดังสนั่นขึ้น 1นัด เปรี้ยง... พร้อมกับเสียงเสือโคร่งที่วิ่งร้องคำรามกึกก้องทั่วทั้งผืนป่า โฮร่กกก... สำหรับตัวของปู่ฮวดนั้นได้สะดุ้งตื่นสุดตัว  พลางกระชับลูกซองยาวนัดเดียวไว้ในมือ พร้อมที่จะลั่นไกยิงผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อ
         ทุกคนต่างถือปืนไว้ในมือเตรียมพร้อมที่จะยิงอย่างทันที  และแล้วก็มีเสียงร้องตะโกนถามกันจ้าละหวั่นถามว่า เสียงปืนเมื่อกี้ใครยิงอะไร ดาบเริงตะโกนถามลั่น  นั่นซิยิงอะไรวะ ใครเป็นอะไร อ้ายเฮืองรีบเอ่ยสำทับ คุณอนุวัฒน์จึงรีบตอบกลับมาบอกทุกๆคนว่า เมื่อกี้ฉันนี่แหล่ะยิงใส่เสือโคร่ง ตัวมันใหญ่มากราวๆสัก 7ศอก เห็นจะได้ล่ะมั้ง  ก็เห็นมันกำลังเดินย่างสามขุมเข้ามา จะกัดไอ้แสงที่นั่งยามอยู่ ฉันปวดฉี่จึงตื่นนอนมาเห็นเข้าพอดี เลยเอาปืนลูกซองที่ถือติดมือมายิงใส่แสกหน้ามันไป 1นัด  มันโดนกระสุนลูกโดดเข้าจังๆ จนสะดุ้งแล้วกระโจนหนีเข้าป่าหายไป    และจากนั้นอ้ายโหน่ยจึงถามกลับยังนายแสงไปว่า เสือตัวใหญ่มันเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เอ็งก็นั่งยามอยู่เอ็งไม่เห็นตัวมัน หรือว่าเอ็งนั่งหลับใน  ฉันก็เห็นอยู่นะพี่ แต่ไม่ได้เห็นเป็นตัวเสือ ฉันเห็นแต่ผู้หญิงสาวชาวป่า มีหน้าตาสะสวย เปลือยท่อนบนนุ่งแต่ผ้าถุง ค่อยๆเดินเข้ามาแล้วก็ส่งยิ้มให้ฉัน จากนั้นก็กวักมือเรียก ให้ฉันเข้าไปหาที่ชายป่าโน่นแน่ะ  ขณะจ้องมองอยู่ฉันก็เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ รู้สึกบังคับตัวเองไม่ได้เลย นายแสงหนุ่มรุ่นๆตอบกลับด้วยสีหน้าซีดเผือดพลางเกาหัวเบาๆ  เอ็งคงคิดจินตนาการไปว่ามีสาวสวย มาโปรดเอ็งถึงกลางป่าล่ะซิ ไอ้แสง5555 ทิดหมานเอ่ยขึ้นระคนหัวเราะ แล้วไอ้ทองกับไอ้กล้า ที่นั่งยามอยู่ด้วยกันกับไอ้แสง พวกเอ็งไม่เห็นหรือว่าเสือกำลังเข้ามาใกล้ขนาดนี้  คุณอนุวัฒน์เค้นถามสีหน้าเคร่ง   พวกเรานั่งยามอยู่ดีๆมันก็วูบหลับหายไปเลยครับนาย  มารู้สึกตัวก็ตอนเสียงปืนที่นายยิงดังขึ้นนี่แหล่ะครับ  นายทองและนายกล้าตอบแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน   อ้ายเฮืองพรานหนุ่มจึงได้อุทานออกมาว่า  ข้าว่าพวกเอ็งต้องมนต์สะกดของสมิงไพรแล้วล่ะซิ   พวกเอ็งได้ผูกด้ายสายสิณญ์ที่แจกให้ เก็บไว้ติดตัวกันบ้างมั้ย  ทิดหมานเอ่ยถามนายแสงพลางเร่งบุหรี่ที่จุดสูบคีบไว้ในมือ   เปล่าพี่ ฉันไม่ได้เก็บไว้ที่ตัว ฉันเอาไว้ในย่ามอยู่ในเต้นท์นอนโน่นแน่ะพี่  นายแสงพูดตอบสีหน้าเรียบเฉย   มิน่าล่ะพวกเอ็งถึงต้องมนต์เสือสมิงได้ อ้ายเฮืองพรานหนุ่มพลางกล่าวทิ้งทวนอีกครั้ง   ถ้างั้น เอาเป็นว่าทุกคน จงรีบเอาด้ายสายสิณญ์ปลุกเสก ที่พ่อใหญ่สีให้มา ผูกเอาไว้ที่ข้อมือนะ ถ้าใครคนไหนยังไม่ผูกก็ให้รีบผูกตอนนี้เสียเลย คุณอนุวัฒน์บอกสั่งแกมบังคับทุกๆคน จากนั้นทุกๆคนก็แยกย้ายกันเข้าที่นอน  โดยที่คุณอนุวัฒน์ได้ขอให้อ้ายเฮืองและอ้ายโหน่ย สองพรานฝีมือดีผู้เจนจัดป่าไพร แห่งเมืองไซยะบุรี ทำหน้าที่เวรยามแคมป์ของคณะนอนจนถึงยามเช้าตรู่
          เมื่อเสียงไก่ป่าขันทุกๆคนต่างก็ลุกขึ้นจากที่นอน  ไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารเล็กๆแต่เช้ามืด  จากนั้นจึงได้พากันออกเดินไปตามรอยเลือดของเจ้าเสือตัวนั้น  แล้วทุกคนก็ต้องตะลึง เมื่อพบซากเสือโคร่งขนาดใหญ่  นอนตายจมกองเลือดอยู่ห่างออกไปจากที่กางแคมป์นอน  ราวๆเกือบ 800เมตร  มีรอยกระสุนแบบลูกโดด เข้าที่แสกหน้าเสือโคร่งตัวเมียแก่ๆ  และมันมีลูกอ่อนอยู่หนึ่งตัว โดยที่มันนอนอยู่ข้างๆร่างของเสือโคร่งตัวแม่ มันเป็นตัวผู้ ที่ขนาดตัวเท่าๆกับลูกสุนัข นอนดูดเต้านมของแม่มัน ที่นอนนิ่งไร้วิญญาณ โดยที่มันหารู้ไม่ ว่าแม่ของมันได้จากโลกนี้ไปแล้ว มันช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนั้น มันหันหน้ามามองเหล่าคณะ แล้วได้คำรามขู่เบาๆ แฮร่ๆๆๆๆๆ  ไม่ใช่เสือสมิงที่แก่วิชาหรอกครับนาย มันเป็นแค่เสือธรรมดา ที่มีวิญญาณสิงสู่อยู่ในร่างกายเท่านั้นเอง  แค่อาถรรพ์ผีป่าลวงตาโดยจำแลงภาพให้เห็น เป็นเหยื่อที่มันเคยฆ่ามาแล้วเท่านั้น  ท้าวคำใสพูดอธิบายในขณะที่ยังก้มหน้ามอง จ้องไปที่ซากเสือร้ายตัวนั้น  ถ้าเราจะมัวชำแหล่ะมัน  แล้วถลกเอาหนัง ฉันคิดว่าเราต้องเสียเวลาขึ้นภูแน่ๆ   ผมว่าเอาเศษไม้สุมทั้งร่างมันเลย ดีกว่าจะปล่อยมันทิ้งไว้ให้อุจาดตาแบบนี้ เมื่อคุณอนุวัฒน์พูดจบ  ทุกคนต่างออกเดินไปหอบฟืนและหาเศษไม้ ช่วยกันใช้ไฟสุมร่างเสือตัวนั้น ในบริเวณที่เป็นลานโล่ง เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟป่า แล้วลูกน้อยมันที่เป็นลูกโทนนี่เราจะเอาอย่างไรดีครับ ถ้าปล่อยไว้มันคงอดตายเพราะขาดแม่ ผมว่าฆ่ามันทิ้งจะดีกว่านะครับ อ้ายโหน่ยพูดจบพลางยกปืนลูกซอง 5นัดคู่กาย ทำท่าจะเล็งปลายกระบอกปืนไปยังร่างเจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนั้น  ในทันใดนั้นเอง  หยุดๆก่อนครับพราน คุณอนุวัฒน์กล่าว พลางยกมือไปกำกระบอกปืนของอ้ายโหน่ยกดลงต่ำไว้  เดี๋ยวให้ไอ้ทองจับมันใส่ย่ามไปกับเราก็ได้ อย่างน้อยๆผมก็มีนมข้นแบบกระป๋องติดตัวมา พอจะให้มันกินแก้ขัดได้บ้าง ถือเสียว่าเลี้ยงมันเอาบุญก็แล้วกัน แค่ผมยิงจนมันต้องกำพร้าแม่ ก็รู้สึกว่าบาปเต็มทีแล้ว คุณอนุวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย เอาเป็นว่า เรียกเจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนี้ว่าไอ้โทนก็แล้วกันนะ555 อ้ายเฮืองเอ่ยบอกพลางหัวเราะ  ใช่แล้วเอาชื่อนี่แหล่ะ เหมาะดี ดาบเริงรีบเอ่ยเสริม แล้วคุณอนุวัฒน์ได้สั่งให้นายทอง รีบจับเจ้าเสือโคร่งน้อยตัวนั้น ใส่ย่ามสะพายข้างของตนไปด้วย โดยที่มันเข้าไปหมอบอยู่ข้างในย่ามอย่างว่าง่าย  โดยไม่มีอาการดื้อดึงแต่อย่างใด   แล้วทุกคนก็ได้เดินทางกลับมายังแคมป์นอน  เพื่อร่วมวงกินอาหารเช้า ซึ่งมีทิดกราดเป็นผู้ตระเตรียมรอเอาไว้  โดยอาหารในมื้อนี้ก็คือ แกงหมี่ผักหวานใส่เนื้อเค็มหม้อใหญ่นั่นเอง                                                                                                                                              .......มีต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่